ตอนที่ 228 ไร้ยางอาย ดิ้นรนเอาชีวิตรอดท่ามกลางความตาย (1)
ฮ่องเต้ยังคงไม่หายพิโรธ “มั่วเชียนเสวี่ย แค่ช่วงเช้า ข้าก็ได้รับฎีกากล่าวโทษเจ้านับสิบเล่ม”
“ฝ่าบาท โปรดเย็นพระทัยก่อนเพคะ” มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ ไม่มีความสั่นเครือ และไม่ติดขัดแต่อย่างใด
“ใจเย็น เจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร เจ้ากระทำความผิด ทำลายชื่อเสียง หากไม่ใช่เพราะขุนนางทุกคนเขียนชื่อกำกับ ข้าไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าสตรีเช่นเจ้าจะใจกล้า บังอาจสังหารคนกลางเมืองหลวง สังหารคนกลางท้องถนน ผู้ใด? ผู้ใดมอบความกล้านี้ให้เจ้า!”
ด้วยพระประสงค์ของฮ่องเต้ในตอนนี้ ป้ายไม้ดำนั่นไม่เอาก็ช่างปะไร ความลับทางทหารนั่นค่อยคิดหาวิธีการอื่นแล้วกัน
สังหารมั่วเชียนเสวี่ยเพื่อระงับความคับข้องใจของปวงประชา ให้คำตอบกับขุนนางที่เขียนฎีกาขึ้นมา และบรรเทาเพลิงไฟแห่งความพิโรธของตนในเวลานี้ ทั้งยังเป็นการตักเตือนพวกซื่อจื่อที่ประพฤติมิชอบ…
ฮ่องเต้หลบขนตางอนยาวลง บดบังลำแสงเยือกเย็นในแววตาของพระองค์ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตอนลืมตาขึ้นพระองค์ส่งสายตาให้กับขุนนางคนสนิท
ขุนนางคนสนิทรับรู้พระประสงค์ของฮ่องเต้ จึงเดินออกมาจากแถวแล้วพูดขึ้น “มั่วเชียนเสวี่ยโอหังเช่นนี้ เป็นการทำลายเกียรติยศของขุนนางเทียนฉี หากไม่ลงโทษขั้นรุนแรง วันข้างหน้าซื่อจื่อและคุณหนูในจวนอื่นๆ ลอกเลียนแบบจะทำเช่นไร ฝ่าบาทโปรดลงโทษมั่วเชียนเสวี่ยสถานหนัก เพื่อเตือนใจทุกคนไม่ให้กระทำความผิดด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ” สำหรับเรื่องของสตรีที่พี่ใหญ่บอกว่าจะสู่ขอให้นาง ซูชีไม่สนใจ ทว่าอาลู่ให้ความสนใจกับเรื่องของนายมาโดยตลอด
ได้ยินว่าคุณชายใหญ่อยากจะให้แม่สื่อไปพูดทาบทามคุณหนูแห่งจวนกั๋วกง อาลู่ย่อมอยากสืบเรื่องของนาง รอเจ้านายพักผ่อน เขาจะสั่งให้คนรับจ้างทั่วไป ไปช่วยเขาสืบเรื่องบุตรีจวนกั๋วกง
คนรับจ้างทั่วไปกลับมารายงานแต่เช้า บอกว่าบุตรีของกั๋วกงแซ่มั่วนามเชียนเสวี่ย ออกไปจากเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน ปีกลายกั๋วกงตายในสงคราม ระหว่างทางกลับมานางถูกลอบทำลาย หายตัวไปนานครึ่งปี เมื่อวานเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง…
มั่ว…เชียน…เสวี่ย! หายตัวไปครึ่งปี? เมื่อวานเพิ่งกลับเมืองหลวง?
