เวลาราวๆครึ่งวันได้ผ่านไปสำหรับใช้ในการถอนข้อห้ามบนตัวของฮาซุนยังออกไป
ข้อห้ามถูกวางไว้ครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างกายของเธอและแม้แต่การไหลเวียนของพลังงานคิ(มานา)ในจำนวนที่น้อยที่สุดก็ยังส่งผลให้มันไปกระตุ้นการส่งสัญญาณไปยังเดอมาร์ในทันที เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงในเรื่องนี้และถอนข้อห้ามนี้ออกไปในเวลาเดียวกันนั้นจึงเป็นงานที่ยากยิ่ง และที่ยากไปกว่านั้นก็คือข้อห้ามทั้งสองอย่างนี้ได้ฝั่งลึกลงไปในร่างกายของเธอ
ข้อห้ามที่มิให้มีความสัมพันธ์และข้อห้ามที่มิให้ใช่มูกง มันจำเป็นที่จะต้องใช้มานาจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะถอนข้อห้ามทั้งคู่นี้
แต่โชคยังดีที่เจ้าดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินที่ได้ทำตัวเป็น CPU สำหรับห้องสมุดแม่มดขาวสามารถที่จะรับมือกับงานทั้งหมดนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นทั้งหมดที่ยูซอดัมจำเป็นต้องทำก็คือการช่วยเสริมพลังให้กับทักษะนี้
แต่ปัญหาก็คือมันเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่เคยคิดไว้ ในระหว่างที่เจ้ากระถางดอกไม้ทำการตีความข้อห้ามนี้เพื่อให้เสร็จสิ้นได้โดยสมบูรณ์ ยูซอดัมจำเป็นที่จะต้องเติมมานาของเขาผ่านวิธีการหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีไปเรื่อยๆและคงมีเพียงแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้ว่ามันจะต้องใช้เวลาเท่าไหร
ต้องขอบคุณในเรื่องนี้ที่หัวใจของเขาซึ่งมีมานาไหลเวียนเคยได้รับประสบการณ์ความเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมานมาแล้ว
มันโคตรเจ็บจนถึงขนาดที่เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะตายไปเลยที่เดียวแต่ว่าเขาก็ทำมันให้ดีที่สุดด้วยการอดทนต่อมัน เพราะหากว่าเขายอมแพ้เดอมาร์ก็จะมาค้นหาเขาพบทันที
และเมื่อข้อห้ามนี้ถูกถอนออกในที่สุด ยูซอดัมก็เป็นลมไปในทันทีเลย
หลังจากที่เขากลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
“ขอบคุณนายมากนะ ฉันได้รับอิสระของตัวเองกลับคืนมาอีกครั้งแล้ว ในทางกลับกันแลกเปลี่ยนกับเรื่องนี้ฉันจะบอกนายเกี่ยวกับเรื่องของมูและฮยอบละกัน”
เธอยืนอยู่บนเพดานราวกับว่าเธอเป็นแมงมุมและพูดคำพูดเมื่อกี้ออกมา
……………………………………………………..
……………………………………………………..
คำจีนสองคำนั้นเป็นตัวแทนของศิลปะการต่อสู้แขนงย่อยบางประเภทเช่นเดียวกับคุณธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกของศิลปะการต่อสู้
ยูซฮดัมรู้เกี่ยวกับประเภทของศิลปะการต่อสู้นี้เหมือนกันเพราะว่าเขาเคยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาบ้างเมื่อไม่นานมานี้
ในยุคของสงครามที่เต็มไปด้วยการนองเลือดและการรบราฆ่าฟันในที่ที่คำว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการหายไป,การไล่ล่าใครสักคนหรือเป็นฝ่ายที่ถูกไล่ล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกๆวันและการใช้ชีวิตของคนที่นั้นก็ต้องอยู่ด้วยความทุกข์ทนทรมานในสายธารของเวลาที่ปันป่วนเช่นนั้นเองเหมือนกับดวงดาวที่ตกมาจากฟากฟ้า ฮีโร่ได้ปรากฏตัวขึ้นด้วยดาบเพียงเล่มเดียวที่อยู่ในมือ ฮีโร่คนนั้นได้แก้ไขปัญหาทุกอย่างลง!
