สามเดือนได้ผ่านไป
อีดงจุนในตอนนี้กำลังนั่งหลับขณะที่ตัวเองนั่งอยู่บนโซฟา
‘ซอลจองยอน’
เมื่อเร็วๆมานี้ ทัศนคติของเธอได้เปลี่ยนแปลงไป
ซอลจองยอนคอยที่จะขอบางสิ่งบางอย่างจากเขาเมื่อไหรก็ตามที่อีดงจุนมาที่กระท่อมอยู่เสมอ เขาก็ไม่ได้แน่ใจนักว่านั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงในแง่บวกหรือป่าว
‘ฉันอยากได้เขาของซิลกัคซู’
‘ฉันอยากกินเนื้อของวอนกง’
‘ฉันชอบดื่มชาใบไผ่ที่ทำมาจากหยดน้ำค้างที่มีอายุหลายรอยปีนะ ได้รึป่าว?’
สิ่งของพวกนี้ส่วนมากแล้วนั้นไม่นับว่ามากมายอะไรเลยสำหรับเขาแต่ว่ามันก็ยังยากเป็นอย่างมากที่จะได้รับของพวกนี้จากที่โลก ดังนั้นอีดงจุนที่ซ่อนความแข็งแกร่งของตนเองได้ไปเยี่ยมเยี่ยนดันเจี้ยนบ่อยครั้งในช่วงนี้
เมื่อใครสักคนเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จพวกเขาจะหลงเหลือร่องรอยบันทึกการปฏิบัติงานไว้เบื้องหลัง ดังนั้นมันเลยมีข่าวลือขึ้นมาว่าช่วงหลังมากนี้ ‘ฮงยอบซา’ ได้ออกไปลงดันเจี้ยนและเกตเป็นประจำแต่ไม่ว่าใครจะพยายามเข้าถึงตัวของเขามาเท่าไหรก็ตาม คนพวกนั้นก็ยังพลาดโอกาสอยู่ดี ใช่แล้วหละ ไม่มีใครสักคนในโลกนี้ที่มีความสามารถมากเพียงพอที่จะจับเดอมาร์สูงสุดคนนี้ได้
‘นี้ฉันควรที่จะคิดเรื่องนี้ในแง่บวกใช่ไหม?’
อีดงจุนคิดเช่นนั้น
แม้ว่าตั้งแต่ที่เขาได้นำตัวเธอมาที่โลก ดวงตาของเธอได้หมองลงราวกับว่าเป็นดวงตาของปลาที่ตายแล้วเสมอ เธอไม่เคยตอบสนองกับอะไรก็ตามที่เขามอบให้เลย แต่ในช่วงหลังมานี้เธอเริ่มที่จะขอบางสิ่งบางอย่างกับเขาด้วยความประกายของความมีชีวิตชีวาที่อยู่ในดวงตาของเธอ
‘ใช่แล้ว มันต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีอยู่แล้วสิ’
การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเธออาจจะหมายความได้ว่ามันมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปภายในใจของเธอ
บางส่วนในหัวใจของอีดงจุนเริ่มที่จะเต้นเร็วขึ้น
เพียงไม่กี่วันก่อนเมื่อเขาได้ให้ถุงที่เต็มไปด้วยหัวใจของเหล่าสิ่งมีชีวิตประเภทจิตวิญญาณกับเธอ ชอนมาได้ยิ้มกว้างให้กับเขามันเป็นหลักฐานชั้นดีที่พิสูจน์ได้ว่าเธอมีความสุข เมื่อเขาได้เห็นว่าซอลจองยอนมีความสุข อีดงจุนเองก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้รับความรู้สึกของความสุขที่เขาได้ลืมเลือนมันไปเนินนานมาแล้วกลับคืนมาเช่นกัน
‘ครั้งนี้ เป็นเขาของชิลกัคซู’
มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับการค้นหาชิลกัคซูบนโลกแต่ว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลยสำหรับเขา เขาก็แค่จำเป็นที่จะต้องลงดันเจี้ยนทั้งหมดไปเรื่อยๆจนกระทั้งเขาเจอกับชิลกัคซูเท่านั้นเอง
เมื่ออีดงจุนกำลังวางแผนต่างๆมากมายชินฮเยจีก็ได้พุ่งเข้ามาในห้องนอนของเขา
“คุณพ่อค้าาา!!”
“ว่าไง”
“หนูขอไปดูคอนเสิร์ตของคุณเฮโลนี่ที่เกาหลีกับเพื่อนของหนูอาทิตย์นี้ได้ไหมค่ะ?”
“มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นถึงขนาดต้องมาขออนุญาตพ่อเลยนี่ แค่ตอนไปก็ดูแลตัวเองด้วยหละ”
อีดงจุนลูบไปที่เส้นผมของชินฮเยจี เธอยิ้มกว้างตอบกลับมาและผงกหัวของเธอ
“ขอบคุณค้าาาา!”
