ตอนที่ 226 ซ่อนเร้น ความทระนง (2)
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าของคนส่งข่าวเดินมาอย่างรวดเร็ว คนส่งข่าวพูดกระซิบบอกกับอาเหยียนผู้ติดตามของซูจิ่นอวี้ครู่หนึ่งแล้วถอยหลังเดินออกไป
อาเหยียนหน้าเปลี่ยนสี ก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ “ขอรบกวนคุณชายเล็กน้อย อาเหยียนมีเรื่องจะรายงานขอรับ” ซูจิ่นอวี้พูดเสียงเบา “พูดมาเถอะ ที่นี่ไม่มีคนนอก” เขาไม่เคยคิดจะปิดบังเรื่องอะไรต่อซูชี เมื่อเทียบกับให้ซูชีไปอยู่ในค่ายทหาร เขาอยากให้ซูชีอยู่ช่วยเขาในตระกูลมากกว่า
พี่น้องร่วมแรงร่วมใจ ทรงพลังดั่งอาวุธที่สามารถตัดทองคำได้! เหมืองแร่ที่ซูชีได้มาจากผู้ลึกลับเมื่อคราวก่อน ช่วยเขาไว้มาก ทั้งยังทำให้ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน
ตระกูลชั้นสูง หัวหน้าตระกูลไม่ได้สืบทอดโดยทายาท แต่เลือกจากคนที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในบรรดาลูกหลานสายตรงทั้งหมด โดยเลือกจากการสังเกตของผู้อาวุโสของตระกูล
แน่นอน นี่เป็นเพียงกฎระเบียบของตระกูล แต่ความเป็นจริง โดยมากบุตรชายล้วนสืบทอดตำแหน่งจากบิดา แต่เพราะมีกฎระเบียบของตระกูล จึงมีการข่มขู่อยู่รายล้อม สุดท้ายจะสามารถขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลได้ ต้องใช้ความสามารถที่แท้จริง ดังนั้นยามหัวหน้าตระกูลดูแลงานในตระกูล ก็ไม่กล้าละเลยการอบรมเลี้ยงดูบุตรสายตรงของตน
หางตาของอาเหยียนมองไปที่คุณชายเจ็ดครู่หนึ่ง เขาย่อมเข้าใจเจ้านายของตน ดังนั้นเขาจึงรายงานอย่างไม่ลังเล “เรียนคุณชาย บุตรีเจิ้นกั๋วกงสังหารครั้งใหญ่ ฆ่าขอทานสิบกว่าคนกลางท้องถนน…นายท่านตามตัวคุณชายไปพบโดยด่วนขอรับ…”
ซูจิ่นอวี้ตกใจแล้วลุกขึ้นบอกลาน้องเจ็ดของตน
ซูชีส่งเสียงในลำคอ กล้าฆ่าคนกลางท้องถนน มีความน่าเกรงขาม ทว่า นี่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเขาที่จะไปจากจวนในอีกสองวัน
……
มั่วเชียนเสวี่ยพูดอบรมที่ลานหน้าเรือนจนจบ หลังจากตั้งกฎระเบียบเสร็จนางก็กลับเข้าไปในห้อง
สำหรับพวกคนทรยศเหล่านั้น นางจะคิดหาวิธีไล่พวกเขาออกจากจวน
สำหรับพวกคนที่ยังหวั่นไหวไม่หนักแน่น นางจะใช้ไม้อ่อนทำให้พวกเขายอมจำนนให้ตน เพราะถึงอย่างไรความจงรักภักดีไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นได้ในวันสองวัน
หลังจากกลับเข้าไปในห้อง นางฝึกเคล็ดวิชาพลังปราณที่มั่วเหนียงเอามาให้ มั่วเชียนเสวี่ยสัมผัสได้ว่ามีพลังปราณกระโดดโลดแล่นอยู่ในร่างกายของนาง นางดีใจอย่างมาก
วันหนึ่ง นางจะสามารถเป็นเหมือนจอมยุทธ์ที่ตัวเบาราวกับนกนางแอ่น เหาะเหินบนชายคาเดินบนกำแพงได้ใช่หรือไม่
อยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ เสียจริง! ปรับลมหายใจตามตำรา ทำสามรอบ จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยล้มตัวลงนอน นางจำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอ พรุ่งนี้นางยังมีศึกใหญ่ต้องเผชิญ
นาง ไม่อาจล้มลงได้!
