บทที่ 183 จับตัวคนร้ายได้แล้ว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“นี่ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย ฉันรู้หรอกน่าว่าคนที่ได้ที่หนึ่งน่ะมันลอกเลียนแบบคนอื่นมา”ปาจรีย์เบ้ปาก แววตาดูไม่ยอมรับพิชญาเลยแม้แต่นิดเดียว

“วารุณี พิชญาไปลอกผลงานของใครมาหรอ?”พงศกรวางหนังสือแพทย์ในมือลงแล้วถามขึ้น

ปาจรีย์ก็มองมาที่วารุณี“ใช่ๆ ใครหรอวารุณี”

“เป็นผลงานของDaphne”วารุณีอุ้มอารัณมานั่งลงที่โซฟาพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาให้ แล้วเปิดทีวีให้เขาดู

“Daphneงั้นหรอ?”ปาจรีย์อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ“นั้นเป็นอาจารย์ของอาจารย์ของแกไม่ใช่หรอ?”

“ใช่”วารุณีพยักหน้ารับ

ปาจรีย์ขมวดคิ้วขึ้น“ให้ตายสิ หล่อนกล้ามากนะ นี่มันรนหาที่ตายเองชัดๆ”

“จริง”วารุณีหัวเราะออกมา

พงศกรดันกรอบแว่นขึ้น“วารุณี คุณจะเปิดโปงหล่อนเมื่อไหร่ คงไม่ได้จะปล่อยให้หล่อนลอกงานคนอื่นไปตลอดหรอกใช่ไหม?”

“แน่นอน รอรอบชิงชนะเลิศ ฉันจะออกมาเปิดโปงหล่อนเอง”วารุณีหยิบแก้วน้ำมาแล้วนั่งลงเอ่ยตอบ

จู่ๆโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น

วารุณีรีบวางแก้วน้ำลงแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เป็นเบอร์จากทางการ เธอกดรับด้วยความงุนงงแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบกับหู“ฮัลโหล นี่ใครคะ?”

“คุณวารุณีใช่ไหมครับ?”คนในสายถามขึ้น

วารุณีตอบอืมออกมา“ใช่ ฉันเอง ไม่ทราบว่าคุณคือ?”

“โทรมาจากสถานีตำรวจครับ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณถูกทำร้ายติดต่อกันสองครั้งเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ทางเราจับตัวคนร้ายได้แล้วครับ”ตำรวจที่อยู่ปลายสายเอ่ยขึ้น

“อะไรนะ?”วารุณีอึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ สีหน้าตื่นเต้นมากจนปิดไม่มิด“จับได้แล้วจริงๆหรอ?”

พงศกรกับปาจรีย์มองเธอด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ครับ ดังนั้นทางเราก็เลยอยากจะเชิญคุณมาที่นี่อีกครั้ง”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบไป!”วารุณีรีบพยักหน้าตอบรับโดยเร็ว

หลังจากวางสายเธอก็กำโทรศัพท์ไว้แน่น ความสุขแทบจะไหลทะลักออกมาจากนัยน์ตา

ตั้งแต่จมน้ำเกือบตายครั้งนั้น เธอก็กังวลอยู่แทบทุกวัน แถมไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเลย ไม่ใช่ว่ากังวลว่าเพื่อนๆรอบกายจะเหนื่อยไปด้วย แต่เธอกังวลเด็กทั้งสองคนมากกว่า

ในที่สุดวันนี้ก็จับตัวคนร้ายได้และในที่สุดเธอก็จะได้สบายใจซักที

“วารุณี ใครโทรมาหรอ?”ปาจรีย์กระพริบตาปริบๆพลางถามออกไป

วารุณีมองไปที่หล่อนแล้วเอ่ยตอบ“ตำรวจน่ะ เขาบอกว่าจับตัวคนที่มาลอบฆ่าฉันหลายๆครั้งตอนก่อนหน้านี้ได้แล้ว”

“จริงหรอ!”ปาจรีย์ก็ดีใจมาก

ทว่ามีเพียงแค่พงศกรที่นอนป่วยอยู่บนเตียงขมวดคิ้วขึ้น

ผู้หญิงคนนั้นถูกจับแล้วงั้นหรอ?

เป็นไปได้ยังไง ถ้าถูกจับแล้ว ทำไมเขาถึงไม่ได้ยินความคืบหน้าอะไรเลยล่ะ?