มองไปที่ชินฮเยจีที่จากไปด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นแบบนี้ อีดงจุนได้ให้คำสัญญากับตัวเขาเองอีกครั้งหนึ่ง…
ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะปกป้องชีวิตที่สงบสุขของคนที่ฉันรักไว้ให้ได้
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
……………………………………………………..
ตึง!
หัวของแรดยักษ์หกเขาได้ตกลงไปบนพื้น
มอนสเตอร์ที่มีขนาดยักษ์ตัวนี้เป็นมอนสเตอร์แรงค์ A ที่มีชื่อเรียกว่าแรดเกราะเพชร มันเป็นสอนสเตอร์ที่มีเพชรอยู่ทั่งทั้งร่างกายของมัน การที่จะฆ่ามอนสเตอร์ชนิดนี้ลงได้นั้นจำเป็นที่จะต้องทำการโจมตีตรงไปยังจุดสำคัญของมันด้วยความแม่นยำเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นถูกจัดว่าเป็นเพียงมอนสเตอร์แรงค์ A ก็ตามแต่พลังที่ต้องการเพื่อที่จะฆ่าเจ้ามอนเตอร์ตัวนี้ลงได้นั้นใกล้เคียงกับแรงค์ S เลยที่เดียวแต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นศัตรูที่ง่ายดายสำหรับกอมฮี ฮาซุงยัง
ดวงตาของเธอเปล่งประกายออกมาในขณะที่เธอได้สกัดคริสตัลอีเทอร์มาจากเจ้าซากศพของมอนเตอร์ตัวนี้รวมถึงบอสมอนสเตอร์อีกหนึ่งตัวที่อยู่ด้านข้างด้วย
“ชิ้นนี้มันค่าเท่าไหรกัน?”
“หืม…คริสตัลอีเทอร์แรงค์ A สามอัน ฉันคิดว่ามันคงจะอยู่ราวๆ 300 ล้านวอนไม่รวมภาษีหละมั้ง”
“ว้าวว แล้วอีกอันหละ?”
“ก็หากเธอนับร่วมคริสตัลอีเทอร์แรงค์ S เข้าไปด้วย ทั้งหมดที่เธอได้ก็คงจะราวๆพันล้านวอน นอกจากนี้แล้วที่ดันเจี้ยนแห่งนี้ยังเป็นดันเจี้ยน ‘ผันผวน’ ดังนั้นแล้วทางรัฐจะให้รางวัลเธออีก 30 ล้านวอน”
“ว้าววว!! แค่รางวัลเพียงอย่างเดียวก็เป็นสองเท่าของค่าจ้างที่ฉันได้รับทั้งปีจากงานเก่าของฉันแล้วนะเนี่ย”
ก็ถ้าเอาไปเทียบกับเงินเดือนของพนักงานพาร์ทไทม์ร้านเน็ตคาเฟ่ที่ไม่ได้มากมายอะไรอยู่แล้วมันก็….
“นั้นคือสิ่งที่การล่าเป็น”
ใช่แล้ว
นี้เป็นโลกของเหล่าฮันเตอร์อย่างแท้จริง
มันเป็นโลกที่ยูซอดัมไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึงเมื่อหนึ่งปีก่อน
นอกไปจากนั้นสำหรับเหล่าฮันเตอร์ทั้งหลายที่มีพลังพิเศษ พวกเขาก็จะสามารถสร้างรายได้มหาศาลจากการล่ามอนสเตอร์แรงค์ B และแรงค์ A โดยปราศจากความกังวลใดๆเกี่ยวกับอุปกรณ์ของพวกเขา
“ฉันได้มามากเท่าไหรกันในสามเดือนที่ผ่านมานี้?”
