กู้ฉังชิงเล่นไพ่ชนะเสียจนมือไม้เริ่มอ่อน
หญิงชราที่เดิมคิดจะปล้นเขาในตอนแรก กลายเป็นว่าแพ้ราบคาบ
นางขยี้หัวเสี่ยวจิ้งคงอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ
เสี่ยวจิ้งคงนึกในใจ กว่าเส้นผมแต่ละเส้นจะงอกขึ้นมาไม่ใช่ง่ายๆ เลย นี่เขาจะต้องมาหัวล้านอีกรอบเพราะท่านย่างั้นรึ!
กู้ฉังชิงในตอนนี้ราวกับเด็กที่แอบผู้ใหญ่เล่นสนุก ใบหน้าอันแสนเย็นชาของเขาบัดนี้เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความขี้เล่นซุกซน
นี่มันสนุกมากเลย ก็ว่าทำไมพวกเขาถึงชอบเล่นกันนัก
แน่นอนว่า เขาดื่มดำกับการเล่น มิได้สนถึงเรื่องเงินที่ชนะมาแต่อย่างใด
เดิมเข้ามาในเรือนด้วยมือเปล่าก็รู้สึกไม่ดีมากๆ แล้ว จะให้มายึดเงินพวกเขาไปอีกคงยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
แต่ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าแห่งพนันของหญิงชรา
นางจึงลั่นวาจาไม่เอาเงินที่เสียไปคืนมาแม้แต่สลึงเดียว!
กู้ฉังชิงเลยใช้วิธีเอาเงินที่ชนะมาใส่ซองแล้วมอบเป็นเงินอั่งเปาให้กับเด็กๆ
กู้เจียวมองดูเงินอั่งเปาในมือ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ให้ข้าด้วยรึ”
“อืม” กู้ฉังชิงพยักหน้า
สำหรับเขา กู้เจียวกับกู้เหยี่ยนอายุเท่ากัน ในเมื่อให้กู้เหยี่ยนแล้ว ก็ต้องให้กู้เจียวด้วย เพราะพวกเขาอายุน้อยกว่า
กู้เจียวที่เดิมคอยแต่ให้เงินอั่งเปาคนอื่น ในวันนี้นางได้เป็นผู้รับเองบ้าง
เงินส่วนใหญ่เป็นของหญิงชรา ซึ่งเป็นคนที่ลงเงินเยอะสุด แต่ดันเล่นแพ้มากที่สุด
แม้นางจะชนะเงินของกู้ฉังชิงมาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ได้ไม่คุ้มเสีย
หญิงชรากลับเข้าไปลับมีดในห้อง ถึงเวลายืมเงินอีกแล้วสินะ!
ตัดภาพไปที่จี้จิ่วอาวุโสที่กำลังนั่งอยู่บนรถม้า จู่ๆ ก็เกิดจามออกมา แถมยังรู้สึกเย็นวาบแปลกๆ ที่สันหลัง!
จี้จิ่วอาวุโสพาเซียวลิ่วหลังไปเยี่ยมเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตระกูลเฟิง ผู้ซึ่งเคยเป็นขุนนางหงหลูซื่อชิงระดับสาม หากเทียบกับตำแหน่งจี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียนแล้วถือว่าพอๆ กัน แต่หากถามว่าใครโดดเด่นกว่าในสายพระเนตรของฝ่าบาท ก็ย่อมต้องเป็นจี้จิ่ว
จี้จิ่วอาวุโสเป็นคนเชี่ยวชาญศาสตร์หน้าด้านใจดำ มีความสามารถในการข่มเหงคู่ต่อสู้ เอาใจฝ่าบาท อีกทั้งโน้มน้าวให้ฝ่าบาทมองว่าจี้จิ่วเป็นปราชญ์ที่แท้จริง
ซึ่งเป็นด้านที่จี้จิ่วอาวุโสไม่เปิดเผยออกมาให้ใครได้ล่วงรู้!