……
วังหลวง
ตำหนิกจินหลวนเป่า ขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นนับร้อยเข้าประชุมราชสำนัก
ฎีกาที่นำมาถวายฮ่องเต้ในวันนี้ล้วนเป็นฎีกาที่เจ้าหน้าที่เร่งเขียนทั้งคืน ล้วนกล่าวโทษว่าบุตรีเจิ้นกั๋วกงหยิ่งผยองอย่างไร สังหารคนกลางท้องถนนเช่นไร ไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา…
ประโยคสุดท้ายของฎีกาทุกเล่มล้วนเขียนความหมายเชิงนี้ บอกว่าสตรีคนนี้ทำความผิดร้ายแรงสมควรตาย ควรลงโทษโดยการประหารชีวิต เพื่อรับประกันว่าเข้าใจข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง จึงใช้กฎระเบียบมาอธิบาย เทิดทูนความน่าเกรงขามของราชวงศ์
ฮ่องเต้อ่านฎีกาจบหนึ่งเล่ม พระพักตร์ของพระองค์ก็เยือกเย็นมากขึ้น สุดท้ายพระพักตร์ของพระองค์เย็นยะเยือกราวกับอากาศในเดือนสิบสอง จับตัวเป็นน้ำแข็งหนาสามบรรทัด
ด้วยความพิโรธ ฮ่องเต้ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ บรรยากาศในท้องพระโรงกดดัน ทำให้ขุนนางทุกคนต่างคุกเข่าขอโทษ
ฮ่องเต้ไม่มองขุนนางนับร้อยที่คุกเข่าบนพื้น แต่พูดเล็ดลอดไรฟันเสียงเหี้ยม “ทหาร ไปลากตัวบุตรีเจิ้นกั๋วกงมาให้ข้า ข้าจะไต่สวนนางด้วยตนเอง…”
ทหารรักษาการณ์ในตำหนักรับคำสั่ง นำคนมากมายขี่ม้า ตรงไปยังจวนเจิ้นกั๋วกง
มั่วเชียนเสวี่ยแต่งตัวรอแต่แรกแล้ว กำลังรอการมาของคนในวังหลวง
นางเกล้าผมขึ้น เผยให้เห็นหน้าผากกว้าง ทำให้นางดูสูงสง่า ทั้งยังแสดงถึงความทระนงในศักดิ์ศรี ด้านในสวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อนด้านนอกสวมชุดผ้าขาวสามไม้บรรทัดที่ให้มั่วเหนียงและชูอีเร่งตัดเมื่อคืน
เหตุที่นางไม่สวมสีขาวทั้งชุด เป็นเพราะในท้องพระโรง การสวมชุดขาวทั้งชุดจะทำให้ฮ่องเต้รู้สึกถึงความอัปมงล การที่นางสวมชุดสีขาวนี้ เพื่อไว้อาลัยบิดามารดา และเพื่อทำให้ฮ่องเต้ไม่สบายพระทัย เตือนฮ่องเต้ถึงความผิดที่ฮองเฮาของเขากระทำลงไป
ในเมื่อฮองเฮาเป็นศัตรูของนางแล้ว เช่นนั้นก็ต้องหันปลายแหลมเข้าหากัน ไม่อาจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโต้กลับได้
หัวหน้าทหารรักษาการณ์เจี่ยงผูที่มาตามรับสั่งของฮ่องเต้ ระหว่างทางเจี่ยงผูเป็นกังวลยิ่งนัก เขากลัวว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะหนีไป ตนจับตัวนางไม่ได้ เมื่อกลับไปฮ่องเต้ต้องเอาความพิโรธมาลงที่ตนอย่างแน่นอน
ทว่า พ่อบ้านของจวนกั๋วกงกลับเชิญเขาเข้าไปในจวน ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นกลับเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมาต้อนรับเขา
เขาตาลาย คิดว่าตนตาฝาด ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
จะมีสตรีคนใดบ้างที่ใจกล้าเช่นนี้ ทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ ควรจะร้องไห้น้ำตาคลอหรือไม่ก็ตกใจจนเสียสติ จนบ้าไปแล้ว หรือไม่ก็ต้องนอนซมอยู่บนเตียง แกล้งป่วยใกล้ตาย…ทว่านางกลับนั่งจิบน้ำชาในเรือนเนี่ยนะ นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ! เกรงว่าขุนนางใหญ่และซื่อจื่อจวนต่างๆ ก็ไม่มีคนใดทำได้เหมือนนางกระมัง
