ในสถานที่ซึ่งไร้เสียงใดๆ สถานที่แห่งนี้ เต็มไปด้วยเหล่าผู้คนมากมายต่างพากันโบกไม้โบกมือไปยังใครบางคนในขณะที่พวกเขากรี๊ดออกมาโดยไร้เสียง
ในมือของพวกเขาแต่ละคนมีแท่งไฟอยู่ในมือของ นี้พวกเขากำลังโกรธหรือตื่นเต้นกันแน่เนี่ย?
ดูๆไปแล้วเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังคลั่งไคลกับอะไรบ้างอย่างเลยนะ? เพราะว่าคนพวกนี้นั้นดูมีความสุขและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน
คนพวกนี้ทั้งหมดมีบางสิ่งที่เหมือนกันอยู่มัน หลักฐานก็คือที่ว่าพวกเขาทุกคนกำลังบ้าคลั่งเกี่ยวกับใครบางคนอยู่
คนๆนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามพร้อมด้วยเส้นผมสีม่วงเป็นประกาย ในทุกครั้งที่เธอจับไมโครโฟนและเปล่งเสียงตะโกนออกไป คนเหล่านี้แต่ละคนก็จะตอบสนองกับมัน
อารมณ์ความรู้สึกของคนเหล่านี้ทั้งหมดได้ระเบิดออกมาไม่ว่าจะเป็นทั้ง,ความตื่นเต้น,ความดีใจ,ความคลั่งไคล้,ความกระตือรือร้น
และ…
เมื่อมองดูไกลออกไปตรงด้านหลังของกลุ่มคนพวกนี้นั้นที่กลุ่มเงาจำนวนมากมายนับไปถ้วนวนเวียนอยู่
“เฮือก”
ผู้พยากรณ์เยคาเทรีน่าได้ระมือของเธอออกจากวาดภาพ
ฟุบ
เธอจมลงไปยังที่นั่งของเธอแล้วถอนหายใจออกมา
วันนี้ก็เป็นอีก ที่เธอได้เห็นภาพของอีกหนึ่งภัยพิบัติล่วงหน้า
‘ครั้งนี้เป็นที่คอนเสิร์ตอย่างนั้นหรือ?’
อุบัติเหตุในครั้งนี้จะเกิดขึ้นที่เกาหลีภายในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ เป็นภัยพิบัติที่มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่ชื่อ ‘เฮโลนี่’
‘มันเป็นโศกนาฏกรรมที่สามารถจะป้องกันมันได้หากว่าเหล่าผู้มีอำนาจระดับสูงในงานครั้งนี้ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้า’
เมื่อคิดงั้นแล้วเธอก็ค่อยยกตัวขึ้นจากที่นั่งของเธอ
เธอกำลังยืนอยู่ภายในทางเดินสีขาวสะอาดตา มีภาพวาดจำนวนมากที่สามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งโถงทางเดินแห่งนี้ ในภาพวาดแต่ละอันได้พรรณนาถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้หรือว่าได้เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต
เธอสามารถที่จะเห็นอนาคตได้อย่างชัดเจนราวกับว่าเธอมีตัวตนอยู่ในพื้นที่แห่งนั้นด้วยการสัมผัสไปที่ภาพวาดเบาๆ
ที่แห่งนี้นั้นเป็นโลกภายในความฝันของเธอ
เมื่อผู้พยากรณ์เยคาเทรีน่าทำการพยากรณ์เธอจะมาที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะอันแสนลึกลับนี้เสมอและเธอก็ถูกบังคับให้มองไปที่ภาพวาดพวกนี้แม้ว่าเธอจะปิดตาหรือหันหน้าไปทางอื่นอยู่ก็ตาม
“เห้อ…”
ในขณะที่เธอหายใจเข้าอย่างช้าๆ เยคาเทรีน่าสะบัดหัวออกไปเมื่อเธอได้ยินเสียงดังออกมาจากที่ไหนสักแห่ง
ตึง!! ตึง!! ตึง!!