มันเป็นเนื้อเรื่องที่มีรูปแบบคล้ายๆกันอยู่เต็มตลาดสำหรับนิยายแนวกำลังภายใน
ที่มากไปกว่านั้นมันยังมีเนื้อเรื่องที่มีการแตกแยกยอดออกมาจากแนวนี้อีกเป็นจำนวนมากอย่างเช่น ลูกศิษย์คนสุดท้ายของนิกายที่พังทลายหรือไม่ก็การแก้แค้นที่มาจากพ่อแม่พี่น้องของศัตรูแต่ในท้ายที่สุดโดยรวมของเรื่องราวพวกนี้แล้วจะเป็นไปในแนวเดียวกัน
ในเวลาเดียวกันเหล่าตัวเอกของเรื่องพวกนี้ก็จะได้รับการฝึกฝนจนพวกเขาเหงื่อไหลออกมาเป็นสายเลือดและท่ามกลางทั้งหมดนั้นเองตัวเอกก็จะได้เจอเข้ากับปรมาจารย์ที่สามารถจะช่วยเหลือพวกเขาได้หรือไม่ก็จะเป็นในอีกสถานการณ์สมมุติหนึ่งคือคนพวกนี้จะได้รับทักษะหลังจากที่ได้ผ่านความยากลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ในท้ายที่สุดในสองสถานการณ์นี้จะจบลงเมื่อตัวเอกได้เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางอยู่บนเส้นทางของเขาและครอบครองมูริมได้ประสบความสำเร็จในตอนจบ มันคือสิ่งที่เรื่องราวโดยปกติมักจะเป็นกัน
แต่ว่ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกับยูซอดัมอยู่อีก
ก่อนหน้านี้ก็มีครั้งหนึ่งที่เขาเกือบที่จะเป็นปัญหาครั้งใหญ่เนื่องจากว่าตนเองไม่ได้เข้าใจเรื่องลูปที่ไม่จบไม่สิ้นเพื่อที่จะได้ไม่เจอปัญหาเช่นนั้น เขาได้เริ่มที่จะอ่านพวกนิยายกำลังภายในอย่างเร่าร้อนและด้วยผลลัพธ์ของการทำแบบนั้นเขาได้เรียนรู้ข้อมูลมากมายในเรื่องของนิยายฟิวชั่นแฟนตาซีที่กลับไปกลับมาระหว่างความแฟนตาซีกับพวกศิลปะการต่อสู้อย่างพวกกำลังภายใน
‘อัศวินของโลกแฟนตาซีและศิลปะการต่อสู้ของมูริม’
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเปรียบเทียบทั้งสองสิ่งนี้
เพราะว่ามันเป็นความซ้ำซากที่พบได้บ่อยที่สุด ความเข้มข้นของมานาในอากาศของมูริมนั้นมีเพียงแค่หนึ่งในสิบของโลกแฟนตาซี นักรบจากมูริมเลยได้พัฒนาเทคนิคการหายใจที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาเองขึ้นมา มันได้สร้างแกนกลางของพลังงานคิบนจุดตันเถียนของพวกเขาสามารถที่จะใช้งานคิได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่จำเป็นเลยในมุมมองของเหล่านักรบจากโลกแฟนตาซี
เพราะว่าแม้จะไม่มีวิธีการหายใจแบบพิเศษเช่นเดียวกับคนจากมูริม เหล่านักรบทั้งหลายจากโลกแฟนตาซีก็ยังสามารถที่จะปลดปล่อยพลังทำลายล้างได้อย่างง่ายดายด้วยการเหวี่ยงดาบของพวกเขาซึ่งเรื่องนี้ต้องขอบคุณมานาที่หนาแน่นของพวกเขา
อีกด้านหนึ่ง ศิลปะการต่อสู้จากมูริมสามารถที่จะพูดได้เลยว่ายังขาดแคลนในส่วนของอำนาจการทำลายเมื่อเทียบกับต่างโลกแต่ในเรื่องของการฝึกฝนและการควบคุมพวกเขาเหนือล้ำยิ่งกว่าคนอื่นๆ แล้วยังต้องกล่าวอีกครั้งด้วยว่านักรบทั้งหลายจากโลกแฟนตาซีสามารถที่จะพัฒนาวิชาดาบที่สามารถที่จะบดขยี้อีกฝ่ายได้ด้วยพลังกำลังอย่างแน่นอน
แต่ที่สุดแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับว่าวิชาดาบของใครดีกว่ากัน
ศิลปะการต่อสู้มูกงเหมาะสมให้การจัดการกับ ‘ผู้คน’ ด้วยการควบคุมที่ยอดเยี่ยมซึ่งสามารถจะควบคุมได้แม้แต่พลังงานคิที่เล็กที่สุดในขณะที่วิชาดาบของโลกแฟนตาซีนั้นเหมาะสมกับการจัดการกับ ‘มอนสเตอร์’ ด้วยการใช้พลัง
ทำลายล้างที่รุนแรง
โดยสรุปแล้วนั้น
‘ความเข้มข้นของมานาที่โลกที่ฉันอยู่นี่มันขยะชัดๆเลยเพราะงั้นแล้วฉันคงต้องเรียนรู้พวกมันทั้งคู่สินะ’
มันคงจะดีกว่าที่จะเรียนทั้งการควบคุมมูกงและวิถีทางที่จะใช้ในการต่อกรกับมอนสเตอร์จากโลกแฟนตาซี
“…นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเพื่อที่จะคุ้นเคยกับศิลปะการต่อสู้ชองเทพมังกรสวรรค์แห่งยอดเขาทองคำเอมี่แล้วนั้นนายจะต้องฝึกฝนและลับคมเทคนิคการเพาะบ่มนี้อย่างต่อเนื่อง”
นั้นเป็นข้อสรุปที่ยูซอดัมได้มาจากการฟังคำอธิบายของกอมฮีในขณะที่เขาได้เผลอหลับไป
“เฮ้ นี้นายกำลังฟังอยู่รึป่าวนะ?”