ส่วนตาเฒ่าเฟิงนั้นคือนักปราชญ์ที่ขลุกอยู่ในแวดวงวิชาการที่แท้จริง
หงหลูซื่อเป็นตำแหน่งของหน่วยการทูตในแคว้นเจา ตาเฒ่าเฟิงใช้ความรู้ความสามารถของตนในการขึ้นมานั่งในตำแหน่งหงหลูซื่อ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาทั้งหกแคว้น รวมถึงภาษาชนกลุ่มน้อยอีกสามสิบกว่าภาษา นับว่าเป็นเพชรน้ำงามในแวดวงด้านภาษา
คุณูปการของเขายังไม่หมดเพียงเท่านี้ หากจะให้กล่าวต่อ ใช้เวลาสามวันสามคืนก็คงเล่าไม่หมด
แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนตรงไปตรงมา และมีจิตใจที่บริสุทธิ์ จึงไม่เหมาะกับราชสำนักที่เต็มไปด้วยคนเล่ห์เหลี่ยม
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตาเฒ่าเฟิงเคยถูกคนใส่ร้าย จนเกือบถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ แต่ด้วยความช่วยเหลือของจี้จิ่วอาวุโสจึงรอดพ้นมาได้ ทั้งตัวเขาเองและจี้จิ่วอาวุโสต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่างานราชสำนักไม่เหมาะกับเขา
เขาจึงลาออก มุ่งหน้าสู่เส้นทางนักปราชญ์
เขาได้เดินทางไปยังแม่น้ำและภูเขาอันยิ่งใหญ่ของหกแคว้น พื้นที่แห้งแล้งที่ห่างไกลที่สุด รวมถึงทะเลทรายโกบีที่อันตรายที่สุด
เขาโตมากับความแร้นแค้น ภรรยาของเขาจึงนำสินทรัพย์ทั้งหมดไปจำนำ
ชีวิตของเขามีทั้งความโชคดี แล้วก็ความโชคร้าย แต่สำหรับภรรยาของเขา การแต่งงานกับสามีเช่นนี้ถือเป็นความโศกเศร้าไปชั่วชีวิต
ตาเฒ่าเฟิงมีลูกชายถึงสามคน ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร ออกจะธรรมดาเสียด้วยซ้ำ ตาเฒ่าเฟิงมัวแต่สนใจงานของตัวเอง จนละเลยการเลี้ยงดูบุตร
ตาเฒ่าเฟิงรู้ว่าตนเหลือเวลาอีกไม่นาน จึงเขียนจดหมายหาจี้จิ่วอาวุโส โดยไหว้วานให้เขาช่วยหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม
จี้จิ่วอาวุโสครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเลือกเซียวลิ่วหลัง
ตาเฒ่าเฟิงนอนป่วยติดเตียง พอได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เอ่ยต้อนรับด้วยเสียงแหบแห้ง “มาแล้วหรือ”
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง “เจ้าออกไปรอข้าด้านนอกก่อน”
เซียวลิ่วหลังน้อมรับ
จี้จิ่วอาวุโสก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ก่อนเอ่ยทัก “เอ้อ มาแล้วมาแล้ว วันนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีขึ้นเยอะแล้ว” ตาเฒ่าเฟิงเริ่มมีปัญหาในการออกเสียง แม้ใบหน้าจะดูสดชื่นก็ตาม
จี้จิ่วอาวุโสนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าเตียง “ข้าก็ว่าดีขึ้นนะ อีกไม่กี่วันก็คงลุกจากเตียงได้แล้ว!”
ตาเฒ่าเฟิงส่ายหัว “ข้ารู้ร่างกายของตัวเองดีน่า”
จี้จิ่วอาวุโสแอบถอนหายใจ เห็นๆ อยู่ว่าแทบจะพูดไม่ได้ศัพท์แล้ว ไฉนจู่ๆ ถึงดีขึ้นได้เล่า จะให้มองอย่างไร
“ไหนล่ะ…พามาแล้วรึยัง” ตาเฒ่าเฟิงเอ่ยถาม
“มาแล้ว มาแล้ว ลูกศิษย์ของข้าเอง” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย “ครั้งนี้ข้ายอมกัดฟันยกลูกศิษย์หัวแก้วหัวแหวนให้เจ้าเชียวนะ!”
