บทที่ 230 เด็กดื่มไม่ได้

บทที่ 230 เด็กดื่มไม่ได้

สายตาเจ้าก้อนแป้งโจ่งแจ้งเกินไป ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาดันหน้าผากของนางไว้

หนานกงหลีเอ่ยเสียงดุ ๆ “เจ้าเด็กตะกละ เป็นเด็กเป็นเล็กคิดจะดื่มเหล้า โตแล้วหรือถึงได้คิดจะดื่ม”

หนานกงฉีโม่เอนตัวพิงพนักพิงพลางยกจอกสุราขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบาย ๆ นัยน์ตาจิ้งจอกมองคนตัวเล็กที่กำลังมุ่ยปากอย่างไม่พอใจ

“เหล้าข้าวนี้เจ้าดื่มได้นิดหน่อย อยากดื่มหรือไม่”

เสี่ยวเป่า “หากเสี่ยวเป่าโตแล้วจะดื่มเหล้ามากเพียงใดก็ได้ใช่หรือไม่!”

หนานกงหลีเคาะหัวนาง “เชื่อฟังหน่อย เจ้าคิดว่าดื่มเหล้าพวกนี้แล้วจะอิ่มเหมือนข้าวหรืออย่างไร อีกอย่างจะดื่มได้มากหรือน้อยก็ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับอายุเสียเมื่อไหร่”

“พวกท่านยังไม่ได้ตอบคำถามเสี่ยวเป่าเลยนะ!”

เหตุเกิดจากความโกรธจึงถือกำเนิดคนพาล เสี่ยวเป่าคว้ามือท่านอาเจ็ดขึ้นมากัด เพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น

หนานกงหลีรีบบีบปากเล็ก ๆ ของนางให้เผยอออก

“อาเจ็ดจะบอกอะไรให้นะ เหล้าพวกนี้จะขายก็ยังขายไม่ค่อยออก จะกินจะดื่มสิ่งใดควรดูให้ดีก่อนว่าเป็นของดีหรือไม่ สุราดีย่อมมีราคาแพง เหล้าข้าว เหล้าเหลืองพวกนี้มันก็แค่เหล้าทั่ว ๆ ไป ราคาก็ไม่ได้สูง มิใช่ว่าเสี่ยวเป่าคิดจะขายเหล้าหรอกหรือถึงได้หมักสุราพวกนั้น”

เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าไม่บอก”

ลูกตากลมโตกลอกไปทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปทางขวา เห็นได้ชัดว่านางมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ

เพียงแต่ไม่มีผู้ใดในที่นี้สังเกตเห็น

เรื่องที่คนตัวเล็กสามารถปลูกพืชพรรณแปลก ๆ ได้ พวกเขาพอจะเข้าใจได้ เพราะมันได้ประจักษ์แก่สายตาผู้คนแล้ว แต่นางยังหมักเหล้าได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?

หนานกงจ้านไม่อยากจะปักใจเชื่อในทันที

ทุกคนต่างก็คิดว่านางแค่ทำเล่น ๆ

เมื่อนมแพะถูกนำมาวางตรงหน้า หนานกงหลีก็จัดการชงชานมหอมกรุ่นละมุนลิ้นให้เสี่ยวเป่า แน่นอนว่าเขาเองก็ดื่มไปไม่น้อย

เสี่ยวเป่า “ยังจะมาบอกว่าเสี่ยวเป่าทำสิ้นเปลือง ท่านอาเจ็ดอยากดื่มเองชัด ๆ!”

หนานกงหลี “หากไม่ได้อาเจ็ดช่วยดื่ม เจ้าจะดื่มหมดอย่างนั้นหรือ หากดื่มไม่หมดก็คงสิ้นเปลืองจริง ๆ แล้ว!”

เสี่ยวเป่าสุดจะทนถึงขั้นยกมือขึ้นเท้าเอว “ฮึ่ม!”

เสียงพ่นลมหายใจดังฮึดฮัด ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามยิ่งทำให้เจ้าก้อนแป้งดูน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้น

ขณะที่พุงเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าเริ่มยื่นออกมาจนกลม นางก็ยังไม่ลืมนึกถึงพี่ชายที่เหลือ

เฉ่าเหมยในเรือนเพาะชำเหลือไม่มากแล้ว แต่มีเพียงพอที่จะส่งไปให้คนที่สำนักศึกษาอีกคนละสี่ห้าผล

พรุ่งนี้นางจะไปที่หมู่บ้านน้ำพุร้อนเพื่อเก็บมัน!

อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ หนานกงหลียื่นมือเข้าไปใกล้ ๆ เตาผิงในรถม้าเพื่อคลายหนาว ความหนาวที่ว่าถึงขั้นลมหายใจที่พ่นออกมากลายเป็นไอหมอกสีขาว

เขาหันไปเปิดม่านบนรถม้าออกเพื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า “อีกไม่ช้าหิมะก็คงจะตก”

เสี่ยวเป่าในเสื้อคลุมกันหนาวตัวเล็กสีกลีบบัวที่มีขนสัตว์สีขาวรอบคอ ประดับด้วยลูกบอลขนอันเล็ก ๆ สีแดงอีกสี่ลูก ทั้งยังอุ้มจิ้งจอกน้อยสีแดงเพลิงตัวอ้วนกลมไว้ในอ้อมแขน

ไม่รู้ว่าเสี่ยวเป่าขุนมันอย่างไร จากที่เคยผอมแห้งจนแทบเหลือเพียงกระดูก ในช่วงเวลาสั้น ๆ เจ้าจิ้งจอกน้อยนี้ไม่เพียงมีน้ำมีนวลขึ้นเท่านั้น แต่ยังตัวอ้วนกลมจนแทบจะกลิ้งได้

ขนยาวสลวยทั่วทั้งกายของเจ้าตัวอ้วนทำให้ใบหน้าขาวนวลของเสี่ยวเป่าดูน่ารักขึ้น ยิ่งยามที่ดวงตากลมโตเปล่งประกาย เมื่อเพ่งมองผู้คน นางยิ่งดูน่ารักเช่นเดียวกับจิ้งจอกน้อยขนยาวในอ้อมแขน

หนานกงหลีหันมาจ้องหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวตาเป็นมัน จากนั้นก็ย้ายเตาผิงออกไปไว้ด้านข้างก่อนจะคว้าหลานสาวตัวน้อยขึ้นมากอดแล้วซุกมือลงบนขนปุกปุยตรงหน้าท้องของเจ้าจิ้งจอกน้อย

“ของดี ทำให้มืออุ่นได้”

จิ้งจอกน้อย: …หากข้าไม่ใช่หมา ท่านก็ไม่ใช่คน

“คณะราชทูตจากหนานจ้าวก็อยู่ที่นั่นด้วย คนพวกนั้นหน้าซื่อใจคด เจ้าต้องคอยอยู่ใกล้อาเจ็ดเข้าไว้ เข้าใจหรือไม่”

เสี่ยวเป่าพยักหน้า “เข้าใจแล้วเพคะ”

หนานกงหลีคลี่ยิ้มพลางลูบหัวเสี่ยวเป่า “เด็กดี”

“เจ้าน่ะ คิดจะเล่นสนุกอันใดอีกถึงได้ยืนกรานจะตามอาเจ็ดมาด้วย เจ้าดูขอบตาข้าเสียก่อน เสียงก็เริ่มแหบแล้วจริงหรือไม่? ก็เพราะอาเจ็ดของเจ้าต้องอดหลับอดนอนเพื่อทะเลาะกับคนพวกนั้นทุกวัน นอกจากขอบตาจะดำแล้ว ผิวก็เริ่มแห้งเหี่ยวแล้วด้วย”

สีหน้าของเซียวเหยาอ๋องฉายแววเป็นกังวล ขณะอุ้มหลานสาวตัวน้อยที่แสนนุ่มนิ่มราวกับอุ้มทารกแรกเกิด

“ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเสด็จพี่ถึงชอบนอนกอดเจ้า ตัวนุ่มนิ่มอย่างกับหมอนข้างใบเล็ก ๆ ซ้ำยังมีกลิ่นกายหอมกรุ่น ชวนให้นอนหลับสบายยิ่ง คืนนี้ไม่ต้องกลับวังแล้ว ค้างที่จวนของอาเจ็ดดีหรือไม่?”

เสี่ยวเป่าส่ายหัวปฏิเสธอยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นอา “ไม่เอา หากไม่มีเสี่ยวเป่าเดี๋ยวท่านพ่อจะนอนไม่หลับ”

“อาเจ็ดก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”

เสี่ยวเป่ายกจิ้งจอกน้อยในมือขึ้น “เสี่ยวเป่าให้ท่านอาเจ็ดยืมหงหงวันหนึ่งก็ได้”

คนตัวเล็กกล่าวพร้อมสายตามุ่งมั่นเหมือนว่านางจะหมายความเช่นนั้นจริง ๆ

หนานกงหลีกับจิ้งจอกน้อยหันมองหน้ากัน ทันใดนั้นต่างฝ่ายก็ต่างเบือนหน้าหนี

จิ้งจอกน้อยรีบซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนเสี่ยวเป่าเหมือนไม่อยากไปกับคนตรงหน้า

หนานกงหลีเบิกตากว้าง “เจ้าดูสิ มันไม่ชอบข้า!”