ชื่อของหนิงเหนียงจื่อคือมั่วเชียนเสวี่ย เมื่อครึ่งปีก่อนชาวบ้านในหมู่บ้านหวังจยาช่วยชีวิตนางเอาไว้ ให้นางเป็นเจ้าสาวแก้เคล็ดของท่านอาจารย์หนิง ได้ยินคุณชายบอกว่าสองสามวันนี้ท่านอาจารย์หนิงจะพาหนิงเหนียงจื่อเข้าเมืองหลวง…
เรื่องบังเอิญที่น่าตกตะลึง ทำให้อาลู่ตะลึงงัน ตกอยู่ในห้วงแห่งความชุลมุนวุ่นวาย จากที่คนรับจ้างบรรยายรูปพรรณสัณฐานของบุตรีท่านกั๋วกง เขามั่นใจแล้วว่า มั่วเชียนเสวี่ยคนนี้ คือหนิงเหนียงจื่อที่เมืองเทียนเซียง
สำหรับเจ้านายนี่คือข่าวดีหรือข่าวร้าย อาลู่ไม่อาจตัดสินใจ เขาไม่รู้ว่าควรจะบอกเจ้านาย หรือว่าไม่ควรจะบอกเจ้านาย จิตใจกระสับกระส่าย ลังเลไม่แน่นอน
ด้วยเหตุเพราะจิตใจของเขากระสับกระส่าย ตอนอาลู่ปรนนิบัติรับใช้ซูชีล้างหน้าแปรงฟัน จึงทำผิดพลาดหลายครั้ง
“อาลู่!” ซูชีตะโกนเสียงดัง ทำให้อาลู่ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นทันที เขาหลับตาปี๋ด้วยความไม่สบายใจ แต่ก็พูดทุกอย่างที่รู้ออกมาจนหมด
เมื่อซูชีได้ฟัง คล้ายฟ้าผ่าลงบนศีรษะ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าฐานันดรศักดิ์ของมั่วเชียนเสวี่ยจะเป็นแบบนี้ ทั้งยังไม่เคยคิดว่า มั่วเชียนเสวี่ยกลับเมืองหลวงตามลำพัง…
สังหารคนนับสิบกลางท้องถนน…เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องที่จะจบลงง่ายๆ ไม่แน่ วันนี้อาจจะเป็นวันตายของนาง…
เมื่อคิดถึงปัญหาข้อนี้ ซูชีเป็นกังวลอย่างมาก สั่งให้อาลู่รีบไปเตรียมรถม้า พร้อมกับเปลี่ยนชุดขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ไม่เคยสวมมาก่อน วันนี้เขาจะไปประชุมราชสำนัก! บุตรสายตรงตระกูลชั้นสูง ฐานันดรศักดิ์สูงส่งตั้งแต่กำเนิด ย่อมสามารถเข้าประชุมราชสำนักเข้าเฝ้าโอรสแห่งสวรรค์ได้
เมื่อก่อนนางเป็นภรรยาของผู้อื่น หัวใจของนางและสายตาของนางมีเพียงหนิงเซ่าชิง เขาไม่มีเหตุผลที่จะเข้าใกล้นาง
แต่ว่าตอนนี้ ไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าระหว่างนางกับหนิงเซ่าชิงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในเมื่อนางกลับจวนกั๋วกงแล้ว ทั้งยังเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ เช่นนั้นย่อมมีอิสระ
ขอเพียงนางเป็นอิสระ ไม่ใช่ภรรยาของผู้อื่น เช่นนั้นการที่ตนเข้าใกล้นาง ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำผิดศีลธรรม
ส่วนลึกในใจของซูชีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการเข้าหามั่วเชียนเสวี่ยในตอนนี้ อาจจะเป็นการดื่มเลือดวิหคพิษดับกระหาย หรืออาจจะต้องตาย
แต่ว่า เขาไม่อาจไม่สนใจนาง…ไม่ว่าวันข้างหน้านางจะยอมรับตนหรือไม่ เขาก็จะทำสุดความสามารถเพื่อปกป้องนาง
ขณะเดียวกัน บนท้องถนน รถม้าติดธงตระกูลเฟิงขับมุ่งหน้าเข้าวังหลวงอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว
วันนี้เฟิงอวี้เฉินเพิ่งเข้าเมืองหลวง ทันทีที่เข้าเมืองหลวงก็ได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยสังหารคน ถูกฮ่องเต้รับสั่งเรียกตัวเข้าวังหลวง เขาร้อนใจราวกับถูกไฟแผดเผา
สายลับสองคนของเขาในหมู่บ้านหวังจยา ถูกหนิงเซ่าชิงจับได้นานแล้ว ไม่มีข่าวคราวมานาน เขาจึงทำได้เพียงส่งคนไปสืบ จึงเพิ่งรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยติดตามหนิงเซ่าชิงเข้าเมืองหลวง
เขากลัวหนิงเซ่าชิงรังแกมั่วเชียนเสวี่ยเพราะนางไม่เหลือใครในครอบครัวแล้ว เขาจึงรีบตามมา
