บทที่ 216 ยอมอ่อนให้ข้า รับรองว่าถึงสวรรค์

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 216 ยอมอ่อนให้ข้า รับรองว่าถึงสวรรค์

ใครกันที่กล้ามาสนใจเด็กสาวที่นางหมายตาไว้? อภัยให้ไม่ได้!

แต่เด็กสาวคนนั้นไม่ใช่ชิงอวี่หรอกหรือ?

นับตั้งแต่นางและโหลวจวินเหยาหาทางออกมาจากปราการเมฆาคล้อยได้ โหลวจวินเหยาก็อ้างว่าบาดแผลนางยังไม่หายดี อีกทั้งชิงเทียนหลินยังตามหาตัวนางอยู่ ผลีผลามกลับสำนักละอองหมอกไปจะมีแต่เปิดเผยตัวนาง ดังนั้นจึงพานางมาหลบไว้ที่หอเมฆาเคลื่อนสักระยะหนึ่ง

โครงสร้างของที่นี่มีความพิเศษ มีค่ายกลปิดบังระดับสูงจากแดนเมฆาสวรรค์ติดตั้งอยู่ เมื่อเปิดใช้แล้วจะหาสถานที่ไม่พบ ดังนั้นที่นี่จึงนับเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็ว่าได้

แต่อุดอู้อยู่ภายในอยู่ตลอดก็คงจะทรมานใจเกินไป วันนี้นางจึงออกมาที่หอเสาวคนธ์ เมื่อสองปีก่อนนางเองก็เป็นลูกค้าประจำของที่นี่ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้แวะมาเป็นเวลานาน

แต่ตอนนั้นนางมาในชุดบุรุษ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางแต่งกายเป็นสตรีเข้ามาที่นี่ แต่ก็เคราะห์ดีแล้วที่ไม่ได้แต่งเป็นหนุ่มน้อยมา ไม่เช่นนั้นเหล่าพี่สาวรุ่มร้อนที่นี่คงได้กลืนนางลงท้องทั้งเป็นแน่

ไม่คิดเลยว่านางจะไปต้องตาใครอื่นเข้า

“ข้ามีนามว่าเจียงซ่างหลิน ไม่ทราบว่าจะมีเกียรติได้ทราบนามของแม่นางหรือไม่?”

น้ำเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ ยังไม่ทันสิ้นคำเจ้าตัวก็มานั่งข้างนางแล้ว

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว

“ข้าเห็นว่าแม่นางมาคนเดียว ขอข้านั่งด้วยคนได้หรือไม่?” เป็นชายหนุ่มท่าทางสุภาพคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มงามประดับหน้า ทั้งอ่อนโยนทั้งงามสง่า ทว่าก็ไม่แสดงออกจนเกินงาม ดูเป็นมิตรน่าคบหา ท่าทางมีระบบระเบียบ วางตัวได้ดียิ่งนัก

แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้เขาเลือกเป้าหมายผิดไป

ชิงอวี่นั้นไม่ชอบคนแปลกหน้าที่เข้าใกล้นางจนเดินไป โดยเฉพาะพวกที่เข้ามาแบบไม่ได้เชื้อเชิญเช่นเขาคนนี้

ไม่ว่าชายหนุ่มจะควบคุมสีหน้าตนเองดีเช่นไร ทว่าแววชั่วช้าและราคะในนัยน์ตากลับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ไร้พิษภัยอย่างเปลือกนอก

ชิงอวี่นัยน์ตาคม นั่งลงมาแล้วยังจะถามอีกหรือว่านั่งได้ไหม? เกี้ยวสตรีได้หยาบคายนัก คงคิดว่านางเป็นเด็กสาวไม่รู้ความไม่รู้จักโลกกระมัง

ก็แน่อยู่แล้ว เพราะหากเทียบกับคนอื่น ๆ นางดูใสซื่อดูหลอกง่ายกว่ามากจริง ๆ ด้วยนางดูเด็กที่สุดนั่นเอง

เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้นเช่นนี้ เจียงซ่างหลินจึงพบว่าเด็กสาวที่ต้องตาเขานั้นมีหน้าตาโดดเด่น ไม่แพ้สตรีในหอเสาวคนธ์ทีเดียว อีกทั้งในดวงตาคู่นั้นยังมีแววสง่างามหากแต่ดูเรื่อยเฉื่อยที่ดูน่าหลงใหลเป็นพิเศษอยู่ด้วย

สมบัติล่ำค่าหายากแท้ ๆ!