จิ้งจอกน้อยหันก้นที่เต็มไปด้วยขนนุ่มฟูให้เขา

เสี่ยวเป่า “ฮ่า ๆ”

เสียงหัวเราะของเด็กเล็กสุดแสนจะเริงร่าดังแว่วออกมาจากรถม้า เหมือนทำให้เมืองหลวงที่ครึกครื้นอยู่แล้วมีชีวิตชีวามากขึ้นยิ่งกว่าเก่า

ณ เรือนรับรองแขก คณะราชทูตจากหนานจ้าวกำลังหารืออยู่ในห้องห้องหนึ่ง

สตรีงามงดนางหนึ่งเคาะนิ้วเรียว พลันนั้นก็มีแมงมุมหลากสีจำนวนหนึ่งไต่ออกมาตามแขนนาง เมื่อตรวจตราทั่วทั้งห้องแล้วว่าไม่มีผู้ใดแอบฟัง พวกเขาถึงนั่งลงเพื่อเริ่มหารือ

“มหาปุโรหิต ไหนพวกท่านบอกว่าเมื่อฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยถูกพิษกู่แล้วจะกลายเป็นคนบ้าคลั่ง จิตใจโหดเหี้ยม และมีแต่ความเคียดแค้น เข่นฆ่าผู้คนไม่เลือกหน้า ทว่าเหตุใดองค์ชายของเราถึงยังเห็นว่าต้าเซี่ยนอกจากจะไม่เกิดเรื่องแล้ว นับวันกลับยิ่งรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เล่า”

หลังจากลอบสังเกตการณ์อยู่หลายวัน แม้ว่าฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยจะขึ้นชื่อเรื่องความเด็ดขาด แต่จากข่าวคราวที่พวกเขาพอจะสืบมาได้ก็คือ ฮ่องเต้พระองค์นี้ที่มาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะก่อกบฏสังหารบิดาและพี่น้องร่วมสายเลือด ทั้งยังได้รับการขนานนามจากเหล่าขุนนางอาวุโสทั้งหลายว่าเป็นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมทารุณ ทว่าบัดนี้ชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้แตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการไว้มาก

“หรือว่า… ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยจะพบยาแก้พิษแล้ว?”

“เป็นไปไม่ได้ แม้จะพบตัวยาอื่น ๆ แล้ว แต่ดอกสามชีวานั้นเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าว มีเพียงคนผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถปลูกมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น…”

“หุบปาก”

ทันใดนั้น ชายชราที่หลับตาก็ลืมตาขึ้น พร้อมเอ่ยเสียงเยือกเย็น ผู้ที่กำลังคาดเดาไปเรื่อยรีบคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความกลัว

“ขออภัยท่านมหาปุโรหิต ข้าน้อยผิดไปแล้ว”

มหาปุโรหิตหยัดกายลุกขึ้นช้า ๆ พลางทอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาล้ำลึก

“ข้าอยากจะรู้นักว่าฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยผู้นี้มีสิ่งใดซ่อนอยู่”

ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนจะมีเสียงรายงานจากคนด้านนอก “ทุกท่าน งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้วขอรับ”

งานเลี้ยงอาหารกลางวันในวันนี้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อให้ราชทูตจากแต่ละอาณาจักรได้มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

และงานเลี้ยงในคราวนี้ก็ไม่ได้มีเพียงคนจากอาณาจักรหนานจ้าวเท่านั้น แต่ยังมีคณะราชทูตจากอาณาจักรน้อยใหญ่อื่น ๆ ด้วย

เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่นั้นมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน จึงทำให้แยกแยะได้ง่าย

งานเลี้ยงเล็ก ๆ นี้ไม่ได้มีเพียงเสี่ยวเป่าและเซียวเหยาอ๋องเท่านั้นที่เข้าร่วม ทว่ายังมีเจิ้นหนานอ๋องและองค์ชายรองด้วย

และงานเลี้ยงในครั้งนี้มีหนานกงหลีเป็นเจ้าภาพ

“ทุกท่านเดินทางมาไกล เราในฐานะเจ้าบ้านย่อมตอบรับขับสู้ทุกท่านอย่างดีที่สุด อาหารเหล่านี้ล้วนปรุงตามรสชาติอาหารบ้านเกิดที่ทุกท่านคุ้นเคย ทุกท่านโปรดกินดื่มให้เต็มที่ หากมีสิ่งใดไม่ถูกไม่ควรโปรดแจ้งเรามาตามตรง เราย่อมไม่อาจละเลยแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน”

“ดี ๆ อาณาจักรของพวกท่านมีใจเอื้อเฟื้อยิ่ง!”

“ทุกท่าน หมดจอก!”

หลังจากทักทายกันแล้วสักพัก เหล่าสาวงามก็ออกมาร่ายรำ

เสี่ยวเป่านั่งอยู่ตรงกลางระหว่างท่านอาทั้งสอง มือน้อย ๆ หมายจะยื่นไปหยิบจอกเหล้า ทว่ายังไม่ทันได้แตะจอกเหล้า อาสี่ก็ยัดเฉ่าเหมยใส่มือนางแทน

“เด็กดื่มไม่ได้”

หนานกงจ้านเอ่ยเสียงต่ำ ทั้งที่เขากำลังมุ่งความสนใจไปที่ผู้คนในงานเลี้ยง แต่เจ้าก้อนแป้งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยังคงอยู่ในสายตาเขาเสมอ