ตอนที่ 227 ซ่อนเร้น ความทระนง (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 227 ซ่อนเร้น ความทระนง (3)

ทว่า มีข้อยกเว้นให้สตรีเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ถึงอย่างไรฮ่องเต้เพียงรับสั่งให้พาคนไปไต่สวนด้วยตนเองเท่านั้น ไม่ได้กำชับว่าต้องให้เขาจับกุมตัวมั่วเชียนเสวี่ยเข้าท้องพระโรง

มั่วเชียนเสวี่ยพูดเสียงเรียบ บอกกับพ่อบ้านมั่ว “จัดเตรียมสารถีขับรถม้าให้ข้าหนึ่งคน” แม้ว่าท่าทีของนางจะไม่ใส่ใจเท่าใดนัก ถึงขั้นให้ความรู้สึกเกียจคร้านเล็กน้อย ทว่ากลับมีความน่าเกรงขามอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้

เตรียมรถม้าเสร็จ แน่นอนว่าคนขับรถม้าคืออาอู่ นี่เป็นการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังหลวง รับการไต่สวน มั่วเชียนเสวี่ยคิดตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่มั่วเหนียงก็ไม่ต้องไปกับนาง

ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท ภายใต้ความพิโรธของฮ่องเต้ระหว่างไต่สวนนาง ฮ่องเต้อาจจสั่งประหารคนที่อยู่บนรถม้ากับนางก็ได้ เช่นนั้นจะเป็นการทำผิดมหันต์ไม่ใช่หรือ…คนของนางที่ใช้งานได้ มีเพียงห้าหกคนนี้เท่านั้น

มั่วเหนียงหลบไปร้องไห้ที่มุมหนึ่ง

“คุณหนู” ชูอีและสืออู่สาวใช้ทั้งสองคนคุกเข่าหน้ารถม้า ยืนกรานจะไปกับมั่วเชียนเสวี่ย

“เป็นอะไรไป แม้แต่คำพูดของข้าก็ไม่เชื่อฟังแล้วหรือ” ยังคงเป็นสีหน้านิ่งงันไร้ซึ่งความตกใจ ทว่ากลับทำให้สาวใช้ทั้งสองคนดวงตาแดงก่ำ น้ำตารินไหล

สาวใช้คือสาวใช้ ยามจำเป็นต้องรับโทษแทนนาย ต้องตายแทนนาย นี่คือสิ่งที่พวกนางพึงกระทำ

การที่มั่วเชียนเสวี่ยไม่ให้พวกนางไปด้วยย่อมเป็นเพราะไม่อยากผลักความรับผิดชอบไปให้พวกนางที่เป็นสาวใช้และคนคุ้มกัน

นายหญิงปกป้องพวกนางเช่นนี้ พวกนางไม่อาจไร้หัวใจ หากฮ่องเต้จะลงโทษขึ้นมาจริงๆ อย่างมาก พอถึงเวลา พวกนางตีกลองร้องทุกข์ บอกว่าคุณหนูเพียงสั่งให้พวกนางขับไล่ขอทานเท่านั้น แต่พวกนางกระทำการรุนแรงเกินไป…

ตายเพื่อนาย นี่เป็นเรื่องถูกต้องเป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้ พวกนางไม่โกรธเคือง

มีหัวหน้าทหารรักษาการณ์ของวังหลวงนำทาง จึงเดินทางเข้าวังหลวงราบรื่นกว่าทุกครั้ง

เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าประตูตำหนิกจินหลวนเป่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความวิจิตราของตำหนัก เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยืนอยู่ตรงนั้นรอทหารรักษาการณ์รายงานเสร็จแล้วค่อยเข้าไป ‘สู้’

ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นยืนซ้ายขวา สีหน้าเคร่งขรึม อยู่ห่างกันไกลทำให้มั่วเชียนเสวี่ยมองเห็นพระพักตร์ของฮ่องเต้ไม่ชัดเท่าใดนัก ทั้งยังดูสีหน้าของพระองค์ไม่ออก เห็นเพียงร่างเหลืองอร่ามนั่งอยู่บนบัลลังก์

ทว่า เมื่อหันกลับไปลอบมองสีหน้าของขุนนางใหญ่แต่ละคน นางเห็นสีหน้าของพวกเขาอย่างชัดเจน

สีหน้าและแววตาของทุกคน ล้วนเขียนคำว่า มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าตายแน่

“รับสั่งให้…มั่วเชียนเสวี่ยเข้าเฝ้าในท้องพระโรง!”

