ตอนที่ 193 หัวใจข้าก็เจ็บเป็นนะ

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 193 หัวใจข้าก็เจ็บเป็นนะ
อวี้จิ่นลุกขึ้นไปขวางทางเจียงซื่อ

เจียงซื่อมองดูการเคลื่อนไหวที่ฉับไวของเขา ตาสวยคู่นั้นหรี่ลง

เมื่อครู่นี้ยังกระอักเลือดอยู่เลย ตอนนี้กลับกระโดดขึ้นมาขวางทางนางได้ นี่เขาหลอกนางอีกแล้วหรือ

ความโกรธพลันพุ่งขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อคิดถึงความเป็นห่วงเมื่อครู่ เจียงซื่อก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่าตัวเอง

“หลีกไปนะ!”

“ไม่อยากพบหน้าข้าอีกแล้ว?” มือข้างหนึ่งของอวี้จิ่นดันกำแพงเอาไว้ ศีรษะพลางก้มต่ำลงตรงหน้าของหญิงสาว

เจียงซื่อไม่สบตาพร้อมกับตอบนิ่งๆ “เจ้าค่ะ”

“ยอมแต่งงานกับใครก็ได้แต่ไม่ใช่ข้า?” อวี้จิ่นถามอีกครั้ง

ซื่อก้มหัวอีกครั้งแล้วตอบ “เจ้าค่ะ” ไม่มีความลังเลแม้เพียงเสี้ยวเดียว เจียง

สีหน้าของชายหนุ่มเริ่มซีดขาว แล้วดึงมือกลับมาอย่างช้าๆ ขนตาที่หนาช่วยบังอารมณ์ใต้หนังตาไว้ได้

สาวน้อยใจดำนี่ มีใจให้กับเขาแท้ๆ เหตุถึงใดปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่ากันนะ

ปฏิเสธเขาแค่คนเดียว!

เพียงแค่คิดถึงคำพูดของเจียงซื่อที่ว่า ‘ยอมแต่งงานกับใครก็ได้แต่ไม่ใช่เขา’ อวี้จิ่นก็รู้สึกเจ็บที่หัวใจทันที

“เพราะเหตุใด”

สุดท้ายเจียงซื่อก็ยอมยกหนังตาขึ้นแล้วสบตากับเขา

ชายหนุ่มมีดวงตาที่งดงามดั่งตาหงส์ หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย ดูเป็นคนที่มีใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา ส่วนนัยต์ตาของเขาไม่ใช่สีน้ำตาลอ่อนเหมือนคนต้าโจวส่วนใหญ่ แต่เป็นสีดำเข้มที่เหมือนกับอัญมณีชั้นยอด

และเวลานี้ สายตาแวววาวคู่นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งและความทรมานใจ

“เพราะเหตุใด”

เจียงซื่อยิ้มพร้อมกับปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยนลง แต่แฝงไว้ด้วยความนิ่งเรียบที่ไร้ความรู้สึก “คุณชายอวี๋โตกว่าข้าถึงหลายปี เหตุใดถึงไม่ทราบว่าบนโลกนี้ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถบอกเหตุผลกันได้ หรือท่านคิดว่าไม่ว่าหญิงสาวคนไหนที่เผยความในใจกับท่าน หากว่าท่านไม่ยอมรับ ท่านจะบอกกับนางว่าเพราะเหตุใดด้วยหรือเจ้าคะ”

“ไม่เคยมีใครเคยถามข้า”

หญิงสาวทางใต้เป็นสตรีเปิดเผยและอบอุ่น เวลาเจอชายรูปงามจะมีความใจกล้าเป็นอย่างมาก แล้วเขาจะไม่รอให้หญิงสาวเหล่านั้นเข้ามาใกล้ แต่จะหลบทันที จะมีเวลาให้คนอื่นมารอถามว่าเพราะเหตุใดได้อย่างไร

“หากว่ามีคนถาม แล้วท่านจะตอบหรือไม่”

“ไม่” อวี้จิ่นตอบทันทีอย่างไม่คิด

นอกจากอาซื่อ กับหญิงสาวอื่นเขาจะให้ความเคารพและอยู่ห่างๆ แล้วอาซื่อก็ไม่จำเป็นต้องถามเขาว่าเพราะเหตุใด

เจียงซื่อมองอวี้จิ่นด้วยแววตาที่เย็นชา “คุณชายอวี๋ สิ่งที่ท่านเองยังไม่ทำก็จงอย่ายัดเยียดให้ผู้อื่น ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”

“ช้าก่อน!”

