ตอนที่ 194 ทหารหน่วยกล้าตาย
สายตาขององค์ชายห้าที่มองมาทำให้อวี้จิ่นต้องเก็บรอยยิ้มกลับทันที
เขาเดาออกตั้งแต่แรกว่าการปรากฏตัวของไอ้โง่นี่ต้องไม่มีจุดประสงค์ดีแน่ๆ ถึงได้มีเวลามาพูดจาไร้สาระกับเขาอยู่ตรงนี้ แล้วก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาคิดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย คนโง่นี่ยังไม่ละทิ้งความคิดสกปรกที่มีต่ออาซื่อ ไหสุราที่ฟาดลงในครั้งนั้นดูเหมือนจะเบาเกินไป
“พี่ห้ามาทำอะไรแถวนี้”
แม้ว่าองค์ชายห้าเป็นคนสะเพร่า แต่เขาไม่ใช่คนโง่ สีหน้าและอาการที่เปลี่ยนกะทันหันของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขารู้สึกเย็นวาบอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไม ข้าจะไปที่ไหนต้องรายงานน้องเจ็ดด้วยหรือ”
อวี้จิ่นยิ้ม “ก็ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่ถามดูเท่านั้น เพราะที่นี่ดูเหมือนไม่ใช่ที่ๆ พี่ห้าจะมา”
องค์ชายห้าสังเกตอวี้จิ่นอย่างละเอียด เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาไม้ไหนอีก
เขาไม่คิดว่าเจ้านี่แค่อยากถามดูเท่านั้น วันนั้นเจ้านี่บอกว่าดื่มมากไป แต่ไหสุราไหนั้นก็ฟาดตรงศีรษะเขาทันที แค่คิดถึงตรงนี้ องค์ชายห้าถึงกับอยากเอามือไปป้องกันศีรษะ
เมื่อมีความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งทำให้องค์ชายห้าโมโห เขาไม่ได้กลัวเจ้าหนุ่มนี่เสียหน่อย ปฏิกิริยาการตอบสนองแบบไม่รู้ตัวนี่มันอะไรกัน
“แล้วเหตุใดน้องเจ็ดถึงอยู่ที่นี่เล่า”
อวี้จิ่นยิ้ม “พี่ห้าพักอยู่ในจวนอ๋องเกรงว่าไม่รู้ ที่พักของน้องอยู่แถวๆ นี้ ก็ต้องอยู่ที่นี่สิขอรับ”
“อืม จะว่าไป จวนอ๋องของน้องเจ็ดยังสร้างไม่เสร็จนี่” สุดท้ายองค์ชายห้าก็พบเรื่องที่เอาไว้โจมตีฝ่ายตรงข้าม มุมปากพลางเผยรอยยิ้มแห่งการเยาะเย้ยออกมา “ลำบากน้องเจ็ดแท้ๆ หรือว่าไปพักที่จวนข้าสักวันสองก่อน”
“น้ำใจของพี่ห้าข้ารับไว้แล้ว แต่ว่าข้าชอบดื่มสุราเป็นประจำ พอดื่มเยอะหน่อยก็ชอบหาอะไรทำ ถึงเวลานั้นข้าเกรงว่าจะนำพาความวุ่นวายมาให้กับพี่ห้า ก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก” อวี้จิ่นพูดพร้อมกับยิ้มที่ไม่เหมือนว่ายิ้ม และมององค์ชายห้าหนึ่งที “นี่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพี่ห้าก็ชอบดูเรื่องคึกคักกับเขาด้วย”
“ใครว่าข้าชอบดู” องค์ชายห้าพลันโพล่งออกไป
อวี้จิ่นหรี่ตาลง สายตานั้นคมดั่งดาบ เยี่ยมมาก มั่นใจได้แล้วว่าไอ้โง่นี่มาเพราะอาซื่อ
เวลานี้องค์ชายห้าหมดอารมณ์กับความคิดที่ว่าจะบังเอิญได้พบหน้านางในดวงใจ เขาเอ่ยด้วยหน้าดำคร่ำเครียด “หากว่าเจ้าไม่กล้าต่อสู้ งั้นข้าไม่เสียเวลากับเจ้าแล้ว”
“กลับดีๆ นะขอรับพี่ห้า”
อวี้จิ่นยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับยืนมององค์ชายห้าพาผู้ติดตามเดินออกไป จากนั้นแล้วจึงเร่งฝีเท้าเดินไปตรอกซอยเชวี่ยจื่อ
เมื่อกลับมาถึงด้านหน้าประตูบ้านพักที่มีต้นพุทราคอคดตั้งอยู่ เอ้อร์หนิวที่กำลังกินเนื้อวัวคลุกพลันเงยหน้ามองไปยังเจ้านาย