“แน่นอนสิ แน่นอน แต่ฉันมีคำถามอย่างหนึ่ง”
“ถามมาโลด! ฉันจะบอกนายทุกอย่างยกเว้นก็แต่เรื่องราวความรักของฉัน”
“อะไรคิดเทคนิคการเพาะบ่ม?”
“…มันหมายถึงการฝึกฝนด้านตนตัวหรืออุปนิสัยของตัวนายเอง”
“อ่าหะ”
ฮาซุนยังดูเหมือนว่าจะอยากสอนให้ยูซอดัมรู้อย่างถูกต้องว่าสิ่งที่เป็น ‘มูกง’ จริงๆแล้วนะมันคืออะไรและยูซอดัมก็ดูค่อนข้างที่จะสนใจในเรื่องนี้จึงได้ตัดสินใจที่จะเรียนรู้มันในตอนนี้เลย
“ถ้าหากว่านายได้เรียนรู้มู(ศิลปะการต่อสู้)และไม่ได้รู้เกี่ยวกับฮยอบ(ความกล้า)นายไม่สามารถที่จะเรียกด้วยเองได้ว่าเป็นคนจากมูริม ฉันก็ฝึกฝนชอลชิบูซิมด้วยเหมือนกันแต่ไม่เคยใช้พลังนั้นเลย”
“อะไรคือชอลชิบูซิม?”
“….”
ฉันจะไปรู้คำบ้าบอพวกนี้ได้ยังไงหละ?
“นี้นายไม่รู้อะไรเลยได้ยังไงกันเนี่ย?”
“ฉันเลิกเรียนหลังจบมัธยมตนแล้วกลายมาเป็นฮันเตอร์นะ”
“อ้า”
ฮาซุนยังหุบปากของเธอและคิดอยู่แป๊บหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงคร่ำครวญ
“ก่อนที่นายจะมาเรียนเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้…ไม่สิ ฉันว่าก่อนที่นายจะเรียนเกี่ยวกับมูและฮยอบทำไมนายไม่ไปเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรจีนก่อนหละ?”
“นี่ฉันต้องเรียนเกี่ยวกับมูและฮยอบจริงๆอย่างนั้นเหรอ? สิ่งที่ฉันต้องการเรียนจริงๆอะคือมูกงตั้งแต่เริ่มแล้วนะ?”
“เหอะ! ถ้าหากว่านายรู้แต่มูและไม่ได้รู้ว่าฮยอบคืออะไรแล้วหละก็ นายก็จะเป็นแค่อันธพาลที่รู้วิชาดาบเท่านั้นแหละและถ้านายรู้เพียงแค่ฮยอบแต่ไม่รู้มูนายมันก็จะเป็นแค่คนชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีแต่ความกล้า!”
อยู่ๆวิธีที่เธอพูดก็คล้ายกับชายชราไปเสียแล้วเธอไอออกมาดังๆและพูดอีกครั้งหนึ่ง
“หืม? นายเข้าใจไหม? เพื่อที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากผู้คนในมูริมแล้วนายจะต้องเรียนรู้ทั้งมูและฮยอบ”
แต่ว่า
ถ้าหากบทสนทนายังคงไปอย่างกับเส้นคู่ขนานแบบนี้แล้วหละก็มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ได้อย่างถูกต้องดังนั้นยูซอดัมเลยได้แต่ประท้วงออกมาอย่างไม่มีทางเลือก
“ขอโทษทีนะ พวกเราเป็นคนเกาหลีนะ ทำไมเธอถึงไม่พูดมันในภาษาเกาหลีหละ? ครูที่ดีนะเคยบอกกับฉันว่าคนเป็นครูนะควรที่จะสอนอยู่ในระดับเดียวกันกับระดับสายตาของนักเรียนสิ”
“ฉันไม่รู้เรื่องพวกนั้นหรอก! พวกนักเรียนโง่ๆนะควรที่จะฝังสายตาตัวเองเอาไว้ที่พื้นซะ”
เธอทำสีหน้าลำบากใจอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะฮาซุนยังจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“ในตอนที่ฉันได้เร่รอนผ่านโรงเรียนมามากมาย ฉันได้เรียนรู้มูกงมามากมายหลายรูปแบบ นายรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
“อ่าหะ”
“มันไม่มีโรงเรียนเฉพาะใดที่เข้ากับฉันดังนั้นฉันเลยปฏิเสธคำเชิญของพวกเขาและได้เจอกับเหล่าอาจารย์มากมาย ได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มาหลากหลายประเภท ได้รวมพวกมันเข้าด้วยกัน และทำให้พวกมันเป็นของฉันโดยสมบูรณ์ดังนั้นแล้วมันเลยมีอยู่ไม่มีคนเท่านั้นที่สามารถจะเอาวิถีดาบของ ‘ซุนยัง’ ออกไปจากชื่อวิชาของฉันได้”
“….”