เธอแน่ใจเลยว่าเสียงนี้เป็นเสียงฝีเท้าของใครสักคนเป็นแน่
เมื่อเธอได้ยินเสียงนี้ เยคาเทรีน่ากลืนน้ำลายของตัวเองลง
นี้เป็นโลกแห่งความฝันของเยคาเทรีน่า
มันเป็นความฝัน ภายในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่ๆควรจะมีเพียงแค่ตัวเธอคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ กลับมีใครอีกคนหรือตัวตนอะไรบ้างอย่างอีกหนึ่งสิ่งอยู่ที่นี่นอกไปจากเธอ
มันคืออะไร? เป็นใครกัน? มันมาจากที่ไหนกัน?
สำหรับคำตอบของคำถามพวกนี้เธอเองก็ไม่รู้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่นอนคือเธอไม่ควรที่จะถูกจับได้โดย ‘บางคนหรือบางอย่าง’ นั้น
‘ฉันต้องตื่นเดียวนี้’
มันก็เป็นปีมาแล้วนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอต้องอยู่กับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดนี้ เธอคุ้นเคยกับมันแล้ว
ตึง!! ตึง!! ตึง!!
แต่การคุ้นเคยกับมันไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ได้กลัวมันหรอกนะ
ในอีกฝั่งหนึ่งของทางเดินแห่งนี้ เงาร่างของ ‘บางสิ่ง’ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เป็นบางสิ่งที่มีรูปร่างขนาดใหญ่ที่ดูๆไปแล้วมีความสูงเหนือ 3 เมตรขึ้นไปพร้อมด้วยผิวกายของมันที่ไหม้เกรียมเป็นสีดำและชุ่มไปด้วยน้ำราวกับว่ามันพึ่งออกมาจากน้ำ
เจ้า ‘บางสิ่ง’ นี้ได้สะบัดหน้าไปทางโถงตรงทางเดินและมองตรงไปที่เยคาเทรีน่า
ฟึต!
หัวที่มีขนาดใหญ่มากมันใหญ่ยิ่งกว่าร่างกายชายหนุ่มวัยผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยทั่วๆไปเสียอีก ได้หันมา
แล้ว
ตึง ตึง!!
ตึง ตึง ตึง!!
ตึง ตึง ตึง ตึง!!!
เจ้าสิ่งมีชีวิตแปลกๆนี้เริ่มที่จะวิ่งมาทางเยคาเทรีน่าด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว
‘ตื่นสิ ตื่นเร็วเข้า ได้โปรดเถอะ ฉันต้องตื่นเดียวนี้’
และวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งวัน เยคาเทรีน่าได้ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายของเธอพร้อมกับเสียงกรี๊ดร้องที่ดังขึ้น
……………………………………………………..
……………………………………………………..
สถาบันฝึกสอนเหล่ายอดมนุษย์เซจอง สถานทีที่มีเพียงแค่เหล่านักเรียนชั้นยอดในหมู่นักเรียนชั้นยอดอีกทีเท่านั้นได้มาร่วมตัวกันอยู่ที่นี่
สถาบันแห่งนี้มักจะมีคลาสที่เปิดโอกาสให้คนภายนอกเข้ามาดูได้ พวกเขาไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกคลาสแต่เป็นเพียงแค่คลาสจำพวกที่อนุญาตให้เหล่านักเรียนได้ยืดเส้นยืดสายด้วยการใช้งานพลังพิเศษของพวกเขาอย่างเต็มที่ โดยมีชื่อเรียกว่าคลาส ‘การจำลองการต่อสู้’ และคลาส ‘การจำลองการสำรวจดันเจี้ยน’ นี้เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับนักเรียนเพื่อที่จะให้พวกเขาได้ติดต่อกับกิลด์ทั้งหลาย
ชัดเจนเลยว่านี้เป็นโอกาสที่ถูกมอบให้กับทางองค์กรหรือบริษัททั้งหมดที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นสถานการณ์ที่วิน-วินทั้งสองฝั่ง
สำหรับทางด้านกิลด์แล้วพวกเขาก็จะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการรับสมัครเหล่านักเรียนที่มีพรสวรรค์ ทางสถาบันเองก็จะได้สนองความพึงพอใจของตัวเองจากการที่สถานะของตัวสถาบันยกระดับสูงขึ้นเมื่อนักเรียนของพวกเขาได้เข้าสู่กิลด์ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นและสำหรับตัวนักเรียนเองพวกเขาก็จะมีโอกาสมากยิ่งขึ้นที่จะได้รับการเซ็นต์สัญญากับทางกิลด์