สิ้นเสียงของขันที มั่วเชียนเสวี่ยไม่กล้ามองมากไปกว่านี้ นางเดินเข้าไปในท้องพระโรงอย่างเชื่อฟัง แล้วทำความเคารพ

พระพักตร์ของฮ่องเต้เปี่ยมไปด้วยหมอกครึ้ม นานค่อนวันก็ยังไม่รับสั่งให้มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้น

เขาคือฮ่องเต้ ที่นี่คือตำหนิกจินหลวนเป่า มั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่อาจพูดจา นางทำได้เพียงคุกเข่าอย่างเชื่อฟัง ทำสีหน้านิ่งงันคล้ายไม่ว่าจะถูกรักใคร่หรือถูกหยามเกียรติล้วนไม่เก็บมาใส่ใจ

สิ่งมีชีวิตก่อนประวัติศาสตร์อย่างฮ่องเต้ นางเคยเห็นในโทรทัศน์เท่านั้น ไม่เคยพบเจอในชีวิตจริงมาก่อน ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าอารมณ์ของพระองค์เป็นเช่นไร

แต่ว่า นางรู้ว่าความพึงพอใจหรือความพิโรธที่ฮ่องเต้แสดงออกมา อาจจะไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงของฮ่องเต้ก็ได้

การกระทำของฮ่องเต้ นางเคยได้ยินหนิงเซ่าชิงพูดถึงอยู่บ้าง ฮ่องเต้ไม่ใช่จักรพรรดิที่ไร้ความสามารถ ในทางตรงกันข้าม ฮ่องเต้ประเมินตนเองสูงมาก

คนที่ประเมินตนเองสูง ย่อมไม่มีวันยอมให้ผู้อื่นคาดเดาความคิดของเขาได้ง่าย หากฮ่องเต้ทรงพิโรธแล้วแสดงออกมา บางครั้งอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแค่ทำให้ขุนนางตกใจเท่านั้น มั่วเชียนเสวี่ยสัมผัสได้ว่าเวลานี้แม้ฮ่องเต้จะทรงพิโรธ ทว่าไม่มีไอสังหารแผ่ซ่านออกมา

ตำหนิกจินหลวนเป่าเงียบสงัด ท่ามกลางความพิโรธของฮ่องเต้ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากพูด ขุนนางคนใดบ้างจะเอ่ยพูดตอนนี้โดยไม่เกรงกลัวความตาย มั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่าบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย

ฮ่องเต้ทรงพิโรธ โดยทั่วไปเพียงชำเลืองมองก็เพียงพอให้คนเหงื่อเย็นแตกพล่านเต็มแผ่นหลังและคุกเข่าอ้อนวอน มั่วเชียนเสวี่ยกำลังรอ นางไม่มีท่าทีร้อนใจเป็นกังวลคล้ายถูกแผดเผา ในเมื่อนางมาแล้ว เช่นนั้นร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้นิ่งสงบสบยทุกความเคลื่อนไหว รอดูการเปลี่ยนแปลงเพื่อรอรับมือเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงยังจะดีเสียกว่า

ฮ่องเต้สร้างสถานการณ์เช่นนี้เพื่อให้ตนใจสลายไม่ใช่หรือ ให้เชื่อฟังคำสั่งของเขาไม่ใช่หรือ

ตอนมั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่าจนขาชา ในที่สุดฮ่องเต้ก็พูดขึ้น “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้ารู้ความผิดของตนหรือไม่”

“หม่อมฉันไม่รู้เพคะ” มั่วเชียนเสวี่ยยังคงคุกเข่าบนพื้น เมื่อฮ่องเต้ไม่ได้รับสั่งให้นางลุกขึ้น นางไม่อาจลุกขึ้น แม้แต่เงยหน้าขึ้นมองพระองค์ก็ยังทำไม่ได้

“เจ้าเงยหน้าขึ้น”

“เพคะ”

มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น ทว่ายังคงก้มหน้าเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาฮ่องเต้ นั่นเป็นความไม่เคารพอย่างสูง

แต่…หางตาของนางกลับมองฮ่องเต้อย่างพิจารณา

เขาคือบุรุษที่ดูแลตนเองเป็นอย่างดี อายุสามสิบต้นๆ ใบหน้าหล่อเหลา หากไม่ใช่เพราะเวลานี้ทำสีหน้าเหี้ยมโหด เช่นนั้นน่าจะเป็นลุงสุดหล่ออย่างแน่นอน

เสียงของฮ่องเต้แข็งแกร่ง เปี่ยมไปด้วยความทรงพลังไม่สิ้นสุด “ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ารู้ความผิดของตนหรือไม่!”

