บทที่ 175.2 จอมวางแผน (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

จี้จิ่วอาวุโสรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก จนถึงขั้นมานั่งทบทวนชีวิตของตัวเองว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วเช่นกัน

หากไม่ใช่เพราะบุญคุณของผู้มีพระคุณที่เคยช่วยเขาไว้ ป่านนี้คงได้ตายอยู่บนเขาลูกนั้นไปนานแล้ว

เทพบนสวรรค์ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อเพื่ออะไรกันนะ

จี้จิ่วอาวุโสขมวดคิ้วพลางมองขึ้นไปบนฟ้า ครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิต

หญิงชราเดินถือมีดเตรียมจะขู่รีดไถเงิน แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด จี้จิ่วอาวุโสก็ยัดถุงเงินให้อย่างง่ายดาย

“กินยาผิดขนานมารึ” หญิงชราทำหน้างง

จี้จิ่วอาวุโสยังคงเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่สนใจหญิงชราที่ยืนข้างๆ พลางเอ่ย “จวงจิ่นเซ่อ เจ้าว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องตายเหมือนๆ กันหมดอยู่ดี”

จวง จิ่น เซ่อ รึ

ช่างเป็นชื่อที่คุ้นหูนัก

หญิงชราเองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าตามเขา

ราวกับว่าบนนนั้นกำลังมีใครสักคนเอ่ยเรียกนางอยู่จากแดนไกล

จู่ๆ หญิงชราก็นิ่งไป และเริ่มตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ยิ่งคิด ก็ยิ่งว้าวุ่น

แต่ไม่นาน ก็หันมาสนใจถุงเงินที่เพิ่งได้จากจี้จิ่วอาวุโส กลายเป็นว่าว้าวุ่นกว่าเดิมเข้าไปใหญ่ “นี่ เจ้าแซ่ฮั่ว! คิดว่ามาทำตัวลีลาอยู่ตรงนี้แล้วจะตีเนียนให้เงินอันน้อยนิดกับข้าได้งั้นรึ เงินแค่ไม่กี่สลึง จะเอาไปทำอะไรได้ ไหน ยังมีเงินซ่อนอยู่อีกเท่าไหร่ เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

จิ่วเฒ่านึกในใจ แหม นึกว่าจะแนบเนียนได้เสียอีก

หลังจากไถเงินเสร็จ หญิงชราก็กลับไปที่เรือนด้วยความสบายใจ

ที่จี้จิ่วอาวุโสคิดหลอกให้เงินน้อยกับหญิงชราจริงๆ เช่นเดียวกับเรื่องที่เขาถามถึงความหมายของชีวิต

เขาครุ่นคิดอย่างหนัก

เพราะกลัวว่าวันใดวันหนึ่ง เขาจะจากไป เหมือนกับตาเฒ่าเฟิง

ของที่ตาเฒ่าเฟิงหวงแหนมากที่สุดก็คือมรดกของเขา

ในเมื่อตาเฒ่าเฟิงได้คนที่เหมาะสมแก่การสืบทอดมรดกมาแล้ว จึงจากไปได้อย่างสบายใจ

แต่จี้จิ่วไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เขายังมีห่วงอยู่

ห่วงของเขาคือคนคนๆ นั้น คนที่เขาเคยคิดว่าตายไปแล้ว

แต่ในวันนี้ อาเหิงของเขายังมีชีวิตอยู่ เขายังไม่อยากล้มและตายจาก

ไม่อยากให้อาเหิงอยู่เผชิญหน้าโลกอันแสนโหดร้ายนี้เพียงผู้เดียว

“อาเหิง อาจารย์คนนี้ทำอะไรให้เจ้าได้บ้าง”

วันที่สิบห้านับจากวันปีใหม่ กั๋วจื่อเจียนและโรงเรียนอื่นๆ เริ่มทยอยเปิดภาคเรียน สถานที่ราชการต่างๆ เองก็เช่นกัน

เริ่มต้นปีใหม่ บรรยากาศใหม่ๆ ได้เริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างพากันเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความเบิกบานเพื่อเป็นสิริมงคล

ไม่มีใครอยากเริ่มปีใหม่ด้วยบรรยากาศอึมครึมและเต็มไปด้วยความตึงเครียด

ณ จวนเจิ้ง รองเจิ้งกำลังจะออกจากเรือน

เขาได้รับข่าวจากราชครูจวงแต่เช้า ฝ่าบาทจะทำการแต่งตั้งองค์ชายใหญ่ให้เป็นหนิงอ๋อง และแต่งตั้งเขาให้เป็นจี้จิ่วคนใหม่ประจำกั๋วจื่อเจียนในวันที่มีการจัดพิธีประชุมแรกหลังปีใหม่

“ยินดีด้วยนายท่าน!” ผู้ดูแลจวนเอ่ย

รองเจิ้งวางท่าเย่อหยิ่ง พลางเอ่ย “มีอะไรน่ายินดีกันเชียว หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าคงได้เป็นจี้จิ่วไปตั้งนานแล้ว!”