ในเมื่อ เสวี่ยเอ๋อร์จะติดตามหนิงเซ่าชิง เช่นนั้นนางต้องได้รับฐานันดรศักดิ์ที่ดีที่สุด
หากตระกูลหนิงไม่ให้ เช่นนั้นตระกูลเฟิงของเขาย่อมไม่ยอม
ทว่าคิดไม่ถึงทันทีที่เข้าเมืองหลวง กลับพบเจอเรื่องเช่นนี้ หนิงเซ่าชิงหายไปที่ใด เหตุใดจึงให้เสวี่ยเอ๋อร์กลับจวนกั๋วกงตามลำพัง แต่ว่า เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน…
ตอนที่รถม้าของซูจิ่นอวี้ขับไปถึงหน้าประตูวังหลวง รถม้าของซูชีก็ตามมาทัน
หัวหน้าตระกูลชั้นสูงไม่ต้องเข้าร่วมประชุมราชสำนัก แต่เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น การแข่งขันของต่างฝ่ายต่างเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะการมาของหมากตัวใหม่ ดังนั้น หัวหน้าตระกูลซู ซึ่งก็คือบิดาของซูชีและซูจิ่นอวี้จึงสั่งให้ซูจิ่นอวี้เข้าประชุมราชสำนักเพื่อสืบข่าว
ทว่า ซูจิ่นอวี้คิดไม่ถึง น้องชายคนนี้ของเขาจะมาด้วย
ซูชีเห็นพี่ใหญ่ของตนยังอยู่นอกวังหลวง รีบลงจากรถม้าแล้วพูดด้วยความร้อนใจ “พี่ใหญ่ ช่วยจิ่นหันอย่างหนึ่ง”
ซูจิ่นอวี้รู้สึกแปลกใจ “ช่วยอะไร” “ปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยอย่าให้นางตาย…”
ในท้องพระโรง ขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด ด้านนอกก็มีเสียงของขันดีดังขึ้น
“คุณชายใหญ่ตระกูลซู คุณชายใหญ่ตระกูลเฟิงและซูจิ่นหันขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล้กน้อย ยกมือขึ้น เสียงของขุนนางด้านในดังขึ้น “เข้ามา…”
ซูจิ่นอวี้ ซูจิ่นหัน(ซูชี)และเฟิงอวี้เฉินทั้งสามคนขอเข้าเฝ้าพร้อมกัน ฮ่องเต้ไม่ได้ถามว่าพวกเขามาเข้าเฝ้าเพราะเรื่องอะไร เพียงผายมือให้พวกเขายืนอยู่ในแถวเดียวกับพวกขุนนาง ยืนขนาบสองข้าง
ตระกูลซูไม่ร่วมประชุมราชสำนักมานาน ทว่าวันพิเศษเช่นวันนี้กลับมาร่วมประชุม แค่เพื่อมาดูเรื่องสนุก ดูว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้หรือไม่
ถึงอย่างไรจวนเจิ้นกั๋วกงมีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ แม้มั่วเทียนฟั่งจะเสียชีวิตนานครึ่งปีกว่าแล้ว แต่อำนาจทางการทหารของเขายังไม่มีผู้ใดเข้าไปทำหน้าที่แทน ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เพราะรับหน้าที่นี้ไม่ได้ ตระกูลซูย่อมอยากมาแบ่งผลประโยชน์เป็นธรรมดา
คนตระกูลเฟิงแม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง ทว่าทำงานอย่างถ่อมตนมาโดยตลอด อีกทั้งจวนเก่าแก่ของตระกูลก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หากไม่ใช่วันปีใหม่และไม่ใช่เทศกาลไม่มีเรื่องใหญ่ย่อมไม่ส่งคนเข้าเมืองหลวง เวลานี้ปรากฏตัวในท้องพระโรง มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือมาเพื่อสนับสนุนมั่วเชียนเสวี่ย
ฮ่องเต้คิดเอาเองว่าตนอ่านใจคนทั้งสองตระกูลได้ หัวเราะเย้ยหยันด้วยความเยือกเย็น บอกให้ขุนนางคนสนิทพูดต่อ “มั่วเชียนเสวี่ยสังหารชาวบ้านนับสิบคนบนท้องถนน ไม่เห็นอำนาจของฮ่องเต้ยู่ในสายตา ไม่เห็นความสำคัญของกฎระเบียบ ทำความผิดร้ายแรงไม่อาจยกโทษได้จริง…”
เหล่าขุนนางต่างเดาความคิดของฮ่องเต้ไม่ได้ พวกเขาล้วนไม่กล้าพูดอะไร เมื่อมีคนพูดขึ้นก่อน อีกทั้งคนคนนั้นยังเป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ พวกเขาจึงเข้าใจพระประสงค์ของฮ่องเต้ทันที เมื่อรู้พระประสงค์ของฮ่องเต้แน่นอนว่าย่อมต้องรุกขึ้นหน้า