นี้มันออกจะ….อ่าก็ได้ มันคงจะเป็นความรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในการตั้งชื่อที่พวกเขามีหละมั้ง แม้แต่พวกสมาคมศิลปะการต่อสู้ก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้คงเพราะพวกเขาก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
“คนจากมูริมเค้าสอนวิชาให้กันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”
“ไม่มีทางอยู่แล้ว ฉันนะเป็นศิษย์สายในทุกๆโรงเรียนและฉันก็ได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเช่น ‘การเขียนคำทำนาย’ มาได้อย่างยากลำบาก ฉันจะสามารถที่จะเรียนรู้เพลงดาบได้อย่างละนิดอย่างละหน่อยเพราะว่าฉันได้ขายพรสวรรค์อันต่ำต้อยของฉันออกไปไงหละ”
“พรสวรรค์นั้นคือ?”
แล้วกอมฮีก็กล่าวด้วยออกมาน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความละอายใจ
“ฉันนะ อืม ก่อนหน้าที่ฉันจะตกลงไปยังมูริมและได้เรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เมื่อ 20 ปีก่อนฉันเคยเป็นไอดอลที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานเพราะงั้นฉันเลยชอบที่จะฟังและร้องเพลง ฉันเลยได้จดจำเพลงป๊อปยุคใหม่ทั้งหมดลงไปในหัวของตนและฉันก็ได้เดินทางไปทั่วทุกที่และร้องเพลงพวกนั้นออกมาในสถานที่จำพวกคฤหาสน์ที่เหล่าปรมาจารย์ได้มาร่วมตัวกัน ฉันไม่ได้รู้เลยว่าพรสวรรค์ของฉันจะสามารถใช้งานได้ในรูปแบบนี้”
พูดอีกอย่างก็คือ เธอได้เรียนรู้มูกงด้วยการร้องเพลงบางเพลงออกไปสินะ
“…นี้มันสมเหตุสมผลแล้วเหรอ?”
ยูซอดัมเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะว่าเขาไม่เคยไปยังโลกที่เต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้มาก่อน อืม งั้นสิ่งที่มาจากยุคสมัยใหม่มันก็ต้องได้รับการพัฒนามาเป็นร้อยๆปีมากกว่าอารยธรรมของมูริมอยู่แล้วอะนะ อย่างเช่นตัวของฮาซุนยังเองที่ได้ขายเพลงของเธอออกไป มันดูเหมือนว่าจะมีเหล่าผู้คนจำนวนมากจากมูริมที่ได้ใช้ความรู้จากยุคสมัยใหม่และพรสวรรค์ของพวกเขาในการเข้าสู่ตระกูลที่ทรงเกียรติของที่นั้นสินะ
“ยังไงก็ตาม ฉันได้สร้าง ‘วิชา’ ของตัวเองขึ้นมาด้วยการยึดเอาแต่ส่วนที่ดีของ ‘เต๋า’ ทั้งหลายที่ฉันได้เรียนรู้มา แน่นอนว่ามันคงไม่ดีพอที่จะนำไปเทียบกับสิ่งที่สมบูรณ์แบบอย่างเช่นชอนมาหรือเดอมาร์ แต่ฉันก็สามารถที่จะนำเต๋าอื่นๆมาร่วมกันเพื่อให้วิชานี้ดีขึ้นได้และมันก็สามารถที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอด”
“โอ้ว…”
“สิ่งที่ฉันกำลังพยายามจะสื่อก็คือ…ไม่สำคัญว่านายจะเรียนรู้เทคนิคการเพาะบ่มจิตใจของฉันได้อย่างไรก็ตาม มันก็เหมือนกับว่าเป็นการผสมเพื่อใส่ในชามข้าวหมา อ้า ฉันจะใช้ฉันเปรียบเทียบให้ดีกว่านี้ก็ต้องเหมือนกับ ‘ร้านหน้าหน้าปลาดิบรวมมิตรที่มีแต่ของดี’ ซึ่งร้านพวกนี้ก็มักจะแพงยิ่งกว่าข้างหน้าปลาดิบแบบเพียวๆที่มีคุณภาพสูงทั่วไปส่วนมากเสียอีกอย่างไรก็ดีร้านอาหารเหล่านั้นก็ยังคงมีกลิ่นอายของร้านอาหารแนวสตรีทโชยออกมา”