เจียงซื่อนิ่ง

อวี้จิ่นมองหน้าและยิ้ม “คำพูดเหล่านี้ข้าจำไว้แล้ว ที่นี่เป็นที่ของเจ้า หากว่าต้องไปก็ควรเป็นข้า ข้าลาล่ะคุณหนูเจียง”

เจียงซื่อกัดริมฝีปากเบาๆ พร้อมกับมองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังเดินออกไป ภายในใจเกิดความคิดเป็นร้อยเป็นพัน แต่ก็ไม่มีเสียงใดเอ่ยออกมา แล้วคนนั้นก็ไม่หันกลับมาอีกเลย

อวี้จิ่นไม่กล้าหันกลับไป เขากลัวว่าหากหันกลับไปแล้วเห็นหญิงในใจเผยอาการสบายใจเขาจะรับไม่ได้ เพราะหัวใจของเขาไม่ได้หลอกจากเหล็ก มันก็เจ็บเป็นเหมือนกันนะ

เมื่อเดินออกมาถึงตรงประตู แสงจ้าของตะวันที่สาดส่องลงมา ส่องจนใบหน้าของชายหนุ่มที่ซีดขาวมีความปลอดโปร่งเล็กน้อย

อวี้จิ่นยืนนิ่งตรงประตูอยู่ครู่หนึ่ง ด้านหลังของเขาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ก้าวเท้ากว้างเดินหน้าออกไป

เมื่อเดินออกจากตรอกซอยเล็กจนถึงถนน เสียงร้องไห้ก็ดังเข้ามาในหูเป็นพักๆ เป็นเสียงจากงานไว้ทุกข์ในจวนหย่งชัวปั๋ว ที่นี่ห่างจากจวนตงผิงปั๋วไม่ไกลอยู่แล้ว ก็เหมือนกับบ้านพักของเขาที่อยู่ในตรอกซอยเชวี่ยจื่อ ที่เป็นสถานที่ที่เขาแทบรอไม่ไหวที่จะเลือกเมื่อมาถึงเมืองหลวงครั้งแรก

เขาอยากอยู่ใกล้นางให้มากหน่อย แม้ว่าไม่สามารถอยู่ด้วยกันทันที เพียงคิดว่าทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่เดียวกัน ยามเงยหน้ามองฟ้าได้มองท้องฟ้าผืนเดียวกัน หัวใจดวงนั้นที่ยังไม่มีที่ให้พักพิงก็จะรู้สึกมั่นคงขึ้น

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยพลันดังขึ้น “อ้าว น้องเจ็ด นี่เจ้าเป็นอะไรไป ขวัญหายใจลอย หากไม่รู้จักคงนึกว่าถูกปล้นมาซะอีก”

อวี้จิ่นดึงสติกลับมาแล้วมองคนตรงหน้า

บุรุษที่พูดกับเขาอายุยี่สิบต้น สวมใส่เสื้อผ้าอย่างคนมีหน้ามีตา มีดวงตากลมโตคิ้วหนาเป็นรูปลักษณ์ที่ดูดี เขาคือองค์ชายห้าหลู่อ๋อง

องค์ชายห้าพัดพัดผับไปมา ดวงตามีความโกรธแฝงอยู่

วันนี้ได้เจอหน้าไอ้คนโง่เง่าเต่าตุ่นนี่ได้ยังไงนะ ซวยจริงๆ!

แต่สภาพแย่ๆ ของฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้เขารู้สึกคึกคักขึ้นมา องค์ชายห้าโยกพัดผับเบาๆ “ดูเหมือนว่าน้องเจ็ดเป็นพวกชอบชกตีสินะ”

คิ้วแหลมของอวี้จิ่นขมวดขึ้น “เจ้าคือ…”

สีหน้าขององค์ชายห้าพลันตึงแน่น ตามมาด้วยความโมโห “ไอ้โง่ เจ้าไม่รู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร”

นี่คือความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง เขาถูกคนเอาไหเหล้าฟาดที่ศีรษะครั้งแรก ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับคำปลอบใจจากเสด็จพ่อ และยังถูกลงโทษให้ไปทบทวนตัวเองที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือน เรื่องนี้เขาจำมันได้ไม่เคยลืม แล้วเขาก็จะเกลียดคนต้นเรื่องตลอดชีวิต

แต่ว่าตอนนี้คนต้นเรื่องกลับจำเขาไม่ได้? อย่างน้อยพวกเขาก็ถูกขังอยู่ใน ‘ห้องขัง’ เดียวกันถึงสามวัน นี่เขาไม่มีตัวตนมากขนาดเชียวหรือ!