แน่นอนว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากกับเหล่านักเรียนที่ได้เซ็นต์สัญญากับทางกิลด์ไปเรียบร้อยแล้วแต่ว่ามันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปจากมุมมองของกิลด์เอง พูดได้คลาสพวกนี้เป็นสิ่งที่ใช้แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในหมู่กิลด์ด้วยกันเองด้วยการเตรียมการช่วยเหลือเหล่านักเรียนที่ได้รับเซ็นต์สัญญาจ้างไว้แล้วให้เข้าร่วมได้ดียิ่งขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการจำลองการต่อสู้,สำรวจดันเจี้ยน และการล่ามอนสเตอร์
สำหรับตัวยูซอดัมที่พึ่งจะสร้างกิลด์ของตัวเองขึ้นมา เขาไม่ใส่ใจนักเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้นั้นเป็นเพราะว่าเขามาที่สถาบันแห่งนี้ด้วยความตั้งใจอย่างอื่นต่างหาก เดิมที่แล้วคนที่มาร่วมงานนี้จะเป็นเพียงแค่สมาชิกในกิลด์เท่านั้นที่มาเป็นตัวแทนของกิลด์…แต่ว่ากิลด์เขาในตอนนี้กลับมีอยู่เพียงแค่เขาคนเดียวในกิลด์ที่สามารถจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระนะสิ
ชินฮเยจีที่อยู่ด้านข้างเขาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเธอ
“นี้ๆคุณรู้หรือป่าวค่ะว่า? เพื่อนๆของหนูนะอิจฉาฉันกันยกใหญ่เลยนะคะ”
“จริงหรือ?”
“ใช่ค่า ตอนแรก เพื่อนของหนูต่างพากันเมินใส่หนูเพราะว่าหนูเซ็นต์สัญญากับกิลด์ที่ไม่เป็นที่รู้จักซึ่งไม่ได้อยู่กลุ่มของกิลด์ที่มีชื่อเสียง แต่เมื่อพวกเขารู้ว่ากิลด์ที่หนูอยู่เป็นกิลด์ของคุณฮันเตอร์ยูซอดัมเท่านั้นแหละค่ะ พวกเขาพากันมามุงถามหนูเลยหละค่ะ”
มันเห็นได้ชัดเลยว่าวันนี้เธออารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เธอทั้งหัวเราะออกมาในขณะที่บอกเล่าเรื่องราวของเธอให้กับยูซอดัมฟัง เป็นอีกครั้งที่ยูซอดัมได้รู้ว่าเธอไม่ได้เหมือนกับพ่อของเธอเลยสักนิด ชินฮเยจีเป็นเด็กที่ช่างพูดและเข้าสังคม
เก่งมาก
เมื่อยูซอดัมมองไปโดยรอบแล้ว เขาก็เห็นนักเรียนบางส่วนที่ได้เจอและพูดคุยกับกิลด์ของพวกเขา บางทีความภาคภูมิใจอาจเป็นปัจจัยหลักในหมู่ของนักเรียนเองก็ได้สำหรับการเป็นเชื้อไฟให้พวกเขามีใจมาแข่งขันกับเพื่อให้ตนเองได้
เข้าสู่กิลด์ที่ดีที่สุด
ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเหล่านี้ที่แสดงตัวอยู่ที่นี่ ที่ดีที่สุดในนี้ก็คงจะเป็นการที่ได้เป็นสมาชิกของกิลด์ยักษ์ใหญ่อย่างแน่นอนแต่ชินฮเยจีก็ดูเหมือนว่าจะมีความมั่นใจในกิลด์ของเธอเอง ถึงแม้ว่ากิลด์ของยูซอดัมจะไม่ได้มีชื่อเสียงและยังไม่ได้แสดงตัวออกมาเลยก็แต่ตัวตนของกิลด์นี้ก็ยังเป็นที่น่าจับตามองอย่างมหาศาลแค่เพียงเพราะว่าตัวตนของ ‘ความสามารถ’ ที่เจ้าของกิลด์ได้ครอบครองเอาไว้เพียงอย่างเดียว
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะนำกิลด์ด้วยความสามารถนี้เพียงอย่างเดียว
“นี้เป็นของขวัญ ฉันให้เธอ เพราะดูเหมือนว่าเธอจะอาศัยความเร็วของตัวเธอเองเป็นหลักในการต่อสู้นิ ฉันเลยเลือกดาบอีเทอร์ที่เหมาะสมกับเธอมาให้”
“หะ? ว้าว ร้ายกาจ”
ยูซอดัมสามารถที่จะทำแบบนี้ได้แล้วในตอนนี้
“หืม นี่…นี่…ไม่ใช่ว่านี้เป็นดาบอีเทอร์เกรดสองงั้นหรือค่ะ?”