(ผู้แปล : อารมณ์ร้านอาหารที่ทำข้าวหน้าปลาดิบรวมมิตรที่มีการนำวัตถุดิบแปลกใหม่มาผสมผสานมากขึ้นเรื่อยๆหนะครับ)
“อ่าหะ”
มันเป็นเป็นคำอุปมาอุปไมยที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากจนถึงขั้นที่ว่ายูซอดัมไม่สามารถแม้แต่จะเถียงอะไรออกมาได้เลยสักคำ
“ดังนั้นแล้วนับจากตอนนี้ไปฉันจะอธิบาย ‘เต๋า’ และ ‘วิถี’ ของฉันในความหมายของ ‘เกาหลี’ ละกัน”
“ครับครู”
เธอคิดอยู่เพียงช่วงสั้นๆและยกนิ้วชี้ของเธอขึ้นมาราวกับว่าเธอคิดออกมาว่าจะใช้คำว่าอะไรดี
“ลองจินตนาการดูว่านายกำลังถูกระทืบจนปางตายในทุกๆครั้งที่นายต้องสู้กับใครสักคน”
“ได้ โอเค”
“แต่ที่บังเอิญไปมากว่านั้นในขณะที่โดยกระทืบอยู่นายยังจำเป็นที่จะต้องมุ่งความสนใจไปที่การทำสมาธิและการเพาะบ่มของนาย”
“ทำไมเป็นงั้นหละ? ทำไมฉันถึงต้องทำสมาธิในเมื่อใครบางคนกำลังกระทืบฉันอยู่ด้วยหละ?”
“นั้นก็เพราะว่าถ้านายล้มเหลวในการทำสมาธิ นายจะธาตุไฟแตกเข้าแทรก”
“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดหละก็ ฉันจะมีปัญหาใช่ไหมถ้าฉันธาตุไฟเข้าแทรกนะ?”
“ใช่แล้วหละ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนายถึงต้องควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองผ่านการทำสมาธิ ทำไมงั้นเหรอ? ก็เพราะว่าในทันทีที่นายคิดเพราะกับเรื่องอื่นแล้วหละก็นายจะตาย”
“…….”
ยูซอดัมเคยคิดว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาต้องเสี่ยงชีวิตมากขนาดนั้นเลยเหรอเพื่อควบคุมจิตใจตนเอง
“ฉันรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อคำพูดของฉันแต่ว่ามันเป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเมื่อนายทำสมาธิแล้วมีความเสี่ยงแบบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง”
หลังจากนั้นฮาซุนยังก็ได้แปลความหมายจากคำของ ‘มูริม’ ไปสู่คำในภาษา ‘เกาหลี’ และอธิบายมันให้ยูซอดัม
กว่าที่พวกเขาจะรู้สึกตัวมันก็ถึงช่วงเวลาอาหารเย็นเสียแล้ว
……………………………………………………..
……………………………………………………..
[คุณไม่สามารถที่จะเรียนรู้สกิลนี้ได้]
นั้นเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกฝนของยูซอดัม
“นายไม่มีพรสวรรค์เอาซะเลย”
แม้ว่าเขาจะได้ยินคำพูดของฮาซุนยัง เขาก็ยังคงจ้องมองไปที่ข้อความจากระบบอย่างเงียบๆ
ใช่แล้ว มันเป็นแบบนี้แหละ
จนถึงตอนนี้ มันไม่มีอะไรเลยที่ได้ผลเมื่อเขาได้ลองพยายามทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง
ยูซอดัมไม่ได้รู้ถึงเหตุผลที่แน่นอนว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถที่จะเรียนรู้ความสามารถนี้ได้แต่ว่ามันไม่ได้เป็นส่วนที่สำคัญจริงๆหรอกเพราะว่าเขามีควาดคิดดีๆอยู่ในหัวแล้ว
“ซุนยัง พระสูตรนี่ไม่ได้ดีเท่ากับเดอมาร์และชอนมาพวกนั้นสินะ แต่เธอเคยบอกว่ามันก็ยังโอเคถ้าหากว่าผสมมันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกันใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“ดังนั้นแล้ว ฉันสามารถที่จะผสมมันด้วยตัวตนของวิชาของตัวเองได้ไหม?”