เมื่อครุ่นคิด แค่หญิงวัยสิบห้าคนหนึ่งเท่านั้น การที่นางมีความมั่นใจเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เพราะนิ่งสงบอย่างแน่นอน แค่กล้าหาญด้วยความโง่เขลาเท่านั้น หญิงเบาปัญญาคนนี้ต้องคิดว่าฮ่องเต้จะเห็นแก่บุญคุณที่บิดาของนางเคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้…
สมกับเป็นสตรีจริงๆ ความคิดตื้นเขิน! สิ่งที่จักรพรรดิหวาดกลัวที่สุดคือการที่ขุนนางมีบุญคุณต่อตน นางกระทำเช่นนี้ ประเดี๋ยวเข้าวังหลวง คงไม่รู้ว่าตนจะตายอย่างไรด้วยซ้ำไป เจี่ยงผูจึงดูถูกมั่วเชียนเสวี่ยในใจอีกครั้ง
พ่อบ้านมั่วเดินนำเจี่ยงผูหัวหน้าทหารรักษาการณ์เข้ามาด้านใน เจี่ยงผูตกใจกับเรื่องไม่คาดคิดตรงหน้าจนพูดไม่ออก ทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านนี้ มาเพราะรับสั่งของฮ่องเต้ใช่หรือไม่”
จากการแต่งกายของคนคนนี้ คล้ายกับการแต่งกายของทหารรักษาการณ์ในวังหลวงที่เห็นเมื่อวาน เพียงแต่ดูน่าเกรงขามกว่าเล็กน้อย ต้องเป็นทหารรักษาการณ์ที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้แน่นอน
ทหารรักษาการณ์คนสนิทของฮ่องเต้มา จะเพราะเรื่องอะไรได้เล่า
มั่วเชียนเสวี่ยคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฮ่องเต้ต้องส่งคนมาหานาง ดังนั้นน้ำเสียงของนางจึงนิ่งงัน สีหน้าก็เรียบเฉยเช่นเดียวกัน
ฮ่องเต้ยังคงอยากได้ป้ายไม้ดำนั่น ชั่วขณะหนึ่ง คงจะไม่อยากสังหารนาง
ทว่า เรื่องทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น นางยังคงต้องระมัดระวัง
เจี่ยงผูในฐานะหัวหน้าทหารรักษากาณ์ของวังหลวง ย่อมเคยพบเจอคนมาทุกประเภท!
นางนิ่งงันจริงๆ หรือว่ากล้าหาญด้วยความโง่เขลา หรือว่าแสร้งวางตัว ด้วยระยะห่างที่ใกล้กันเช่นนี้ เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไร เจี่ยงผูหัวใจบีบรัดขึ้นมาทันที เขาถอนแววตาดูถูก เปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิดทันที
ยอมรังแกคนแก่ชรามากประสบการณ์ ก็อย่าได้รังแกคนหนุ่มสาว
เมื่อสตรีคนนี้ผ่านด่านวันนี้ไปได้ ชีวิตของนางจะทะยานขึ้นสูง ต้องกลายเป็นคนไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่อาจเป็นศัตรูกับนางได้
นี่คือความคิดของเขาในตอนนี้
เมื่อจัดการความคิดของตนเสร็จ เขาลดความน่าเกรงขามของตนลง น้ำเสียงก็เป็นมิตรมากขึ้น สตรีเช่นนี้แม้จะตายวันนี้ ก็เป็นยอดสตรีที่ควรค่าแก่การเคารพ
“ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้คุณหนูมั่วเข้าวังหลวงเพื่อไต่สวน เกี่ยวกับเรื่องสังหารขอทานกลางท้องถนนเมื่อวานขอรับ”
พ่อบ้านมั่วเห็นเจี่ยงผูพูดอย่างสุภาพ จึงหยิบถุงเงินขึ้นมาแล้วแจกจ่ายให้ทหารองครักษ์ทุกนาย พูดประจบ “ท่านหัวหน้า ไม่ทราบว่าจวนกั๋วกงขับรถม้าไปส่งคุณหนูได้หรือไม่” ในยามคับขันควรก้มหัวก็ต้องก้มหัว
ส่งเข้าวังหลวงกับถูกจับเข้าวังหลวง นี่เป็นสองอย่างที่แตกต่างกัน
เจี่ยงผูครุ่นคิด “ฮ่องเต้เพียงรับสั่งให้คุณหนูมั่วรีบเข้าวังหลวงเพื่อตอบคำถามของพระองค์ มิได้สั่งห้ามไม่ให้รถม้าส่ง” เดิมที พวกเขามาเชิญคนเข้าวังหลวงด้วยความเหี้ยมโหด โดยทั่วไปล้วนจับเข้าวังหลวง ไม่มีหลักการที่ว่าให้รถม้าของตระกูลไปส่ง