เจียงซ่างหลินเกือบคุมอสูรในใจไว้ไม่อยู่ แต่อย่างไรนี่ก็เป็นหอเสาวคนธ์ กระทำการอุกอาจมากเกินควรไม่ได้ เขาต้องหาทางกล่อมให้นางออกจากที่นี่เสียก่อน

“แม่นางคงจะมาที่หอเสาวคนธ์เป็นครั้งแรกแน่! เจ้าอาจจะไม่รู้ ทว่านี่ไม่ใช่ที่แม่นางเช่นเจ้าสมควรจะมาอยู่ หากพบคนใจทรามเข้า เจ้าตัวคนเดียวจะอันตรายขนาดไหนกัน!?” เจียงซ่างหลินเอ่ยเสียงเป็นห่วง

ชิงอวี่เกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาล้อนางเล่นหรือ? คนใจทรามนั่นก็เขาไม่ใช่หรือไร? ยังมีหน้ามาพูดอะไรเช่นนี้อีก? ได้เห็นมุมมองใหม่ของคนเสียจริงเลย?

ต่ามพบคนหน้าซื่อใจคดเช่นเขานางไม่คิดใช้ความอดทน มุมปากนางกระตุกยิก เอ่ยคำสั้น ๆ ออกมาทันที “ไสหัวไป”

เจียงซ่างหลินที่กำลังคิดว่าคงหลอกล่อเด็กสาวมาไม่ง่ายพลันชะงักไป นางบอกว่า….. ไสหัวไปงั้นหรือ?

โฮ่ น่าสนใจนัก แท้จริงแล้วเป็นแม่นางน้อยเผ็ดร้อนอย่างนั้นหรือ? แต่ก็เป็นแบบที่เขาชอบอยู่ดี

รอยยิ้มเจียงซ่างหลินลึกขึ้น รู้สึกถูกปลุกเร้าอยู่บ้าง พลันโน้มเข้าไปใกล้ใบหน้างาม เกือบจะแตะโดนร่างนางอยู่แล้ว

“เอาน่า เจ้าอย่าเย็นชาเช่นนี้สิ? เจ้ามาสถานที่อย่างนี้ได้ก็คงไม่ได้เป็นแม่นางที่ดีอะไรอยู่แล้ว พวกนางบำเรอของหอเสาวคนธ์จะทำให้เจ้าสำราญใจไปมากกว่าข้าได้อย่างไรกัน? ข้ารับรองเลยว่าถึงสว…..”

“อ๊ากกก”

ถ้อยคำหยาบคายหยุดชะงักงัน ตามมาด้วยเสียงร้อยน่าสมเพช

กระทั่งลวี่จีที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลยังชะงักไป

นิ้วเรียวเล็กของเด็กสาวหยิบเอากาชาบนโต๊ะขึ้นมา ในนั้นเหลือชาอยู่เพียงครึ่งกาเท่านั้น ซึ่งก็ยังส่งไอร้อนพวยพุ่งราวกับน้ำเพิ่งต้มไม่นาน ราดลงบนศีรษะของชายหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้นางแล้วทำท่าเลียริมฝีปากคนนั้น

แม้ว่าน้ำชาจะไม่ได้ร้อนมากแล้ว แต่ก็ยังลวกใบหน้าหล่อเหลาเสียจนแดงไปหมด ทำเอาเขามีสีหน้าน่าขันอยู่บ้าง

“พรื่ด~”

ลวี่จีอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เห็นเด็กสาวมีท่าทีเช่นนั้นนางยิ่งสนใจอีกฝ่ายมากกว่าเก่า เห็นว่านางมีกลิ่นอายดุดันอธิบายไม่ถูกอยู่บ้าง

“เจ้า…..” เจียงซ่างหลินจากหน้าแดงกลายเป็นเขียวด้วยความโกรธ ชี้หน้าชิงอวี่จนนิ้วสั่น ดูเดือดดาลยิ่งนัก

ชิงอวี่เผยรอยยิ้มอ่านไม่ออกแล้วปล่อยมือ กาชาทำจากศิลาดลชั้นดีพลันร่วงตุ้บลงบนนิ้วที่ชี้มา ก่อนจะหล่นลงบนโต๊ะ

แม้จะเป็นกาเปล่า หากแต่ก็ยังมีน้ำหนัก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เบา ๆ ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเพราะความเจ็บ สีหน้ายิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิม

ชิงอวี่เลิกคิ้ว ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงน่าฟังออกมา “ตื่นหรือยัง?”

เจียงซ่างหลินตัวสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้ารู้ไหมข้าเป็นใคร? กล้าดียังไงมาล่วงเกินข้า!?”