หลังจากที่ข้อห้ามได้ถูกถอนออกไป ฮาซุนยังได้รับใบอนุญาตการเป็นฮันเตอร์แรงค์ B มาครอบครอง หากว่าเธอทำอย่างที่สุดแล้วหละก็เธอคงจะสามารถกลายมาเป็นหนึ่งในแรงค์ SS จากทั้ง 37 คนบนโลกใบนี้ได้เลยแต่ว่าเธอได้ตัดสินใจที่จะวางตัวอยู่ในระดับต่ำก่อนในตอนนี้
สำหรับสามเดือนที่ผ่านมานี้ ยูซอดัมได้หิ้วฮาซุนยังไปพร้อมกับทำการค้นหาดันเจี้ยนที่ ‘ผันผวน’ ในส่วนต่างๆมากมายในเกาหลี
หนทางสำหรับฮันเตอร์ในการดำเนินภารกิจนั้นก็ง่ายๆ
คือเมื่อไหรที่หอสังเกตการณ์ได้มีการตรวจพบเกตและดันเจี้ยน พวกเขาก็จะเผยแพร่การค้นพบของตนลงบนเว็บไซต์หรือบนแอปพลิเคชันของพวกเขา แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะยอมรับคำร้องทั้งหมดและรวบรวมพวกมันไว้ด้วยกัน หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดที่สามารถจะเข้าสู่ดันเจี้ยนนั้นได้เลยในทันที คนๆนั้นสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นปาตี้หรือไม่ก็ตามและถ้าหากว่าคนที่ถูกเลือกได้ยอมแพ้กลางทางในระหว่างการทำภารกิจ คนๆนั้นก็จะได้รับบทลงโทษ
ดังนั้นแล้ว แม้แต่ฮันเตอร์ที่ดีก็ยังเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะได้รับภารกิจที่ตนเองต้องการถ้าหากพวกเขาไม่ได้โชคดีมากพอและในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดพวกเขาก็อาจจะถูกส่งไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดหรือไม่ได้ก็ไม่ได้รับภารกิจเลยสักอัน ระบบเช่นนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับพวกเขาด้วยเอเจนซีฮันเตอร์
‘เอเทนน่าดอทคอม’ ที่ซอดัมได้เจอก่อนหน้านี้ต้องยกความดีความชอบให้กับวีฮุน โดยที่บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ทำงานในแนวหน้าแต่แทนที่พวกเขาก็เกี่ยวข้องกับการล่าโดยตรง งานของพวกเขาคือการจองภารกิจและจัดสรรมันให้กับกิลด์ที่เหมาะสมในขณะที่เรียกเก็บค่าบริการ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอัตราการเติบโตของกิลด์ที่ได้ผูกไว้กับบริษัทแบบนี้ถึงได้เติบโตอย่างรวดเร็ว
ยูซอดัมก็ได้สร้างกิลด์ชั่วคราวเอาไว้เช่นกัน ดังนั้นเขาสามารถที่จะเซ็นสัญญาระยะสั้นกับเอเจนซี่นี้ได้ กิลด์ของเขาได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยการตั้งเป้าหมายไปที่ ‘ดันเจี้ยนที่ผันผวน’ ซึ่งถูกจัดสรรโดยเอเจนซี่ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมกิลด์ถึงต้องทำภารกิจนั้นก็เป็นเพราะว่ากิลด์จำเป็นที่จะต้องมีผลงานบางอย่างในทุกๆเดือนหรือไม่อย่างงั้นสิทธิอำนาจกิลด์ที่มีก็จะถูกถอดถอนออกไปโดยทางสมาคมแถมส่วนที่สำคัญที่สุดของการลงเกตและดันเจี้ยนก็คือมันทำเงินได้นั้นเอง
“วู้ววว นี้มันบ้ามาก บ้าสุดๆไปเลย”
“นี้เธอชอบเงินขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แน่นอนสิอยู่แล้ว! แม้ว่าฉันจะทำงานไปทั้งชีวิตที่เหลือเพื่อเก็บเงินมันยังไม่ได้มากเท่านี้เลย”
เธอกำมือของตัวเองแน่นราวกับว่าเธอได้ตั้งมั่นในเรื่องบางอย่างไว้แล้ว
“ในเมื่อฉันได้เงินมามากขนาดนี้แล้ว เพราะงั้นฉันคงต้องใช้จ่ายมันไปออกบ้างสินะ”
“หืม?”
‘นี้เธออยากได้รถงั้นเหรอ?’
ยูซอดัมคิด
“ฉันจะไปร้านเนื้อย่างแถวบ้าน ที่ฉันเคยอยากกินมันอยู่เสมอแต่ก็ไม่ได้กินมันเพราะว่ามันแพงเกินไป”
“แล้วจากนั้น?”
“ฉันก็สั่งทุกเมนูที่มีในร้านเลย!”
“แล้ว?”
“ฉันจะกินจนกระทั้งมันเหลือแต่ผักรองจานแล้วค่อยออกจากร้าน”
“….”
“…ทำไมงั้นเหรอ?”
มองดูเธอที่ได้วางแผนนี้อย่างมีความสุขด้วยประกายของความจริงจังในดวงตาของเธอแล้ว มันดูเหมือนว่านั้นจะเป็นการ ‘ใช้จ่าย’ ที่อยู่ในใจของฮาซุนยังจริงๆ ก็ในเมื่อเธออยู่ด้วยวิถีชีวิตที่ห่างไกลจากความหรูหราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว สิ่งที่อยู่ในความคิดเธอมันควรที่จะเป็นพวกกระเป๋าหรู,นาฬิกาหรู,รถหรู และพวกบ้านราคาแพงๆที่มีราคาเป็นล้านพวกนั้นไม่ใช่หรือไง?