“หา? เอ่อ…อย่าไม่คิดถึงเรื่องนั้นเลย? นายไม่สามารถที่จะผสมวิชาของตนเองด้วยวิชาของฉันได้หรอกเพราะว่าวิชาที่ฉันมีมันสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ฉันไม่คิดว่านายจะใช้ประโยชน์จากมันได้อีก…”
เอาจริงๆแล้ว วิชาที่ยูซอดัมคิดไว้ว่าจะนำสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘พระสูตรของซุนยัง’ ผสมลงไปก็ไม่ใช่อื่นไหนเลยนอกไปจาก เทคนิคการหมุนเวียนมานาของอาราเซลลี
ในอดีต ยูซอดัมสามารถตระหนักรู้แล้วว่าเขาสามารถที่จะนำเพลงดาบอื่นๆอีกสาม สี่อันมาใส่ไว้ในเพลงดาบสีขาวได้ อีกทั้งสกิลใหม่ก็สามารถที่จะซ้อนทับกับสกิลเดิมที่มีอยู่แล้วได้
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ มันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีมักจะใกล้เคียงกับสกิลติดตัวที่มีความสามารถในการดึงดูดมานาเข้ามาสู่ร่างกายโดยธรรมชาติมากกว่าที่จะเป็นสกิลที่ยูซอดัมต้องใช้ออกด้วยความจงใจ
แต่อะไรจะเกิดขึ้นกับถ้าหากว่าเขานำเอาพระสูตรนี้ไปทบลงบนมันเพื่อเสริมความสามารถของสกิลนี้ขึ้นไปอีกขั้นหละ?
[การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลี MK-40 (SS)]
ณ ตอนนี้การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีได้ถูกสร้างขึ้นโดยมหาจอมเวทย์ที่ชื่อว่า อาราเซลลี ไลน์คาลโดยการเสริมมันให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นจนมาถึงขั้นที่ 40 แล้ว แต่มันไม่ได้มีกฎที่ระบุไว้นิว่าเราไม่สามารถที่จะเสริมมันไปได้มากกว่านี้อีก มันเป็นอาจจะเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้ด้วยความรู้เรื่องเวทมนตร์ระดับเด็กน้อยของเขาแต่ถ้าเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ด้วยตัวมันเองอยู่แล้วอย่างมูกงได้ถูกเพิ่มเข้าไปหละก็…
[สกิล ‘การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลี MK-40 (SS)’ ได้ตอบสนองต่อสกิลใหม่ ‘พระสูตรของซุนยัง (A)’ และได้แสดงถึงสัญญาของการเปลี่ยนแปลง]
แน่นอนว่าการทำแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนเช่นฮาซุนยังแต่กับคนที่ไร้พรสวรรค์เช่นยูซอดัมแล้วมันเป็นเพื่องที่ค่อนข้างยากเอาการเลย
เขาจำต้องดิ้นรนอยู่หลายวันในขณะที่ที่ถูกขังไว้ที่กึมกังยิมกับฮาซุนยัง สำหรับหลายๆวันที่ผ่านมานั้นเขาได้เผาไหม้หัวใจของตัวเองด้วยมานาอย่างต่อเนื่อง
และหลังจากผ่านไปหลายวันกับการลองผิดลองถูก…
[สกิลได้รับการวิวัฒนาการ!]