“ทำไมข้าต้องรู้?” ชิงอวี่ยิ้มตาหยี แม้รอยยิ้มจะไม่ตามไปถึงตาก็ตาม “ข้าบอกให้ไสหัวไป หากยอมไปแต่แรกก็คงไม่เกิดเรื่อง แต่เจ้ากลับยังมาเพ้อเจ้อต่อหน้าข้า ระคายหูข้านัก”

น่าขุ่นเคืองใจจริง ๆ นางอุตส่าห์ถ่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์หลังจากอุดอู่อยู่ตั้งนาน กลับมาเจอคนพรรค์นี้ได้ ชิงอวี่พลันรู้สึกหงุดหงิดจึงลุกขึ้นยืนหมายจะเดินจากไป ทว่าเงาร่างในชุดหุ้มเกราะทั้งหลายกลับพุ่งเข้ามาล้อมกาย ดูท่าจะเป็นคนอารักขากระมัง พวกเขาขวางทางนางไว้

เจียงซ่างหลินเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ารนหาที่เองนะ แม้หอเสาวคนธ์จะไม่ให้คนเข้ามาก่อเรื่อง แต่หากมีคนจงใจหาเรื่องกันพวกเขาก็จะไม่ขัดขวาง ให้ลูกค้าได้จัดการเรื่องกันเอง”

“งั้นหรือ?” ชิงอวี่ยิ้มพิศวงให้

“หากเจ้ายอมคุกเข่าขอร้องข้า ข้าจะได้อ่อนโยนกับเจ้าบ้างสักหน่อย” เจียงซ่างหลินมักใจอ่อนกับสาวงาม ยิ่งเป็นโฉมสะคราญหาใครเทียมเช่นนางตรงหน้าด้วยแล้วยิ่งใจอ่อน แม้จะมีนิสัยใจคอร้อนระอุ แต่ก็ยังชอบเล่นสนุกเช่นกัน

“หากเจ้ายอมขอร้องข้า ข้าจะอ่อนโยนกับเจ้าบ้างเช่นกัน” ชิงอวี่ตอบพร้อมรอยยิ้มไร้พิษภัย

เจียงซ่างหลินไม่อาจคงยิ้มไว้บนหน้าได้อีก หน้าทะมึนลงทันใด เอ่ยคำเสียงลอดไรฟัน “จับนางไว้!”

ได้ยินดังนั้น พวกทหารทั้งหลายก็พุ่งเข้ามาจับนาง แต่ไม่ทันไรที่พื้นกลับมีใบมีดผุดขึ้นมาดูน่ากลัว หากพวกเขาขยับเขยื้อนเข้าใกล้ก็จะถูกแทงเป็นแน่

ในใจพวกเขาเริ่มเกิดความประหม่าขึ้น

เห็นดังนั้นเจียงซ่างหลินก็มองโดยรอบทันทีว่าใครเข้ามาจุ้นจ้านไม่ให้เขาจับตัวอีกฝ่ายไว้ได้

แต่มองแล้วก็ให้ชะงักไป ด้วยร่างบางกำลังเดินโยกย้ายส่ายสะโพกเข้ามาช้า ๆ ทุกย่างก้าวของนางทั้งยั่วและยวนใจ

หากแต่สีหน้านางนั้นเย็นยะเยือกจนเรียกความกลัวจากผู้คนได้

เจียงซ่างหลินย่อมรู้จักนาง เขาเคยตามเกี้ยวนางมาก่อน แต่กลับถูกวิชาอันโหดร้ายดุดันของนางซัดเข้าจนต้องสงบเสงี่ยม ไม่กล้าคิดอะไรเกินเลยกับสาวงามอีก

“แม่นางลวี่จี” เจียงซ่างหลินยิ้มบางให้คนที่กำลังเดินเข้ามา “ไม่ทราบว่าแม่นางลวี่จีหมายความว่าอย่างไร?”

“หอเสาวคนธ์ห้ามไม่ให้ใครเข้ามาก่อปัญหา เจ้าก็รู้กฎตั้งแต่วันแรกที่มาแล้วไม่ใช่หรือ?” ลวี่จีเอ่ยเสียงเย็น

เจียงซ่างหลินเงยหน้าตอบคำ “เจียงย่อมทราบ แต่เด็กสาวคนนี้หยาบคายกับข้าก่อน ข้าควรจะมีสิทธิ์จัดการกับนาง”

พูดจบก็ทิ้งระยะนิดหนึ่งแล้วว่าต่อ “แม้หอเสาวคนธ์จะมีอำนาจหนุนหลัง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมาดูถูกได้ง่าย ๆ เช่นกัน… หอเสาวคนธ์คงจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวหรอกกระมัง?”