‘เป็นไปไม่ได้หรอกน่า?’
ฮาซุนยังมีชีวิตอยู่มานานเป็นสองเท่าของอายุยูซอดัม เธอทั้งได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ค่อนข้างที่จะนานเช่นกัน ฮาซุนยังไม่ได้เป็นคนที่ไร้เดียงสาในโลกใบนี้หรอก ดังนั้นแล้วความปรารถนาที่แสนเรียบง่ายนี้นะเลยเป็นสิ่งที่เธออยากจะทำมันจริงๆ
‘นอกจากนี้เธอก็เป็นถึงแรงค์ SS เลยไม่ใช่หรือไง?’
ระดับพลังของฮาซุนยังในเรื่องของศิลปะการต่อสู้ถูกเรียกว่า ‘ฮวายอง’ ยูซอดัมไม่ได้รู้หรอกว่ามันคือระดับที่สูงแค่ไหนแต่เขาแน่ใจว่าพลังของเธอในระดับนี้คงจะเกือบทะลุปรอทอยู่แล้วซึ่งหมายความว่าเธอสามารถที่จะไปถึงระดับถัดไปได้ในเร็วๆนี้แต่นั้นไม่ใช่ส่วนที่สำคัญ…
‘แต่มันหมายความว่าระดับโดยเฉลี่ยของเหล่าปรมาจารย์คนอื่นๆก็คงจะอยู่ที่ราวๆแรงค์ A ไปจนถึงแรงค์ S’
ฮาซุนยังเป็นหญิงสาวที่ได้รับสมญานามว่า ‘กอมฮี’ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้อยู่ท่ามกลางเหล่าแรงค์ SS ในระดับท็อป กลยุทธ์ที่เขาวางไว้ว่าจะรวบรวมเหล่าปรมาจารย์ทั้งหมดจากทั่วทุกมุมโลกและโจมตีไปที่เดอมาร์พร้อมกันในครั้งอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
ในหมู่ 3 ราชันย์ และ 6 จักรพรรดิ มันคงจะมีใครสักคนที่เก่งกว่าพวกเขาที่เหลือทั้งหมด และตามที่ยูซอดัมคาดไว้คนๆนั้นก็คงอยู่ที่แรงค์ SSS แต่ในท้ายที่สุดแล้วอีดงจุนก็ยังแข็งแกร่งมากเกินไป เพราะแรงค์ของเขาคือ ‘URS’
ความคิดที่จะจับตัวอีดงจุนด้วยการใช้กำลังเข้าว่าคงจะต้องโยนทิ้งไป การทำแบบนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยแต่ว่ามันก็ยังมีคำใบ้บางอย่างที่ยูซอดัมได้พบในช่วงที่ผ่านมาอยู่
อย่างแรกเลยก็คือ อีดงจุนเป็นเดอมาร์ (ผู้แปล : ผู้แต่งจะสื่อว่าเป็นอารมณ์คนที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นพุทธนะครับ)
ไม่เหมือนกับนิกายอื่นๆ สถาวะของเดอมาร์จะแข็งแกร่งเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับความปรารถนาของตน ในหนังสือศิลปะการต่อสู้บางเล่มได้กล่าวไว้ว่าการฆ่าสำหรับเดอมาร์(ชาวพุทธ)นับเป็นสิ่งต้องห้าม ส่วนหนังสือบางเล่มก็บอกว่า พลังของเดอมาร์จะสูญเสียไปหากว่าไปแตะต้องหญิงสาว ต่างคนก็ต่างความคิดเกี่ยวกับเดอมาร์แต่ในท้ายที่สุด หนังสือศิลปะการต่อสู้ทุกเล่มก็มักจะนำเอา ‘ข้อจำกัด’ ทั้งหลายของเดอมาร์มาเขียนไว้
(ผู้แปล : ได้ตัวเอกอีดงจุนมันมีพลังแนวพุทธนะครับซึ่งเอาจริงๆแล้วตัวเอกคนนี้ก็เป็น ‘พระ’ นะแหละครับเพราะว่ามีอยู่บทหนึ่งที่ได้บอกไว้ว่าตัวเอกคนนี้มันไม่ยอมโกนหัวนะครับ)
และตัวเอกคนนี้ก็จะต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดทั้งหมดพวกนั้น
อีกความหมายหนึ่งก็คือมันจะต้องมีทางที่จะทำให้เขาอ่อนแอลงได้
ชูชู ชู ชู ชู ชู ชู ชู!
เมื่อยูซอดัมและกอมฮีจัดการกับบอสดันเจี้ยนลงได้ พื้นที่แห่งนี้ก็ได้เลือนรางลงและร่างของพวกเขาก็ถูกส่งออกไปด้านนอก จากนั้นเจ้ากระถางดอกไม้ก็ได้พูดกับเขา
– เฮ้ แม่มด~
“ว่าไง?”