“พงศกรคิดอะไรอยู่หรอ?”วารุณีที่กำลังจะกล่าวลาพงศกรเห็นว่าเขากำลังใจลอย ก็เลยเอียงหัวแล้วเอ่ยถามออกไป

พงศกรรีบดึงสติกลับมาพร้อมกับดันแว่นแล้วยิ้มขึ้น“ไม่มีอะไร ผมกำลังดีใจแทนคุณน่ะ”

“ขอบใจนะ”วารุณียิ้มตอบเป็นการยอมรับ

พงศกรจัดการท่านั่งอยู่ครู่หนึ่ง“ทางด้านตำรวจบอกไหมว่าเขาชื่ออะไร?”

“ไม่ได้บอกนะ ฉันก็ลืมถามไปเลยคงต้องไปดูถึงจะรู้ ถ้างั้นฝากอารัณไว้กับพวกเธอด้วยนะ”วารุณีมองไปยังลูกชายที่กำลังนั่งดูการ์ตูนอยู่บนโซฟา

เด็กน้อยเหมือนรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ เขาหยุดดูการ์ตูนแล้วเงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ส่งยิ้มหวานให้เธอ“หม่ามี๊ไปเถอะ ผมจะเชื่อฟังแม่บุญธรรมกับพ่อบุญธรรมครับ”

“เอาล่ะ ถ้างั้นหม่ามี๊ไปแล้วนะ เดี๋ยวค่ำๆจะมารับ”วารุณีโบกมือลา จากนั้นก็คุยกับปาจรีย์และพงศกรต่ออีกนิดนึงแล้วถึงได้หยิบกระเป๋าเดินออกไป

กว่าจะมาถึงสถานีตำรวจก็ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจพาวารุณีไปที่ห้องสอบสวน

หลังจากเข้าไป ภายในห้องสอบสวนนอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วก็มีคนอยู่อีกสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชายอีกคนเป็นผู้หญิง

คนผู้หญิงนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกสอบปากคำ หล่อนนั่งก้มหน้าอยู่ก็เลยทำให้เห็นหน้าได้ไม่ชัด แต่ดูจากเสื้อผ้าและผิวหนังเห็นได้เลยว่ายังอายุน้อยอยู่

ส่วนผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆโต๊ะสอบปากคำ เขานั่งไขว่ห้างพร้อมกับกอดอกไว้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ มีแต่เพียงความเย็นชา บารมีที่แผ่ออกมารอบๆตัวทำให้รู้สึกราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของเขายังไงยังงั้นเลย

วารุณีมองเขาด้วยความประหลาดใจ“ประธานนัทธี ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

นัทธีเอียงหัวเบาๆ“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผม เพราะงั้นผมก็เลยต้องมา”

“ใช่ครับคุณนัทธีเป็นคนหาตัวผู้ร้ายเจอครับ”เจ้าหน้าที่ตำรวจถอดหมวกวางลงด้านข้างแล้วพูดออกมา

วารุณีอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คาดคิดมาก่อน ไม่นึกเลยว่าเขาจะสืบหาเรื่องนี้ แถมยังหาตัวผู้ร้ายเจออีก

“เอาล่ะ เงยหน้าขึ้น”เจ้าหน้าที่ตำรวจตบโต๊ะเพื่อแสดงความต้องการว่าจะคุยกับผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังก้มหน้าอยู่

ทันใดนั้นเองวารุณีก็ได้เห็นหน้าหล่อนอย่างชัดเจน หล่อนจัดว่าหน้าตาดีเลย ทว่านัยน์ตากลับมีแต่ความเศร้าโศกและสิ้นหวัง แต่นี่มันยิ่งน่าดึงดูดสายตาเข้าไปอีก

หล่อนกำลังสิ้นหวังที่ตัวเองถูกจับได้หรอ?

“ถึงเวลาสอบปากคำแล้วขอเชิญทั้งสองออกไปก่อน”เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่าวารุณีเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้แล้วจึงเอ่ยพูดกับเธอและนัทธีออกไป

นัทธีไม่ได้คัดค้านอะไร เขาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นพลางมองวารุณี“ไปเถอะ”

วารุณีตอบอืมออกมา แล้วเดินตามหลังเขาออกไป

ระหว่างทางไปห้องรับรองวารุณีมองไปที่แผ่นหลังของเขาแล้วเอ่ยปากถามขึ้น“ประธานนัทธี ผู้หญิงคนนั้น เป็นใครหรอคะ?”