น้ำเสียงเขามีรอยหยิ่งผยอง

เจียงซ่างหลินกล้ากล่าวเช่นนี้ เป็นเพราะมีพี่ชายทำงานให้หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แดนธาราขาว อีกทั้งยังมีตำแหน่งพอสมควร และเพราะมีตัวตนเช่นนี้คนอื่น ๆ จึงไม่กล้าขัดใจเขา เพราะอย่างไรคนแดนสูงกว่าก็มีอำนาจมากกว่า จะมีใครกล้าล่วงเกินเขาได้?

ลวี่จีได้ยินแล้วก็หัวร่อ ใบหน้างามยิ่งน่ามอง ทว่าคำพูดที่ออกจากริมฝีปากเล็กกลับทำให้เจียงซ่างหลินหน้าเขียวไป

นางว่า “เจ้าเป็นใครมาคิดเทียบตนเองกับหอเสาวคนธ์ได้? ช่วงนี้ไม่ได้ส่องกระจกดูหน้าตาตนเองเลยหรือ?”

ลวี่จีนั้นมีชื่อเรื่องปากร้าย ร้ายจนทั่วทั้งหอเสาวคนธ์รู้นิสัยนางดี แต่นางไม่ค่อยเอ่ยคำ หากแต่ยามเอ่ยแล้วก็จะไม่หยุดโดยง่าย

ชิงอวี่ที่ยืนมองอยู่ด้านข้างยิ้มตาหยี นางอดยิ้มออกมาไม่ได้

นางดูเป็นคนเข้มแข็งไม่น้อย แต่สมัยที่นางมาที่นี่บ่อย ๆ ก็ไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้มาก่อน อีกฝ่ายเรียกนางว่าลวี่จี ดูท่าจะมีตัวตนเหมือนกับเหลียนจีและคนอื่น ๆ กระมัง

ไม่ว่าเจียงซ่างหลินจะแสดงท่าทีดีเพียงไหน แต่หลังจากถูกชิงอวี่ราดชาใส่ ทั้งยังถูกลวี่จีกล่าวให้อับอาย กระทั่งตุ๊กตาโคลนยังมีความโกรธ นับประสาอะไรกับมนุษย์ใจร้อนน่าสมเพช หากเขายังนิ่งทนไม่ระเบิดก็แปลกเกินไปแล้ว

“ลวี่จี อย่ากดดันกันเกินไปนัก! ข้ายอมเจ้าเพราะข้าไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับสตรีตัวคนเดียว ในเมื่อเรื่องนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายแต่เจ้ากลับลงมือก็นับว่ามากเกินควร! ข้า เจียงซ่างหลิน ไม่ใช่คนที่เจ้าจะมาหาเรื่องด้วยได้ง่าย ๆ หรอกนะ!”

เจียงซ่างหลินเอ่ยเสียงเหี้ยม จากนั้นใช้สายตาสั่งลูกน้อง “พวกเจ้ายืนงงอะไรอยู่อีก? รีบจับตัวนางแพศยานั่นเดี๋ยวนี้!”

“ก็ดูว่าใครจะกล้า!” ลวี่จีเอ่ยเสียงเย็น “หากเจ้ากล้าแตะต้องเด็กสาวเพียงนิ้ว ข้าจะส่งเจ้าออกนอกประตูหอเสาวคนธ์ออกไปแนวนอนเสีย”

“เจ้า!”

ชิงอวี่ยิ้มกับตนเอง สตรีผู้นี้กำลังปกป้องนางอยู่หรือ?

แม้นางจะไม่รู้เหตุผล แต่เห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งในใจอยู่บ้าง

เจียงซ่างหลินเห็นว่าลวี่จีไม่ยอมไว้หน้าเขาจึงไม่อาจรั้งอารมณ์อีกต่อไป ไม่ว่านางจะเก่งกาจเพียงไหน นางก็ตัวคนเดียว เขามีคนตั้งมากจะไม่อาจล้มนางได้เลยหรือ? คนพวกนี้เป็นคนอารักขาฝีมือดีที่พี่ชายเขาส่งลงมาจากแดนแดนธาราขาวเชียวนะ!

อาจเพราะพี่ชายเขารู้ดีว่าน้องชายตนชอบก่อเรื่อง ดังนั้นจึงส่งคนจากแดนธาราขาวคอยคุ้มกันเขา

ลวี่จีกำลังคิดจะลงมือ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบเบื้องหลัง จากนั้นเสียงเป็นกังวลชายหนุ่มอันคุ้นหูก็ดังขึ้น

“แม่ทูนหัวเอ๋ย ทำไมถึงแล่นออกมาถึงที่นี่ได้เล่า!?”