– มีสายเรียกเข้าจากมิสชอนมานะ…
“จริงหรือ? เธอบอกว่าไงบ้างหละ?”
– เธอบอกว่าเธอทำตามทุกอย่างที่นายขอเรียบร้อยแล้ว
“เยี่ยม”
เหตุผลที่ว่าทำไมยูซอดัมถึงได้ยังคงสนทนากับชอนมาผ่านทางเจ้ากระถางดอกไม้ก็เพื่อที่จะให้เดอมาร์ไปทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับใช้ในการหลบหลีกสายตาของเดอมาร์ในขณะที่ให้ฮาซุนยังออกไปลงดันเจี้ยนและเกตในเกาหลีและหากว่าเขากลายมาเป็น ‘ฮงยอบซา’ ที่ได้ลงดันเจี้ยนมากครั้งขึ้นเรื่อยๆมันก็จะทำให้มูกงของเขาถูกเปิดเผยออกมาในที่สุด
อีดงจุนดูจะสนใจในตัวชอนมา ซอลจองยอน มากกว่าที่ยูซอดัมได้คิดไว้แม้ว่าเธอจะขอบางสิ่งบางอย่างที่ประหลาดมากๆจากเขา แต่เขาก็ยังคงกลับไปหาเธอหลังจากที่ได้เติมเต็มความต้องการของเธอไปแล้วตลอด บางทีการทำเช่น
นั้นก็คงจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการแก้ไขของตัวเอกเช่นกัน
ดังนั้นแล้วในครั้งนี้ เธอได้ขอให้อีดงจุนนำเขาของสิ่งมีชีวิตประเภทจิตวิญญาณที่เรียกว่าชิลกัคซูมากให้เธอ มันดูเหมือนกับว่าอีดงจุนก็ได้ทำตามคำขอของเธอไปเรียบร้อยแล้ว
“โอ้วใช่ ซอดัม”
“ว่า?”
“ฉันได้รับสายจาก ‘ฉางเจ’ นะ ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจในเรื่องที่นายว่าไว้นะ”
“…เข้าใจแล้ว”
และ…
สำหรับช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ยูซอดัมได้ติดต่อไปยังเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายจากทั่วทุกมุมโลกผ่านทางฮาซุนยัง
……………………………………………………..
หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ
……………………………………………………..
จักรพรรดิฟินิกซ์แดเนียล
นั้นเป็นสมญานามของเขาในมูริม
มันอาจจะฟังดูเด็กน้อยไปบ้างแต่ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกเลยสำหรับสมญานามเช่นนี้ในโลกใบก่อนของพวกเขา
“ยินดีที่ได้เจอคุณนะครับ ผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมาเยอะเลยที่เดียวจากทั้งในทีวีและในข่าว แต่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณจะรู้เกี่ยวกับ ‘เดอมาร์’ ซึ่งแม้แต่คนจากมูริมก็ไม่รู้เกี่ยวกับเขาด้วย”
แดเนียลสื่อสารออกมาผ่านเครื่องแปลภาษาที่ค่อนข้างจะมีราคาอยู่พอตัว ถิ่นกำเนิดของเขาคาดว่าน่าจะเป็นที่อเมริกาใต้และมันก็เป็นภาษาที่ยูซอดัมไม่สามารถที่จะพูดได้ ต้องขอบคุณเครื่องแปลภาษาที่ทำให้การสนทนากันในครั้งนี้ง่ายขึ้น
“ผมได้ยินเรื่องของคุณมาบ้าง คุณบอกว่าเดอมาร์คือชายที่ชื่ออีดงจุน แถมเขายังแหกข้อห้ามด้วยการเป็นฮันเตอร์ด้วยใช่ไหมครับ?”
“ใช่แล้ว เรื่องนี้ผมสามารถที่จะแสดงหลักฐานให้คุณเห็นได้เลยทันทีในตอนนี้เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ในสิ่งที่ผมพูดครับ”
ผมได้ร้องขอไปทางศูนย์ใหญ่สมาคมฮันเตอร์ให้บันทึกการปฏิบัติงานของฮันเตอร์ ‘ฮงยอบซา’ อย่างเป็นทางการ มันมีผู้คนจำนวนมากที่สนใจในเรื่องนี้ทำให้ทั้งเหล่าแฟนคลับและนักข่าวเหล่าทั้งหลายที่ติดตามฮงยอนซาในตอนนี้ก็ได้ดาวโหลดข้อมูลพวกนั้นไปด้วยเช่นกัน
มันมีบันทึกที่บอกว่าฮงยอบซาได้เข้าดันเจี้ยนและเกตอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ รวมไปถึงการปฏิบัติงานของเขาในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา
“ตามจริงแล้ว การที่เขาเป็นฮันเตอร์ที่ไม่ได้รับการระบุตัวตนที่มีแรงค์เท่ากับ SS หรือสูงกว่าได้นั้นมันก็มีเค้าลางอยู่หรอกแต่ว่า…ด้วยข้อมูลนี้เพียงอย่างเดียวมันไม่สามารถที่จะการันตีได้ว่าฮงยอบซาคืออีดงจุนนะครับ-”
แต่
“-แต่ผมเชื่อในคำพูดของกอมฮีครับ ผมคงต้องบอกว่าผมสามารถที่เชื่อคุณได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใดๆ”
แดเนียลกัดฟันและกำมือของเขาแน่นหลังจากที่ได้พูดจบลง
ชีวิตของเขาต้องยากลำบากแค่ไหนกันหลังจากที่มูกงของตัวเองถูกปิดผลึกลง? มูกงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเหล่าผู้คนจากมูริม มันจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวดแค่ไหนกันหละหากว่าแขนขาและปีกของพวกเขาจะต้องถูกแยกออกไปจากร่างกายเขา?