[รูปแบบการหมุนเวียนมานาของอารา-ซุนยัง MK-41 (SS+)]
ในที่สุดพวกเขาก็สำเร็จในการแปลงสกิลวิธีการหายใจด้วยมานาแบบติดตัวไปเป็นสกิลเรียกใช้งาน ฮาซุนยังก็ประสบความสำเร็จในการสร้างสกิลซึ่งสามารถที่จะสอนให้กับคนอื่นๆได้เรียนรู้และเสริมรูปแบบการหมุนเวียนมานาแบบดังเดิมเข้าไปในพระสูตรของเธอเองได้เช่นเดียวกัน
[สกิลของตัวละครรองฮาซุนยัง ‘พระสูตรแห่งซุนยัง (A)’ ได้เปลี่ยนกลายเป็น ‘พระสูตรแห่งซุนยังเซลลี (S)’]
ฮาซุนยัง เด็กสาวที่เคยได้เร่รอนไปทั่วทั้งมูริมและได้ฉกเอาส่วนที่ดีที่สุดมาจากศิลปะการต่อสู้ต่างๆและทำให้มันเป็นของเธอเอง สกิลที่พวกเขาพึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยกันนี้คงจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความช่วยเหลือของเธอ
ในยามรุ่งสาง ฮาซุนยังที่ได้เสร็จสิ้นการทำสมาธิของเธอเองได้เปิดตาขึ้น
ด้วยผลลัพธ์ที่ได้คือการที่สกิลของเธอได้พัฒนาไปเป็นแรงค์ S ผลของมันทำให้แม้แต่กอมฮีที่อยู่ในระดับที่สูงอยู่แล้วก็สามารถที่จะหมุนเวียนคิด้วยวิถีทางที่ปราณีตมากยิ่งขึ้น
“…เป็นวิชาที่ดี”
มันใช้เวลา 10 วันสำหรับการหลอมรวมสองสกิลนี้เข้าด้วยกัน
ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์มากที่มันใช่เวลาเพียงแค่ 10 วันเท่านั้นเองเพื่อทำให้สกิลแรงค์ A ได้รับการวิวัฒนาการไปสู่แรงค์ S และแม้กระทั้งทำให้มันเป็นไปได้ที่จะทำไปสอนคนอื่นอีกด้วย
‘แน่นอนว่า นี้ไม่ควรที่จะสอนให้กับทุกๆคน’
ยูซอดัมได้ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนและตรวจสอบไปที่หน้าต่างค่าสถานะของเขา
[มานา : 60]
เลเวลของเขาในปัจจุบันนี้คือ 49 ค่าสถานอื่นๆนอกจากมานาไม่สามารถที่จะเกินระดับเลเวลนี้ไปได้มันเป็นไปได้แค่เพียงค่าของมานาอย่างไรก็ตามด้วยตัวตนของวิธีการหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีซึ่งได้เติมเต็มขีดจำกัดของมานาได้มากเท่าที่ขีดจำกัดของร่างกายเขาจะรับได้จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับระดับเลเวลของเขาแต่เนื่องจากว่าเขาได้รับการฝึกฝนด้วยมิสคลีนในโลกที่ผ่านมาและได้ทะลุขีดจำกัดสูงสุดได้แล้วครั้งหนึ่ง นั้นเป็นเวลาที่เขาได้เรียนรู้แล้วว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ดังนั้นปริมาณมานาในร่างกายทั้งหมดของเขาจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
พลังของเลข 60 นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ค่าสถานะแรกที่ทะลุขีดจำกัดเท่านั้นแต่มันยังเป็นครั้งแรกที่เขามีสกิลระดับสูงที่สุดถึง (SS+) และความสำคัญของมันนั้นแตกต่างกันออกไป
“ในตอนนี้ฉันคงต้องโทรเรียกคุณยีซาฮเยมาแล้วสินะ”
“เพื่อที่จะสอนเพลงกับพื้นฐานให้กับเธองั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
เวอร์ชันแรงค์ S ของพระสูตรแห่งซุนยังเซลลีสามารถที่จะสอนให้กับใครบางคนที่ฮาซุนยังอนุมัติเท่านั้น มันไม่ได้เป็นข้อบังคับแต่มันเป็นหมือนกับการแสดงออกถึงมารยามให้กับผู้สร้างทักษะนี้ขึ้นมากกว่าและยูซอดัมก็จะสอนมันให้กับสมาชิกระดับสูงของกิลด์ทั้งหมด กลุ่มคนที่จะมาเป็นแขนขาให้กับเขารวมไปถึงยีซาฮเย เขาไม่ได้วางแผนที่จะขอให้คนพวกนี้ผูกชีวิตของพวกเขาไว้กับตัวเองทั้งชีวิต อย่างน้อยที่สุดคนพวกนี้ก็จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่กิลด์เขาจนกระทั้งเขาได้เขาไปในเฮลเกตเรียบร้อยแล้ว
แต่ทันใดนั้นเองข้อความก็ได้ปรากฏขึ้นในในของยูซอดัม
[สกิล ‘นักล่าตัวเอก เลเวล 3’ ได้ถูกเปิดการใช้งาน]
[ตรวจสอบเนื้อเรื่องหลักของตัวเอก ‘อีดงจุน’]
[กำลังทำการตรวจสอบเนื้อหา]
……………………………………………………..
……………………………………………………..