“ถูกต้องแล้ว ฉันได้เพิ่มการอัดฉีดพลังงานอีเทอร์ในดาบเล่มนี้ด้วยการใช้ใบมีดที่พับได้นะ ส่วนตัวเซฟตี้ก็อยู่ตรงนั้น”
“โอ้มายก็อด นี่หนูกำลังจับดาบอีเทอร์รูปแบบดามัสกัสอยู่จริงๆหรือค่ะเนี่ย”
สำหรับนักเรียนคนอื่นๆแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่แม้แต่จะได้ใช้ตัวจ่ายอีเทอร์เกรด 3 พวกเขาได้รับเพียงแค่ตัวจ่ายอีเทอร์เส็งเคร็งเกรด 4 เท่านั้นและแม้แต่ตัวของยูซอดัมเอง ดาบอีเทอร์เกรด 2 ก็เคยเป็นเพียงแค่สิ่งที่มีตัวตนอยู่ในความฝันลมๆแล้งๆของเขาเท่านั้นสำหรับตัวเขาในอดีต
อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้แล้วสำหรับเขาในตอนนี้
“ว้าววว!! เขาว่ากันว่าดาบนี้ถูกผลิตขึ้นโดยฝีมือของอุตสาหกรรมเคจเลยนะคะ”
แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนั้นก็บริษัทอุตสาหกรรมเคจนะเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของกิลด์เขานิ แม้ว่ากิลด์ของเขาจะยังไม่ได้สร้างความสำเร็จที่โดดเด่นใดๆเลยก็ตาม อุตสาหกรรมเคจก็ได้ตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จะสปอนเซอร์ในกับยูซอดัมด้วยดาบอีเทอร์เกรด 2 สิบเล่มแต่กิลด์ของเขาในตอนนี้มันก็มีสมาชิกเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นเองดังนั้นมันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลยที่จะให้ดาบอีเทอร์หนึ่งเล่มกับแต่ละคน
“ใช่แล้วหละ มันถูกสร้างขึ้นโดย เคจ”
“โอ้มายก็อด มายก็อด มายก็อด นี้มันเจ๊งสุดๆไปเลยค้า”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้คาดหวังมากนักในแง่ของอุปกรณ์สนับสนุน มุมปากของชินฮเยจีก็ยังยกขึ้นสูงเมื่อเธอได้รับอุปกรณ์สนับสนุนซึ่งอยู่ในระดับที่กิลด์ใหญ่ๆจะให้ได้เช่นนี้ ดูไปที่ตัวเธอที่กระสับกระสายไปมาแล้วมันดูเหมือนกับว่าเธอต้องการที่จะเอามันไปอวดเพื่อรวมชั้นของเธอ
“ใช้ดาบนี้ในการจำลองการต่อสู้ครั้งถัดไปสิ”
ถ้าหากว่าตัวของชินฮเยจีที่มีชื่อโด่งดังในสถาบันแห่งนี้นั้นได้ต่อสู้ด้วยดาบที่มีโลโก้ของเคจอยู่บนมัน กิลด์ของยูซอดัมคงจะต้องได้รับความสนใจจำนวนมากอย่างแน่นอน
“งั้นแล้วทำไมพวกเราไม่ไปกินมื้อเที่ยงและพูดคุยกันเกี่ยวกับการจำลองการต่อสู้ที่จะมาถึงนี้หน่อยหละ?”
“ได้เลยค้า!”