“ตระกูลหลีคนนั้นน่ะหรือ” ตาเฒ่าเฟิงส่ายหัว “ไม่เอา ไม่เอา แก่ไป”
“ไม่สิ นี่ยังจะเลือกอีกรึ”
เจ้าสำนักหลีมิได้อายุเยอะขนาดนั้น ไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ นับว่ายังหนุ่มอยู่
แม้จี้จิ่วอาวุโสจะพาศิษย์คนน้องมา แต่ในเมื่อศิษย์คนพี่โดนดูถูกเรื่องอายุ จี้จิ่วอาวุโสจึงตอกกลับอย่างเหลืออด “เหตุใดเล่า เจ้าอยากได้เด็กละอ่อนชนิดที่ว่าเพิ่งออกมาจากท้องแม่หรือไร”
ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะแห้งๆ
แต่ที่จริง จี้จิ่วอาวุโสเองก็พอเข้าใจ หากได้คนอายุน้อยมาสืบทอดต่อ นั่นเท่ากับว่ามีเวลาในการศึกษาหาความรู้มากกว่า ของพวกนี้ใช่ว่าสิบยี่สิบปีจักสำเร็จได้
“เข้ามาสิ” จี้จิ่วอาวุโสหันไปทางประตูแล้วเอ่ยเรียก
เซียวลิ่วหลังจึงเดินเข้าไปด้านใน
พอตาเฒ่าเฟิงได้ยลโฉมเซียวลิ่วหลัง ก็เกิดตะลึงงัน
เมื่อครั้งวัยเยาว์ เซียวลิ่วหลังเคยเรียนหนังสือกับตาเฒ่าเฟิง พวกเขาต้องจำกันได้แน่นอน
ประโยคแรกที่ตาเฒ่าเฟิงเอ่ยทำเอาจี้จิ่วอาวุโสเกือบสำลักตาย “นี่ข้าตายแล้วรึ เจ้าก็ด้วยรึ แย่แล้วๆ แย่แล้ว ยังไม่มีใครมาสืบทอดมรดกของข้าเลยนะ !”
เซียวลิ่วหลัง
จี้จิ่วอาวุโส
จี้จิ่วอาวุโสต้องใช้พลังอย่างมากในการโน้มน้าวให้ตาเฒ่าเฟิงเชื่อว่าเด็กหนุ่มที่เห็นตรงหน้านี้ยังไม่ตาย
ส่วนเหตุผลว่าเพราะอะไรนั้น จี้จิ่วอาวุโสไม่ได้อธิบาย ตาเฒ่าเฟิงเองก็ไม่ถามต่อ
อายุปูนนี้แล้ว ผ่านอะไรมาตั้งมากมาย เรื่องบางอย่างเก็บได้ก็เก็บ ซักไซ้ไปก็เสียความเปล่าๆ
ทั้งคู่ต่างรู้อยู่แก่ใจ
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยถาม “ทายาทคนนี้เป็นอย่างไร พอใจไหม”
“พอใจ พอใจสิ” ตาเฒ่าเฟิงยิ้มไม่หุบ
ตอนนั้นเขาเองก็ถูกใจเด็กคนนี้ หากไม่ใช่เพราะจี้จิ่วได้เข้ารับตำแหน่งที่หอสุ่ยโหลวเสียก่อน เขาคงได้ลูกศิษย์คนนี้มาไว้ครอบครองตั้งนานแล้ว
เรื่องที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตของเขา คงหนีไม่พ้นการไม่มีลูกศิษย์ถูกใจสักคนมาอยู่ในความดูแล
คราวนี้เขาจะได้สมหวังเสียที
ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เซียวลิ่วหลังจึงทำพิธีเคารพครูและขอเป็นศิษย์โดยมีจี้จิ่วอาวุโสเป็นผู้กำกับ
ร่างกายของตาเฒ่าเฟิงตั้งแต่คอลงไปเริ่มใช้การไม่ได้ ทานอาหารลำบาก จี้จิ่วอาวุโสจึงให้เขาเอาปากแตะถ้วยชาเป็นพิธีสำหรับขั้นตอนการดื่มชาของศิษย์
นับจากนี้ เซียวลิ่วหลังก็ได้เป็นทายาทของตาเฒ่าเฟิง
ตาเฒ่าเฟิงวานให้ภรรยานำสมบัติของเขาทั้งหมดขนไปไว้ในในรถม้าของจี้จิ่ว
จี้จิ่วอาวุโสเห็นว่านางย้ายของออกไปหมดเลยจนห้องโล่ง เลยเกิดไม่สบายใจ “นี่…พี่สะใภ้ ไม่เหลือเก็บไว้บ้างรึ”
ฮูหยินของตาเฒ่าเฟิงโบกมืกปัด พลางเอ่ย “เอาไปให้หมดเถอะ ข้าไหว้ล่ะ ของพวกนี้ทำเอาข้าเหนื่อยมาทั้งชีวิต ข้าไม่อยากเก็บไว้แล้ว!”
“ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมได้ ไว้วันหลังข้าจะมาเยี่ยมพี่สะใภ้อีกนะ” จี้จิ่วยื่นมือคำนับ
เซียวลิ่วหลังก็ทำความเคารพให้นางเช่นกัน
และในคืนนั้นเอง ตาเฒ่าเฟิงก็ได้จากโลกนี้ไป
เขาจากไปอย่างสงบนิ่ง ไม่มีเรื่องอะไรให้คาใจอีกแล้ว