นัทธีหยุดเดินแล้วหันกลับมา“เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลไวยนพ”

“ตระกูลไวยนพ?”วารุณีขมวดคิ้วขึ้น“ตระกูลไวยนพที่ล้มละลายลงเมื่อสองเดือนก่อนน่ะหรอคะ?”

นัทธีพยักหน้า

วารุณีหลบตาลงแล้วไม่ถามอะไรออกมาอีก จากนั้นก็เดินผ่านเขาเข้าไปในห้องรับรอง

ตอนที่นัทธีเห็นเธอมีปัญหา เขาก็เรียกเธอไว้แล้วคุยกัน แต่พอไม่มีปัญหากลับทำตัวห่างเหินกับเขาทันที เขารู้สึกไม่พอใจมากจึงเม้มริมฝีปากลงแน่นแล้วทำหน้าบึ้งเดินเข้าไปในห้องรับรอง

เมื่อเห็นวารุณีนั่งลงที่ข้างประตู นัทธีก็เดินเข้าไปนั่งตรงข้ามเธอ“ยินดีด้วยนะกับการแข่งวันนี้”

วารุณีที่กำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ จู่ๆได้ยินคำยินดีจากเขาก็รู้สึกตัวทันที จากนั้นก็เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ“ประธานนัทธีดูถ่ายทอดสดด้วยหรอคะ?”

“ในการแข่งขันก็มีดีไซเนอร์จากบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ผมที่เป็นเจ้านาย ยังไงก็ต้องดูอยู่แล้ว”นัทธียกกาน้ำชาขึ้นมาแล้วเทแบ่งเป็นสองแก้ว จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าเธออันหนึ่ง

วารุณีเอ่ยขอบคุณออกมาแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ“แต่ฉันจำได้ว่าดีไซเนอร์ของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปตกรอบไปตั้งแต่การแข่งขันรอบที่สามแล้วนะคะ”

ความหมายก็คือการแข่งขันวันนี้ไม่มีพนักงานของเขาซักหน่อย แล้วเขาดูอะไร?

นัทธีไม่คิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ เขาดูตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็กระแอมเสียงออกมาแล้วก็ทำท่ายิ้มเหมือนไม่ยิ้มให้เธอ“ดูเหมือนว่าคุณจะจำพนักงานของผมได้อย่างชัดเจนเลยนะ”

“ฉันจำผู้เข้าแข่งขันทุกคนได้อย่างชัดเจน”วารุณีหลบสายตาเขาแล้วก้มหน้าลง เพื่อปิดบังความไม่มั่นใจของตัวเอง

เธอไม่อาจพูดได้ว่าเป็นเพราะเขา ตัวเองถึงได้ให้ความสำคัญกับดีไซเนอร์ที่เข้าร่วมการแข่งขันคนนั้น

“จริงสิคุณจะขายงานออกแบบของคุณไหม?”นัทธีเลิกแหย่เธอ จู่ๆเขาก็มองไปที่เธอพลางเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง

วารุณีส่ายหน้าแล้วแสดงความขอโทษ“ขายไปแล้วค่ะ”

“งั้นหรอ”นัทธีขมวดคิ้วขึ้น นัยน์ตาฉายแววเสียใจออกมาเล็กน้อย

ทันใดนั้นเองก็มีคนเดินเข้ามาในห้องรับรอง เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่สอบปากคำคนนั้น

วารุณีรีบวางถ้วยชาในมือลงแล้วลุกขึ้น“คุณตำรวจสอบปากคำเสร็จแล้วหรอคะ?”

“เสร็จแล้วครับ”เจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นผลสอบปากคำให้เธอ“นี่เป็นคำสารภาพของคุณทารีนาหล่อนบอกว่าเป็นเพราะชอบคุณนัทธี ดังนั้นก็เลยเกิดความอิจฉาริษยาในใจ จากนั้นจึงใช้เงินก้อนสุดท้ายของตระกูลไวยนพเพื่อจ้างวานให้คนไปลงมือทำร้ายคุณวารุณี”

วารุณีฟังที่เขาพูดไปด้วยและเปิดคำสารภาพในมือดูไปด้วย พอดูจบก็ขมวดคิ้วขึ้น

นัทธีก็ลุกขึ้นมา“เป็นอะไรไป?”