จนกระทั้งถึงตอนนี้ หากมองดูจากภายนอกก็เหมือนกับว่ายูซอดัมมาเพื่อที่จะสอดส่องเหล่าลูกเจี๊ยบที่มีพรสวรรค์บางส่วน
แต่นั้นไม่ได้เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขามาที่นี้
‘ชอนมาและอีดงจุน’
ยูซอดัมได้นึกย้อนไปถึง ‘พล็อตเรื่อง’ ที่ระบบได้แสดงให้เขาดูเมื่อไม่นานมานี้
ตัวของพล็อตเรื่องเองไม่ได้ประกอบด้วยรายละเอียดที่ชัดเจนใดๆด้วยตัวมันเองแต่ว่าเขาสามารถที่จะอนุมานเรื่องราวได้มากมายจากข้อมูลพวกนั้นรวมไปถึงความจริงที่ว่าชอนมาได้ติดอยู่ในสถานที่ที่ ‘มีพายุหิมะโหมกระหน่ำตลอดทั้ง 365 วันในหนึ่งปี’
สำหรับตอนนี้ เขาต้องการที่จะรู้ว่าตำแหน่งที่ชอนมาถูกล็อคตัวไว้มันอยู่ที่ไหน
มันมีสถานที่มากมายบนโลกที่หวานเย็นตลอดทั้ง 365 วันในหนึ่งปียกตัวอย่างเช่นขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้แต่แม้ว่าจะเป็นที่เหล่านั้น หิมะก็ไม่ได้ตกตลอดทั้ง 365 วันในหนึ่งปี ไม่เลยมันไม่มีสถานที่แบบนั้นบนโลกที่จะมีหิมะตกลงมาได้มากมายขนาดนั้น
ยกเว้นแต่เพียง เทือกเขาหิมาลัย สภานที่ซึ่งภูมิอากาศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกตินับตั้งแต่เมื่อตอนที่มหาสงครามได้เกิดขึ้นเมื่อ 31 ปีก่อน
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ชอนมาติดอยู่ที่ไหนสักที่ในเทือกเขาหิมาลัย
และทำไมเดอมาร์ถึงได้ขังตัวชอนมาไว้นะหรือ? นั้นน่าจะเป็นเพราะว่าเธอคงจะเป็นนางเองหลักสำหรับเรื่องราวของอีดงจุน การปรากฎตัวของชอนมานั้นอยู่ในระดับที่สูงมากจนถึงขั้นที่เธอมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้อเรื่องหลักของตัวเอก อีดงจุนและเขาถึงขนาดที่ต้องคอยประคบประหงมเธอเพื่อที่จะไม่ให้เธอตายไป
ยังมีความจริงที่ว่าแกนกลางคิของเธอได้ถูกทำลายลงไปทำให้ชอนมาไม่สามารถที่จะอยู่รอดได้โดยลำพังในภูเขาหิมะเช่นกัน อีดงจุนต้องไปเยี่ยมชอนมาบ่อยครั้งเพื่อที่จะนำอาหารและของที่จำเป็นบางส่วนไปให้กับเธอเพื่อที่จะให้เธอรอดชีวิตอยู่ได้
อีกความหมายหนึ่งก็คือนับจากตอนนี้ ยูซอดัมจำเป็นที่ต้องหา ‘ตำแหน่งที่แน่นอน’ ที่ชอนมาอยู่รวมถึงข้อมูลในเรื่องที่ว่าอีดงจุนไปที่นั้นบ่อยแค่ไหนกันทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่เขาสามารถจะวิเคราะห์ออกมาได้จากการอ่านพล็อตเรื่องเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ดีเขาไม่สามารถที่จะทำสิ่งเรื่องบ้าๆอย่างการไปถามอีดงจุนโดยตรงดังนั้นมีเพียงหนทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ ชินฮเยจีที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดที่ฉันจะใช้หาข้อมูลได้
“หนูนะขอให้พ่อสอนหนูเกี่ยวกับเซซุคยองแล้ว แต่เขาก็บอกว่ามันไม่ควรที่จะสอนใครก็ตามในโลกใบนี้ คุณซอดัมไม่คิดว่านี้มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือค่ะ?”
“ฮ่าฮ่า มันก็แค่ว่าพ่อของเธอกังวลเท่านั้นเอง”
เมื่อพวกเขาทั้งคู่มาถึงที่ร้านอาหารยูซอดัมก็พยายามที่จะเริ่มบทสนทนาง่ายๆกับชินฮเยจี
“โอ้ ว่าไปแล้วทำไมเธอถึงได้รู้เรื่องเกี่ยวกับมูกงดีจังเลยหละในเมื่อเธอไม่ได้เป็นผู้หวนคืนต่างมิติเลยด้วยซ้ำนิ?”