องค์ชายห้ายิ่งคิดยิ่งโมโห แม้แต่พัดผับในมือก็สั่นระริกตาม

อวี้จิ่นเอ่ยพร้อมกับแสดงอาการไร้เดียงสาออกมา “ข้าขออภัย ความจำข้าไม่ค่อยดี”

นอกจากอาซื่อ ใครที่คิดจะเอาเปรียบเขาโดยพูดปากเปล่าขอให้ฝันไปเถอะ

ใบหน้าสีดำเขียวช้ำขององค์ชายห้า อวี้จิ่นมองมันแล้วยิ้มออกมาเบาๆ “อ่อ พี่ใหญ่นั่นเอง”

องค์ชายพลันกระโดด “คนปากพล่อย ข้าแก่ขนาดเลยหรือไง”

ผู้ติดตามที่อยู่ด้านข้างเสี่ยงชีวิตด้วยการดึงแขนเสื้อองค์ชายห้า “ท่านอ๋องขอรับ ระวังคำพูดด้วยขอรับ!”

ถึงแม้ฉินอ๋องไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้ แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้ถึงมีความรู้สึกผิดต่อเขาตลอดเวลา ภายนอกก็ทรงปฏิบัติอย่างอ่อนโยนต่อฉินอ๋องมากกว่าไท่จื่อ

อีกอย่าง ฉินอ๋องเพิ่งจะมีชันษาสามสิบต้นๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชายหนุ่มมีเสน่ห์มากที่สุด หากคำพูดของหลู่อ๋องแพร่งพรายออกไปเกรงว่าจะไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก

องค์ชายห้ารู้ตัวว่าพูดผิดไป จึงเขม่นตาใส่อวี้จิ่น “เจ้าเจ็ด วันนี้เจ้าอยากสู้กับข้าหรืออย่างไร วันนั้นเจ้าฟาดศีรษะข้าอย่างไม่มีที่ไปที่มา บัญชีนี้ข้ายังไม่ได้คิดกับเจ้าดีๆ เลย!”

อวี้จิ่นเข้าใจทันที “ที่แท้ก็พี่ห้านี่เอง”

องค์ชายห้าถึงกับเอามือทาบหน้าอก

นึกเขาออกสักที นี่เขาต้องกล่าวคำขอบคุณด้วยหรือไม่

ความโกรธนี้หากไม่ได้ระบายออกไป เขาต้องจุกอกตายเป็นแน่

องค์ชายห้าเก็บพัดพร้อมกับยิ้มเย็นชาแล้วเอ่ย “นี่ เจ้าเจ็ด อย่ามาพูดไร้สาระพวกนี้เลยดีกว่า เจ้ากล้าสู้กับข้าสักตั้งหรือไม่ ข้าบอกไว้ก่อนเลยว่า ครั้งนี้ ไม่ว่าใครเสียเปรียบ ก็ห้ามฟ้องไปถึงเสด็จพ่อเด็ดขาด!”

อวี้จิ่นส่ายหัวยิ้ม ท่าทางนั้นสบายๆ ดั่งสายลมพัดแผ่วเบา “พี่ห้าอย่าล้อเล่นเลย พี่น้องด้วยกันจะสู้กันเองได้อย่างไรเล่า คำขอของพี่ข้าไม่อาจรับปากได้”

“ถุย วันที่เจ้าใช้ไหสุราฟาดศีรษะข้า ทำไมถึงไม่คิดว่าเราเป็นพี่น้องกันล่ะ” องค์ชายห้าโกรธจนหน้าดำ

ชายหนุ่มคิ้วงามและดวงตาที่รู้จักแบ่งแยกดีชั่วแต่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา “วันนั้นข้าดื่มมากไป”

เป็นเหตุผลที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ จนองค์ชายห้าตอบโต้กลับไม่ได้ถึงชั่วขณะ

อวี้จิ่นยิ้มให้องค์ชายห้าที่โกรธจนแทบจุกอกตาย “วันนี้น้องมีสติเป็นอย่างมาก คงไม่อาจพาลหาเรื่องตามพี่ห้าได้”

“เจ้า…” องค์ชายห้าชี้อวี้จิ่น ควันโกรธแทบพุ่งออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ด “จะคำพูดของคนหรือคำพูดของผีเจ้าก็ได้พูดออกมาหมดแล้ว ข้า…” เขาอยากลงมือ แต่ความทรงจำแย่ๆ ในวันที่ถูกลงโทษด้วยการจำกัดบริเวณยังไม่จางหายไป เขาจึงทำได้เพียงกลืนความโกรธนั้นเข้าไป

อวี้จิ่นทำดูความโมโหของฝ่ายตรงข้ามไม่ออก จึงเอ่ยถามออกไปอย่างยิ้มแย้ม “พี่ห้ามาทำอะไรที่นี่ ดูเหมือนว่าที่นี่จะอยู่ห่างจากจวนหลู่อ๋องไกลพอควร”

องค์ชายห้าพลันเหลือบมองจวนตงผิงปั๋วที่อยู่ไม่ไกล

การกระทำเล็กๆ นี้ของเขาจะรอดพ้นสายตาของอวี้จิ่นไปได้อย่างไร อวี้จิ่นพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งขรึมทันที