สุนัขตัวใหญ่มีจมูกไว มันได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ที่อยู่บนเรือนร่างของเจ้านาย
มันก้มมองเนื้อวัวคลุกในถ้วยพร้อมกับต่อสู้กับตัวเองอย่างยากลำบากอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตัดสินใจลุกขึ้นไปอยู่ข้างๆ เจ้านาย และเริ่มดมฟุดฟิด
“ข้าไม่เป็นไร” หลายเดือนมานี้เอ้อร์หนิวฉลาดขึ้นทุกวัน ทั้งคนและสุนัขก็ยิ่งเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น อวี้จิ่นลูบหัวของเอ้อร์หนิวพร้อมกับเอ่ยปลอบ
เอ้อร์หนิวร้องหงิงๆ อย่างแผ่วเบา แล้วจึงกลับไปสู้รบกับเนื้อวัวคลุกถ้วยนั้นต่อ
“เจ้านาย…”
อวี้จิ่นยกมือขึ้นแทรกการสอบถามของเหลิงอิ่ง “หลงต้านกลับมาหรือยัง”
“ยังขอรับ”
อวี้จิ่นเดินมานั่งที่โต๊ะหินใต้ต้นเหอฮวน นิ้วยาวเคาะกับพื้นโต๊ะ “ชา”
เหลิงอิ่งจึงหยกกาน้ำชาและถ้วยน้ำชามา เขาเทน้ำชาและยื่นให้
อวี้จิ่นรับมาดื่มคำแล้วคำเล่า ในหัวของเขาเดี๋ยวนึกถึงคำพูดแทงใจของเจียงซื่อ เดี๋ยวนึกถึงเงาร่างขององค์ชายห้าที่วนเวียนอยู่ใกล้จวนตงผิงปั๋ว
เขาดื่มน้ำชาไปทั้งกาโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดหลงต้านก็กลับมาถึง
หลงต้านไม่ได้กลับมาคนเดียว แต่ยังพาคนกลับมาด้วยอีกหนึ่งคน ถ้าพูดให้ถูกควรพูดว่าศพหนึ่งศพ
เมื่อเห็นอวี้จิ่น หลงต้านโยนศพนั่นทิ้งลงกับพื้น จากนั้นคุกเข่าลงพื้น “นายขอรับ ข้าไม่สามารถจับเป็นได้ขอรับ”
อวี้จิ่นเดินเข้าไป จากนั้นก้มมองดูศพที่อยู่บนพื้นอย่างละเอียด
ศพผู้ชายมีสีหน้าเขียวช้ำ ตรงมุมปากยังมีคราบเลือดติดอยู่
“ตายด้วยพิษ?”
“ขอรับ ตอนที่ข้าน้อยใกล้จะจับตัวเขาไว้ได้ เขากัดพิษในปากจนเละขอรับ”
ลมพัดผ่านเอาดอกเหอฮวนตกใส่ศพ ความสดของกลีบดอกสีขาวอมชมพูที่อ่อนหวานช่างต่างจากศพอันน่ากลัวยิ่งนัก บรรยากาศนี้ยิ่งดูยิ่งชวนให้ขนลุก
แต่อวี้จิ่นกลับไม่ใส่ใจใดๆ พลางย่อตัวลงแล้วยกมือขวาของศพผู้ชายขึ้นมาดูอย่างละเอียด
บนมือของศพมีหนังตายบางๆ อยู่หนึ่งชั้น
“นายขอรับ ฝีมือการต่อสู้ของคนๆ นี้ไม่ด้อยเลย ข้าชนะเขาได้อย่างยากลำบากพอควร” หลงต้านเอ่ยเสียงเบา
หลงต้านกับเหลิงอิ่งติดตามอวี้จิ่นมานาน แม้ว่าทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นคนสนุก อีกคนหนึ่งเป็นคนหน้านิ่ง แต่ฝีมือการต่อสู้ไม่เป็นรองใคร ใครที่สามารถทำให้หลงต้านรู้สึกต้องใช้กำลังมาก แปลว่าคนเช่นนั้นไม่ใช่องครักษ์ทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน
สีหน้าของอวี้จิ่นตึงเครียด
คนที่ชุบเลี้ยงทหารหน่วยกล้าตายไม่ใช่คนทั่วไป แล้วทหารหน่วยกล้าตายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเหตุใดถึงลอบโจมตีเขา นี่คือสิ่งที่อวี้จิ่นคิดไม่ตก…
เขาเป็นเพียงองค์ชายตัวเปล่า ถึงมีอำนาจบ้างแต่ก็ล้วนอยู่ทางใต้ เมื่อเขากลับเข้าเมืองหลวงมา อำนาจที่มีอยู่แค่นั้น หากอยู่ในสายตาผู้อื่นมันแทบจะนับไม่ได้ด้วยซ้ำไป อำนาจเพียงเท่านี้คงไม่ถึงกับขวางหูขวางตาผู้ใดหรอกกระมัง การปรากฏตัวของทหารหน่วยกล้าตาย ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเสียจริง
อวี้จิ่นยกมุมปากขึ้น เขาไม่เพียงแต่ไม่เป็นกังวล แต่กลับรู้สึกขำ
“นายขอรับ จะทำอย่างไรต่อขอรับ”
อวี้จิ่นยิ้มอย่างเย็นชา “ทำอย่างไร ก็ต้องฟ้องทางการน่ะสิ”
กำลังไม่ชอบขี้หน้าเจ้าห้าอยู่พอดี จัดการตอนนี้ไม่ได้ งั้นขอเก็บดอกเบี้ยก่อนสักหน่อยก็ไม่เลว
……
ตั้งแต่เจินซื่อเฉิงกลับเข้ามาเมืองหลวง ก็มีคดีให้ไขคดีแล้วคดีเล่า แม้ว่าจะยุ่งวุ่นวายมาก แต่ก็มีความรู้สึกเสมือนปลาได้น้ำ
เขาชอบการคืนความยุติธรรมให้กับผู้ตาย การนำผู้ร้ายไปลงโทษ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข
หลายวันมานี้ บุตรชายคนโตของเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของใต้เท้าเจินได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด
“จะไปที่ไหนอีก” ในช่วงที่พักผ่อนเจินซื่อเฉิงเข้าไปเดินเล่นอยู่ที่สวน ทำให้เขาจับลูกชายที่กำลังจะออกไปข้างนอกได้อีกครั้ง
เจินเหิงหย่อนตาลงและยิ้มอย่างขมขื่น “เพื่อนนัดข้าไปชมดอกไม้กับภาพวาดที่สวนป่าขอรับ”
ทำไมวันนี้ท่านพ่อมีเวลาว่าง หรือว่าไม่มีคดีให้ท่านไขหรืออย่างไร วันๆ เอาแต่จ้องจับเขา
เจินซื่อเฉิงได้ยินก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเข้ม “ชมดอกไม้กับภาพวาด พัวพันกับของไม่มีประโยชน์เหล่านี้ทำไม หากมีเวลา รอข้าเลิกศาลแล้วไปที่ๆ หนึ่งกับข้า”
ขมับของเจินเหิงกระตุกตุบๆ
ใครๆ ก็บอกว่าเขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่ใครจะรู้ว่าในใจส่วนลึกของเขามักมีความรู้สึกอยากตีตาแก่ผู้เป็นบิดาอยู่ตลอดเวลา!
เขาเป็นคนที่ได้เรียนหนังสือ การประพันธ์บทกลอน ชมดอกไม้กับเพื่อนเป็นการฆ่าเวลาที่พบเห็นได้ทั่วไปมาก แต่พอเรื่องนี้ตกมาถึงท่านพ่อ เหตุใดถึงได้กลายเป็นเรื่องไร้สาระได้ถึงเพียงนี้กันนะ อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ การที่ท่านพ่อจับเขาให้ไปด้วย แท้จริงแล้วคืออยากยัดเยียดหญิงสาวที่ตัวเองชอบให้กับเขา
ไม่แน่ หากวันนี้เขาตามท่านพ่อไปถึงบ้านนาง พรุ่งนี้ท่านพ่ออาจตกลงวันแต่งงานจนเสร็จแล้วก็เป็นได้
เจินเหิงรู้เรื่องเป็นอย่างดี จึงยืนหยัดไม่ยอมออกไปพร้อมกับเจินซื่อเฉิง
“ชมดอกไม้และภาพวาดเป็นเพียงข้ออ้างของการร่วมสังสรรค์เพียงเท่านั้น อย่างไรเสีย ในภายภาคหน้ายามลูกเดินสู่เส้นทางการเป็นขุนนางย่อมต้องมีคนคอยประคับประคอง จะไม่ไปทุกงานเลี้ยงเลยเกรงว่าก็คงจะไม่ดี แล้วอีกอย่าง ลูกนัดกับผู้อื่นไว้เรียบร้อยแล้วด้วย…”
เมื่อเห็นบุตรชายหาข้ออ้างหนีอีกครั้ง เจินซื่อเฉิงปัดมืออย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไปเร็วๆ”
เจินเหิง “…” เขาถูกเก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่
จะว่าไปแล้วเขาก็นึกสงสัยหน้าตาของหญิงสาวที่ท่านพ่อชอบว่ามีหน้าตาอย่างไรเหมือนกัน เมื่อนึกถึงนักชันสูตรศพหญิงข้างกายของเจินซื่อเฉิงที่อุ้มศีรษะคนขึ้นมาศึกษา…เอ่อม มุมปากของเจินเหิงพลันกระตุก
ไม่ อย่าไปสงสัยดีกว่า ความสงสัยจะนำพามาซึ่งความซวยได้!