เหล่าผู้หวนคืนต่างมิติถูกห้ามจากการใช้งามมูกง ชินฮเยจีรู้ในเรื่องนี้ดีอย่างไรก็ตามความสามารถของยูซอดัมนั้นคล้ายคลึงกับสิ่งที่เป็นมูกงของเหล่าผู้หวนคืนแต่ว่ามันก็ต่างกับออกไปในเวลาเดียวกันดังนั้น ชินฮเยจีเลยรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่โอเคสำหรับเธอที่จะเปิดเผยความแข็งแกร่งของตนเองให้โลกได้รับรู้
“หนูไม่สามารถบอกเหตุตรงๆให้คุณรู้ได้หรอกค่ะแต่เอามันเป็นเพราะเหตุบังเอิญนะคะ แต่เมื่อเทียบกับพ่อของหนูแล้วความรู้ที่หนูมีมันไม่นับว่าเป็นอะไรเลยนั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหนูถึงได้ขอให้เขาสอนหนูไงค่ะ”
แน่นอนว่าสำหรับตัวของเดอมาร์แล้ว ยูซอดัมไม่ได้มีค่าเทียบเท่ากับชินฮเยจีอยู่แล้ว เทคนิคที่เขาได้เรียนรู้อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่เทคนิคระดับต่ำที่สุด
ทันใดนั้นเอง
ยูซอดัมก็จำได้ถึงเรื่องราวที่เขาเคยได้ฟังมาจากกอมฮี แล้วก็ถามชินฮเยจีออกไป
“พูดไปแล้ว เธอบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องราวของพ่อเธอได้บ้างไหมว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ยังไงในโลกของมูริมนะ? ฉันนะสนใจกับหัวข้อนี้เป็นอย่างมากเลยแต่ฉันไม่สามารถที่จะถามเขาด้วยตัวของฉันเองได้”
“เออ? อืม”
เธอเบิกตากว้างและส่ายหัวของเธอไปมาในขณะที่คิดไปชั่วขณะ
“หนูก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกค่ะ หนูเคยขอให้พ่อเล่าให้หนูฟังเหมือนกันแต่ว่าพ่อไม่ชอบที่จะพูดถึงมันนะสิค่ะเพราะงั้นหนูเลยหยุดถามในเรื่องนั้นไป”
แน่นอนว่าเธอเองก็ไม่รู้
‘ถ้าหากว่าฉันเป็นเดอมาร์หละก็ ฉันก็คงจะไม่บอกลูกสาวของตัวเองเกี่ยวกับมันเหมือนกัน’
‘เขาทำอะไรในมูริมอย่างนั้นนะเหรอ? เขาก็แค่ประหารชีวิตทุกคนยังไงหละ’
ยูซอดัมพยายามที่จะซ่อนรอยยิ้มที่ขมขื่นของเขาเอาไว้ในขณะที่เขานึกย้อนไปถึงคำพูดที่กอมฮีเคยพูด แล้วตัวของชินฮเยจีหละ? เธอก็แค่คนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยแต่ว่ายูซอดัมก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจเธอเลยเช่นกัน
เพราะว่าเขาจำเป็นที่จะต้องใช้ทุกความเป็นไปได้ไม่ว่าจะอะไรก็ตามเพื่อที่จะฆ่าเดอมาร์
“บางครั้งเมื่อฉันโทรไปพ่อของเธอ เขามักที่จะไม่รับสายของฉัน เขายุ่งมากเลยอย่างนั้นเหรอ? เพราะว่าบางครั้งฉันก็มีคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสอนฉันนะ”
“จริงรึคะ? โอ้ว คุณคงจะโทรไปหาพ่อใน ‘ช่วงนั้น’ แน่เลย?”
“ช่วงนั้น?”