แต่ว่าชายคนที่ได้กำหนดข้อห้ามพวกนี้ขึ้นมากลับไปทำงานเป็นฮันเตอร์ในปัจจุบันแถมยังได้ละเมิดข้อห้ามทั้งหมดที่ตนตั้งไว้เองอีกด้วย
“จริงๆแล้ว ผมไม่อยากที่จะเชื่อในเรื่องนี้เลยนะครับ”
“ใจเย็นไว้ก่อนครับ คุณจักรพรรดิ ถ้าหากว่าพวกเราออกไปลงมือในตอนนี้ พวกเราจะตายกันทั้งหมดโดยที่ไม่แม้แต่จะได้รับโอกาสแก้แค้นเลยนะครับ”
“ฟู…”
แดเนียลเหงื่อออกไปทั่วทั้งตัวเพราะว่าความโกรธของเขาได้ปะทุขึ้น ดวงตาของเขาก็ได้เบิกกว้างออก
“คุณฮันเตอร์ยูซอดัมครับ คุณได้นัดเจอกับคนอื่นๆไปมากเท่าไหรแล้ว?”
“ฉันได้เจอและพูดคุยไปแล้วทั้งหมดก็ 31 คนรวมถึงตัวคุณด้วย”
“แล้วพวกเขาคิดยังไงกันครับ?”
เขาครุ่นคิดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะให้คำตอบออกมา
“ครึ่งหนึ่งมีมีปฏิกิริยาเชิงลบในขณะที่อีกครึ่งมีปฏิกิริยาในเชิงบวกครับ มันไม่ได้ดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะเต็มใจช่วยสักเท่าไหรแต่ว่าคนพวกนี้ก็น่าจะกระจายข่าวนี้ออกไปยังผู้คนอีกมากของมูริมที่ยังไม่ได้รู้เรื่องแน่นอนครับ”
“ผมเข้าใจแล้ว ตามจริงผมไม่อาจที่จะทำใจเชื่อคำกล่าวอ้างของคุณได้เลยแต่ว่าผมก็เป็นเหมือนกับคนอื่นๆที่เคารพในคำพูดของกอมฮี และนั้นทำให้ผมเชื่อในคำพูดของคุณแต่ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายดายนักสำหรับการโน้มน้าวใจเหล่าปรมาจารย์คนอื่นๆหรอกนะครับ คุณคิดจริงๆหรือครับว่าพวกเขาจะลุกขึ้นสู้เพียงเพราะว่าหลักฐานที่ไร้แรงสนับสนุนเช่นนี้?”
“นั้นก็จริงครับ”
คำพูดของแดเนียลก็ถูกต้อง
รวมไปถึงว่าซอดัมจะไปหาตัวเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในโลกได้ยังไงกัน? แล้วหลักฐานแบบไหนกันที่จะทำให้คนเหล่านี้ยอมที่จะเคลื่อนไหวออกมาตัวเอง? แล้วยังไม่รวมถึง ‘อาวุธ’ อะไรกันที่เขาจะใช้ในการเอาชนะเดอมาร์ลงอีก?
นี้เป็นเพียงแค่แผนการแบบหยาบๆ
‘ก่อนอื่นเลย เกี่ยวกับตัวของชอนมาเอง’
มันเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าภาพลักษณ์ของนิกายชอนมาไม่ได้แย่มากนักหลังจากที่เขาได้พูดคุยกับจักรพรรดิคนนี้และกอมฮีในช่วงที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ยูซอดัมก็เคยได้ถามกอมฮีไปว่า
‘ฮาซุนยัง นิกายของชอนมานี้เป็นยังไงหรือ? ฉันเคยได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นคนเลว ฉันอยากรู้ว่ามันจริงรึป่าวนะ?’
ในโลกของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ชาวมูริมทั้งหมดต่างพากันข่มเห่งนิกายชอนมาเพราว่าพวกเขาถูกกล่าวว่าเป็น ‘ปีศาจ’
‘ฉันเดาว่าอย่างนั้น…แต่ฉันเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเหมือนกัน’
‘อะไรนะ?’
‘พวกเขาค่อนข้างที่จะก่อเรื่องไว้มากมายก่อนหน้าที่ชาวโลกจะมาเยือนแต่ว่าพวกเขาค่อนข้างที่จะทำตัวเงียบสงบอย่างน่าแปลกเลยที่เดียวหลังจากที่พวกเรามาถึง อ่อใช่ มันมีคำกล่าวที่ว่ามันเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะว่าเจ้านิกาย ซอลจองยอน’
‘เจ้านิกาย ซอลจองยอน?’
‘ใช่แล้ว การทำเรื่องชั่วร้ายเลวทรามของนิกายชอนมาแทบจะหยุดลงนับตั้งที่หญิงสาวผู้นั้น ซอลจองยอนกลายมาเป็นเจ้านิกาย แต่เหล่าผู้คนจากมูริมกลับบอกกันว่าคนพวกนี้นั้นกำลังเตรียมพร้อมทำสงครามครั้งใหญ่ สุดท้ายแล้วพวกเราก็เลยไม่แน่ใจ’
‘ทำไมเป็นงั้นหละ?’
‘เพราะว่าเดอมาร์ได้ทำให้พวกเขาทั้งหมดหายไปก่อนนะสิ’
‘…..’
ฮาซุนยังดูเศร้าเป็นอย่างมาก
เมื่อซอดัมได้ถามจักรพรรดิคนนี้อีกคน การตอบสนองของเขาก็เป็น ‘ผมเคยได้รับความช่วยเหลือมากมายนักจากนิกายชอนมาครับ ด้วยการที่ตัวผมเองก็เป็นคนๆหนึ่งที่มากจากมูริมมันทำให้ผมรู้สึกละอายใจยิ่งนักกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขา แต่ว่าผมยังคงภูมิใจอยู่เสมอที่เคยได้รับการช่วยเหลือโดยพวกเขา’
‘อย่างนั้นหรือ?’
‘พวกเขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยภาคภูมิใจในนิกายของตนราวกับว่าเป็นพวกเคร่งศาสนา และในสิ่งที่ผมจำได้พวกเขาก็ใช้วิธีการที่ค่อนข้างจะเป็นที่ถกเถียงกันในช่วงนั้นในการกระจายหลักคำสอนของพวกเขาไปสู่โลกมูริม แน่นอนว่าศาสนาของพวกเขาค่อนข้างที่จะมีหลักคำสอนที่ดูหัวรุนแรงไปบ้างแต่ว่ามันก็ไม่ได้มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องถูกกดขี่เพียงเพราะว่าเหตุผลพวกนั้นสักหน่อยนิครับ’
มันไม่ใช่เหล่าตัวเอกทั้งหมดอยู่แล้วที่จะเป็นคนที่เต็มไปด้วยความยุติธรรม มากไปกว่านั้นอีดงจุนเป็นตัวเอกที่อยู่บน ‘โลกมนุษย์’ โลกเหล่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับมากไปกว่าเครื่องมือสร้างความแข็งแกร่งที่อยู่ในความทรงจำในอดีตของตัวเอกอีดงจุน ในอีกความหมายหนึ่งก็คือไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นที่นั้น มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญอะไรสำหรับเขา
แถมตัวของเดอมาร์อีดงจุนเองก็ได้แก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรุนแรงเป็นอย่างมากมันค่อนข้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อพล็อตเรื่องของเขาที่นิกายชอนมาได้พยายามจะทำบางสิ่งบางอย่างที่ชั่วร้าย แม้ว่าพวกเขาจะโดนกดขี่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรเลยก็ตาม
“อืมมมม…”
และด้วยการแก้ไขของตัวเอกแล้วมันน่าจะเป็นไปได้ว่า แม้ว่านิกายชอนมาจะม่ได้ถูกแตะต้องแล้วหละก็มันน่าสงสัยเป็นอย่างสูงว่าชาวมูริมก็คงจะถูกบุกโจมตีเป็นแน่หรือไม่งั้น เหตุการณ์นองเลือดก็คงจะเริ่มต้นขึ้นโดยตัวของซอลจองยอนเองเป็นแน่แท้
เดอมาร์อีดงจุนก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เขาจะทำแบบนี้เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามด้วยผลลัพธ์ของเริ่มเคลื่อนไหวก่อนของตัวอีดงจุนก่อนที่จะมีการลองเลือดเกิดขึ้น ทำให้แม้แต่โอกาสที่เหล่าผู้คนมากมายจะเกิดความเคียดแค้นต่อนิกายชอนมาก็ได้หายไปเช่นกัน
หรือก็คือ ยูซอดัมสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้
‘ดูเหมือนว่าจะมี ‘อาวุธ’ มากอยู่เหมือนกันนะเนี่ย’
ที่แนวเถือกเขาหิมาลัยที่ตัวของชอนมาได้ถูกขังเองไว้
ในอีกไม่นานมันก็จะกลายมาเป็นหนึ่งใน ‘อาวุธ’ เฉกเช่นเดียวกับที่มันจะกลายมาเป็นหลุมฝังศพของตัวเดอมาร์เอง
‘และเพื่อที่จะทำแบบนั้น ชาวมูริมทั้งหมดจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกัน’
ทันใดนั้นเอง ข้อความก็ได้เด้งขึ้นมาในหัวของซอดัม
[เนื้อเรื่องของตัวเองอีดงจุนกำลังดำเนินการ]
“หา?”