<พล็อตเรื่อง>
เดอมาร์ขั้นสุด หนึ่งเดียวผู้ที่ได้ทำลายนิกายชอนมาทั้งหมดในมูริมลง
อย่างไรก็ตาม มันยังมีอีกหนึ่งคนที่เขาไม่สามารถที่จะฟันลงได้เธอเป็นหญิงสาวที่เขารัก ดังนั้นในท้ายที่สุดเขาได้นำตัวเธอกลับมาที่โลก
“ถ้าหากว่าแกกล้าที่จะแตะต้องตัวฉันหละก็ ฉันจะฆ่าตัวตายซะ”
อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าเธอไม่ปฏิเสธเขาโดยสมบูรณ์ เขาจึงได้บังคับทำลางหนทางและความมั่นใจทั้งหมดของลงด้วยการปล่อยเธอไว้ที่ใจกลางของเทือกเขาที่มีพายุหิมะโหมกระหน่ำตลอดทั้ง 365 วันในหนึ่งปี
ชอนมาที่ถูกคุมขังอยู่ที่นั้นย่อมขุ่นเคืองใจเดอมาร์เป็นธรรมดา
“ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะแสดงให้เธอได้เห็นโลกใบนี้นะ ว่ามันเป็นสถานที่ๆเธอสามารถจะใช้ชีวิตอยู่ได้เท่านั้นเอง”
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างหัวใจของเธอได้สั่นไหวเมื่อเธอได้ยินคำพูดเหล่านั้น
……………………………………………………..
……………………………………………………..
“บ้าอะไรเนี่…”
‘เธอตรวจสอบเรื่องพวกนี้ได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?’
“ใช่ค่ะ”
<ฉันได้บอกคุณได้ก่อนหน้านี้แล้วนะคะว่าด้วยความสามารถของสกิล นักล่าตัวเอกเลเวล 3 ทำให้ฉันสามารถที่จะแทรกแซงกับเนื้อเรื่องหลักได้ค่ะ>
‘ไม่นะ นี้ฉันลืมเพราะว่ายุ่งในช่วงนี้อย่างนั้นเหรอ?’
กลับมาคิดอีกรอบแล้วในตอนที่ฉันได้ล่าตัวเอกที่อยู่ในลูป สถานการณ์ในตอนนั้นมันจบลงเร็วเกินไป มันคงเร็วเกินกว่าที่ฉันจะได้ใช้สกิลนี้สินะ?
‘แถมยังมีเรื่องของชอนมาอีก หืม?’
เขาเคยได้ยินเรื่องรางเกี่ยวกับชอนมามาจากกอมฮีและคนอื่นๆจากมูริมนิ ว่าเมื่อชอนมาได้ข้ามมายังโลกพร้อมกันกับอีก 3 ราชันย์และ 6 จักรพรรดิ เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ข่าวสารใดเกี่ยวกับตัวเธอหลุดออกมาเลย
ยูซอดัมแถมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหตุผลที่ไม่มีใครสักคนรู้ที่อยู่ของเธอมันเป็นเพราะว่าเธอถูกขังไว้นี่เอง
‘และในประโยคที่ว่า ‘หัวในของของเธอได้สั่นไหว’ ก็น่าสงสัยเช่นกัน’
บางทีตัวปัญหาในเรื่องนี้คงเป็นสกิล ‘เสน่ห์’ ของอีดงจุน การแก้ไขอันไร้ซึ่งหลักเหตุผลของตัวเอกของ ‘ฮาเรม’ ที่จู่โจมแบบไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู
“มีอะไรงั้นหรือ?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่…”
คิดดูแล้วตั้งแต่ที่ชอนมาถูกตั้งให้เป็นหัวของของนิกายที่เป็นบอสของนิยายศิลปะการต่อสู้ งั้นมันไม่ได้หมายความว่าเธอมีพลังที่โหดโคตรเลยใช่ไหม? ถ้าหากว่าได้ใครสักคนเช่นเธอโดนล่อลวงไปโดยอีดงจุนหละก็…
‘เธอจะกลายมาเป็นอุปสรรคชิ้นโตสำหรับฉันในอนาคต’
โดยที่ไม่สนว่าชอนมาจะเป็นปีศาจหรือไม่ก็ตาม นี้มันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยในตอนนี้
เธอสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับเดอมาร์ถึงขนาดที่ว่าเธอถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อเรื่องหลักได้ เขาจำเป็นที่จะต้องหยุดเธอก่อนที่เธอจะตกหลุมรักอีดงจุนไปโดยสมบูรณ์
แต่จะทำได้ยังไงหละ? พล็อตเรื่องทั้งหมดนั้นก็ดีนะ แต่ว่ามันไม่ได้บอกถึงส่วนที่จะสำคัญที่สุดที่ฉันจำเป็นต้องรู้…ไม่สิ เดวก่อนนะ หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
‘เทือกเขาที่มีพายุหิมะโหมกระหน่ำตลอดทั้ง 365 วันในหนึ่งปี? เท่าที่ฉันรู้มัน…’
มันมีที่แบบนั้นอยู่เพียงแค่ที่เดียวบนโลกใบนี้