“ใช่แล้วค่ะ”
ชินฮเยจีพูดออกมาในขณะที่เธอกำลังดื่มน้ำอัดลม
“หนูคิดว่ามันน่าจะเป็นช่วงเวลาราวๆสองวันในทุกๆเดือนหละมั้งค่ะ? พ่อนะจะหายไปในช่วงสุดสัปดาห์ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อไปที่ไหนแต่ว่า…ใช่แล้ว! พ่อมักจะกลับมาพร้อมกับของฝากจากที่จีนเสมอ หนูคิดว่าพ่อคงจะคิดถึงอดีตของตนเองในบางครั้งนะคะ”
“เข้าใจแล้ว”
“มันจะต้องเป็นสถานที่ที่สำคัญกับพ่อมากแน่เลยเพราะว่าพ่อไม่เคยที่จะเว้นว่างจากการทำแบบนี้เลยสักครั้งนะคะ”
แต่ละครั้งในทุกๆเดือน และเขาก็จะให้เวลาสองวันในการเดินทางไปกลับระหว่างหิมาลัยและเกาหลี
‘ประเทศจีนงั้นหรือ? ในตอนนี้ฉันแน่ใจแล้วว่าเธอถูกขังไว้ที่ไหนสักที่ในเทือกเขาหิมาลัย แล้วที่มันเป็นไปได้ในการเดินทางไปกลับระหว่างเทือกเขาหิมาลัยกับเกาหลีในเวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้นก็เพราะว่าเขาเป็นเดอมาร์สูงสุด’
ถ้าหากว่าเขาต้องการที่จะช่วยเหลือชอนมาออกมา มันจะดีกว่าที่เขาจะเล็งไปในช่วงเวลาที่เดอมาร์พึ่งจะย้อนกลับมาจากเทือกเขาหิมาลัยและเส้นตายของภารกิจในครั้งนี้ก็มีเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สุดๆสำหรับยูซอดัมในตอนนี้ที่จะช่วยเหลือชอนมาออกมา
ยูซอดัมจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการเตรียมการอีกหลายสิ่งหลายอย่าง แถมมันยังมีงานอีกมากที่จะต้องทำที่นี้เช่นกันถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะทำช่วยเหลือเธอช้าเกินไปได้ มิฉะนั้นแล้วชอนมาจะได้รับอิทธิพลโดยเดอมาร์ไปโดยสมบูรณ์และนั้นจะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของยูซอดัมหากเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น
แต่ถึงงั้นมันก็ยังมีวิธีอีกหลายวิธีในการซื้อเวลาเอาไว้
‘ไม่ใช่ว่าเธอเคยบอกว่าสกิลนักล่าตัวเอก เลเวล 3 นั้นสามารถที่จะแทรกแซงกับเนื้อเรื่องหลักได้ใช่ไหม?’
<ใช่ค่ะ>
‘ไม่เกี่ยวกับเรื่องของระยะเวลาและระยะทางของมันด้วยสินะ?’
<นั้นก็เป็นไปได้ค่ะ>
<อย่างไรก็ตาม ‘ตัวตน’ ของคุณเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียกใช้งานให้สกิลนี้ประสบความสำเร็จค่ะ>
‘นั้นไม่เป็นปัญหาเลย’
เพราะว่ายูซอดัมมีใครบางคนที่จะให้ในการแสดงเป็น ‘ตัวตน’ ของเขาแล้ว
‘เจ้าจิตวิญญาณ ถึงเวลาเริ่มงานของเธอแล้ว’
ในขณะที่กำลังคิดเกี่ยวใครสักคนที่ยังคงติดอยู่ในภูเขาหิมะนี้ ยูซอดัมก็ได้พูดกับเจ้ากระถางดอกไม้
……………………………………………………..
……………………………………………………..
ฟื้วววววววว~~
ซอลจองยอน หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นชอนมา ในตอนนี้นั้นแทบจะไม่เหลืออะไรอยู่กับเธอเลย
หญิงสาวคนนี้จ้องมองไปยังพายุหิมะด้วยนอกด้วยดวงตาที่วางเปล่า กระท่อมที่เธออยู่ในตอนนี้นั้นอบอุ่นได้ต้องขอบคุณเทคนิคพิเศษของเดอมาร์ แต่เมื่อไหรก็ตามที่เธอก้าวออกไปจากกระท่อมหลังนี้แม้แต่เพียงก้าวเดียว เธอจะถูกแช่แข็งจนตาย
‘หรือว่าฉันควรที่จะยอมแพ้?’