นี่เป็นการแข่งขันทางจิตวิทยา หากนางกลับคำ อ้อนวอนร้องขอให้ฮ่องเต้ทรงอภัยโทษ เช่นนั้นเท่ากับว่าตนยอมรับความผิด นางก็จะพ่ายแพ้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในขณะเดียวกันที่ไม่มีผู้ใดช่วยนางได้ นางมีปมในใจ จากคนที่เคยพบเจอฮ่องเต้ ขอเพียงมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เท้าก็จะอ่อนแรง หูและปากจะสั่นเทาอย่างไม่อาจหักห้ามได้

นางอ่านหนังสือมามาก คนทำการค้า ย่อมไม่พลาดหนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ไม่เพียงแค่ไม่พลาดหนังสือแนวนี้ แต่นางยังเคยสละเวลาศึกษาความคิดของเจ้านายอีกด้วย

ความน่าเกรงขามกำหนดสถานการณ์ในสงคราม ดังนั้น…

นางจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้…จะไร้ประโยชน์เช่นนี้ไม่ได้ จะแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้ไม่ได้

ตั้งสติให้มั่น มั่วเชียนเสวี่ยตอบเสียงดังฟังชัด “หม่อมฉันไม่รู้เพคะ!”

ฮ่องเต้จ้องมองนางด้วยความพิโรธ สตรีคนนี้เหยียดตัวตรง ตอบอย่างหนักแน่น ทำให้เขานึกถึงใครคนหนึ่ง

คนคนนั้นตัวตรงเช่นนี้ หนักแน่นเช่นนี้มาโดยตลอด ใบหน้าของเขาไม่เคยยอมแพ้ แม้ว่าตนจะเป็นฮ่องเต้ก็ตาม ความทระนงเช่นนั้น พูดด้วยวาจาหนักแน่นเช่นนั้น ความมั่นใจเช่นนั้น… สตรีที่สำคัญที่สุดในชีวิตตน คนแรกที่นางมองคือคนคนนั้น คนที่นางตกหลุมรักคือคนคนนั้น นางยอมพลีชีพเพื่อคนคนนั้น…

สุดจะทน!

พรึ่บ… พระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธเคือง ปกคลุมด้วยสายฟ้า โยนฎีการ่วมสิบเล่มไปที่มั่วเชียนเสวี่ยด้วยความคับแค้นใจ

คนทั่วไปเมื่อเห็นวัตถุถูกโยนมา ย่อมหลบอย่างไม่มีเงื่อนไข

ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยนางไม่ได้หลบ

นางดูออก ครั้งนี้ฮ่องเต้พิโรธจริงๆ! เมื่อครู่ ฮ่องเต้อยากจะสังหารนางจริงๆ แม้นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่…

นางจำต้องอดทน ถูกทำร้ายครั้งนี้ ช่วยบรรเทาความพิโรธในใจฮ่องเต้ได้

พรึ่บ…ฎีกาทั้งหมดถูกโยนไปที่ศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด วินาทีต่อมาของเหลวอุ่นๆ รินไหลจากหน้าผากของนางลงไปตามทาง

เลือดสีแดงสดไหลลงมาตามดวงหน้าของนาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านบนหน้าผาก เจ็บจนมั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม

เพื่อความยิ่งใหญ่ ฎีกาจึงถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษหนา มีน้ำหนักไม่เบา ฏีกานับสิบเล่มถูกโยนลงมา แค่คิดก็รู้ว่าหนักเพียงใด

ติ๋งๆ หยดเลือดไหลไม่หยุด…

หยดแล้วหยดเล่า เลือดหยดลงบนชุดไว้อาลัยสีขาวของนาง ราวกับดอกบ๊วยผลิบาน ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับทำเหมือนไม่รู้ตัวอย่างไรอย่างนั้น นางยังคงคุกเข่าเงียบๆ เงยหน้าขึ้น

นางไม่ได้ร้องไห้ ไม่ร้องอ้อนวอน ยังคงเหยียดตัวตรง