ควบคู่ไปกับข้อความจากระบบ ข้อความอีกอันก็ได้เด้งขึ้นมาในสมาร์ทโฟนของเขา
[ชินฮเยจี : หัวหน้ากิลด์ค้า หนูไม่คิดว่าหนูจะได้ไปเข้าร่วมการฝึกของกิลด์ในวันอาทิตย์นี้นะคะ]
[ชินฮเยจี : รูปถ่าย]
“เฮโลนี่?”
ในรูปถ่ายนั้น ชินฮเยจีได้ถ่ายเซลฟี่คู่กับตั๋วของเธอ มันเป็นเรื่องลึกลับสำหรับตัวยูซอดัมที่ว่าทำไมผู้หญิงถึงได้มักที่จะต้องถ่ายรูปเซลฟี่คู่กับสิ่งของทุกอย่างด้วย
แล้วข้อความอีกอันหนึ่งก็ได้เด้งขึ้นมา
มันเป็นข้อความที่ส่งมาจากเทเลอร์ไนน์
[เทเลอร์ : เฮ้]
[เทเลอร์ : ฉันมาถึงที่เกาหลีแล้วนะตอนนี้]
[เทเลอร์ : รูปถ่าย]
เทเลอร์ไม่ได้ส่งรูปเซลฟี่มา
[เทเลอร์ : เพราะงั้น…]
[เทเลอร์ : นายอยากที่จะรับช่วงต่อคำร้องที่ให้ช่วยจับสตอล์กเกอร์ของเฮโลนี่บ้างไหม?]
[ยูซอดัม : สตอล์กเกอร์?]
[เทเลอร์ : มันมีคนที่ได้ตามรังความเธอช่วงหลังมานี้นะ]
มันดูมีบางอย่างแปลกๆแหะ
ความสามารถคลื่นเสียงแรงค์ S ของเฮโลนี่ไม่ได้เพียงแค่ให้ความสามารถในการโจมตีระยะไกลกับเธอเพียงเท่านั้นแต่ก็ยังร่วมไปถึงความสามารถในหมวด ‘การตรวจจับ’ ด้วยเช่นกัน แต่ถึงขนาดนั้นแล้วเธอก็ยังไม่สามารถที่จะจับคนร้ายได้อย่างนั้นเหรอ?
มันดูมีกลิ่น…
คาวของเรื่องแย่ๆลอยฟุ้งขึ้นมาเลย
ชินฮเยจีที่กำลังไปงานคอนเสิร์ตของเฮโลนี่ สตอล์กเกอร์ซึ่งแม้แต่ความสามารถคลื่นเสียงแรงค์ S ก็ไม่สามารถที่จะจับตัวได้ และเนื้อเรื่องของตัวเอกที่อยู่ๆก็เด้งขึ้นมากว่ากำลังดำเนินการ
“คุณจักรพรรดิครับ คุณบอกว่าถ้าหากมันมีหลักฐานที่มากเพียงพอคนจากมูริมทั้งหมดจะเคลื่อนไหว ถูกต้องไหมครับ?”
“ใช่แล้ว ผมกลัวว่าพวกเขาจะไม่เสี่ยงชีวิตตนเองกับสิ่งที่ยังไม่แน่ชัดนะครับ คุณมีความคิดดีๆอะไรหรือครับ?”
“เยี่ยม”
ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันชัดเจนแล้วหรอกหรือ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือชินฮเยจีมีความเกี่ยวข้องกับ ‘เนี้อเรื่องหลัก’ ในครั้งนี้
[ยูซอดัม : ฉันกำลังจะไป]
[ยูซอดัม : จับเจ้าสตอล์กเกอร์คนนั้นเอง]
บางทีงานคอนเสิร์ตของเฮโลนี่คงจะเป็นส่วนผสมสุดท้ายสำหรับใช้ในการล่าเดอมาร์คนนี้เป็นแน่