มันเคยมีช่วงเวลาที่เธอต้องการที่จะมีชีวิตต่อไปอยู่แม้ว่าจะเป็นในสถาพที่เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม เธอก็ยังต้องการที่จะใช่ชีวิตที่แสนสกปรกและหยาบช้าเช่นนั้นเพียงเพื่อที่จะได้สูดลมหายใจต่ออีกเฮือกหนึ่ง
แต่ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายไปเสียแล้ว
นิกายชอนมาในมูริมจากความทรงจำของเธอไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไป
ไม่เหลือใครสักคนบนโลกที่รู้ว่าเธอนั้นติดอยู่ที่นี้
ทันใดนั้นเอง คำพูดของเดอมาร์ก็ได้ลอยขึ้นมาในใจของเธอ
‘ยอมแพ้ในชื่อของชอนมาเสีย แล้วฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี้เองซอลจองยอน’
เพื่อที่จะยอมแพ้ในชื่อของชอนมา
นั้นก็หมายถึงการที่เธอต้องแขวนชีวิตที่เหลือของตนเองไว้เดอมาร์
มันไม่มีเหตุผลอื่นจริงๆแล้วงั้นหรือที่จะทำให้ฉันเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ในเรื่องของนิกายชอนมา? มันไม่มีความหมายอะไรที่จะต้องหมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ไม่หลงเหลืออะไรอยู่เลยและปล่อยเส้นทางที่โรยไปด้วยกลีบกุหลายนั้นไปอย่างนั้นสินะ?
ถ้าหากว่าเธอปล่อยว่างทุกสิ่งทุกอย่างลงและกลายมาเป็นผู้หญิงของเขา ไม่ใช่ว่าชีวิตของเธอจะมีความสุขยิ่งกว่าถ้านำมาเทียบกับช่วงเวลาที่เธอได้ใช้ชีวิตเป็นชอนมาไม่ใช่หรือไงกัน?
ความคิดแนวนั้นได้วนเวียนไปมาอย่างต่อเนื่องเต็มหัวของเธอบ่อยครั้งในช่วงนี้ มันเป็นความกังวลที่คิดไม่ตกของเธอในอดีตที่ผ่านมา
ความกังวลพวกนี้เองเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าหัวใจของเธอเริ่มที่จะสั่นไหวแต่ว่าเธอไม่ได้สังเกตถึงมันเลย
ไม่สิ เธอแค่ไม่สามารถที่จะสังเกิดถึงมันได้
‘ทำไมฉันถึงได้คิดแบบนี้กัน?’
แต่แล้วอยู่ๆ หัวใจของเธอก็ได้สงบลงและจิตใจของเธอก็ได้เย็นลง ในที่สุดเธอก็ได้กลับมาสู่ความเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
พึบ พึบ
ผีเสื้อโปร่งแสงได้บินผ่านหน้าต่างเข้ามา
“นี้มันอะไรนะ?”
ชอนมายืนมือไปทางผีเสื้อตัวนั้นโดยสัญชาตญาณแล้วผีเสื้อตัวน้อยก็ได้บินลงไปยังปลายนิ้วของเธออย่างระมัดระวัง
[สกิล ‘ผีเสื้อบินของจิตวิญญาณดอกไม้สีเงิน’ ถูกเปิดใช้งาน]
[สกิล ‘นักล่าตัวเอง เลเวล 3’ ได้ปะทะเข้ากับสกิล ‘สเน่ห? (SS)’]
[สกิลของตัวละครรองซอลจองยอน ‘จิตใจที่สมบูรณ์ของชอนมา (SS)’ ได้ต่อต้าน ‘สเน่ห์ (SS)’]
ผีเสื้อนี้เป็นของขวัญจากใครบางคนที่อยู่ไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรจากเทือกเขาหิมาลัย
เจ้าผีเสื้อตัวนี้ได้สะบัดปีกของมันอยู่ตรงปลายนิ้วของเธอและบินขึ้นไป เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแสงสว่างที่อบอุ่นก่อนที่จะเขียนข้อความสีขาวขึ้นมากลางอากาศ
– ฉันกำลังจะไปหาเธอ
แสงเล็กๆนี้ได้นำพาความหวังอันริบหรี่มาสู่ชอนมาที่เกือบจะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปแล้ว