“นายท่านพูดถูกขอรับ! แต่ตอนนี้ก็นับว่ายังไม่สายไปนี่ขอรับ!”

“ก็จริงของเจ้า”

รองเจิ้งทำหน้ายิ้มกริ่ม

สักพักนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม “รีดเสื้อเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

ผู้ดูแลรีบตอบ “เรียบร้อยแล้วขอรับ! เหลือก็แค่รอทางราชสำนักส่งป้ายมา แล้วข้าน้อยจะรีบปักให้ทันทีเลยขอรับ!”

ราชสำนักมีหน้าที่จัดส่งเครื่องแบบของกั๋วจื่อเจียนให้ แต่รองเจิ้งรอไม่ไหว จึงวานให้คนไปตัดเย็บให้ก่อนล่วงหน้า ที่เหลือก็แค่รอป้ายสัญลักษณ์ที่แสดงถึงยศตำแหน่งจี้จิ่วที่ทางราชสำนักยังไม่ส่งมาก็เท่านั้น

“ไหนเอามาให้ข้าดูหน่อยซิ!” รองเจิ้งเอ่ย

“ขอรับ!” ผู้ดูแลทำหน้ายิ้มระรื่นพลางหยิบชุดมาให้เขา

ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อได้เห็นชุด

ผู้ดูแลเอ่ย “นายท่านลองสวมดูก่อนไหมขอรับ”

รองเจิ้งกระแอม ก่อนเอ่ย “เอ่อ คือว่า ก็ได้กระมัง หากไม่พอดีตัวจะได้รีบเอาไปแก้ให้ทัน”

ผู้ดูแลหัวเราะ พลางเอ่ย “ตามนั้นขอรับ!”

ไม่รอช้า รองเจิ้งรีบเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบจี้จิ่วในทันใด และพยายามวางมาดให้ดูสมฐานะ “เป็นอย่างไรบ้าง”

ผู้ดูแลยกนิ้วโป้งให้เขา พร้อมกับเอ่ยอวยอย่างไม่หยุดหย่อน “เหมาะสม ช่างเหมาสมอะไรปานนี้! นายท่านพอสวมเครื่องแบบนี้แล้วดูภูมิฐานมากเลยขอรับ!”

รองเจิ้งยิ้มกริ่มด้วยความพึงพอใจ เดินไปหน้ากระจก หันซ้ายหันขวา สะบัดแขนเสื้อ แล้วหัวเราะ “จะขาดก็แต่ป้ายนี่ล่ะ!”

ผู้ดูแลเอ่ยหน้ายิ้ม “เดี๋ยวก็ได้มาแล้วนะขอรับ!”

เขาแทบไม่อยากจะถอดชุดนั้นออก แต่อีกไม่กี่วันเท่านั้น เขาก็จะได้สวมใส่ชุดนี้ทุกวันแล้ว!

แล้วก็ถึงวันที่รองเจิ้งเข้ามายังราชสำนัก

ท้องฟ้ายังคงมืด ประตูวังยังไม่ถูกเปิดออก เหล่าข้าราชบริพารและขุนนางต่างมายืนออกันหน้าประตู

พอพวกเขาเห็นรองเจิ้งเดินเข้า เสนาบดีกรมขุนนางเป็นคนแรกที่เข้ามาแสดงความยินดีกับเขาก่อน ตามมาด้วยเสนาบดีกรมพระคลังและหงหลูซื่อชิง รวมถึงคนอื่นๆ ต่างพากันเข้ามายินดีกับเขา

นั่นแปลว่า พวกเขาทราบข่าวแล้วว่าเขาจะได้ขึ้นเป็นจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจียนแล้ว

รองเจิ้งยิ้มหน้าบานรับคำอวยพรอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เขามิอาจทำตัวเป็นคนถ่อมตนได้อีกต่อไป

ยศของเขาในตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าขุนนางคนอื่นๆ แต่หลังจากนี้ พอเขาได้รับตำแหน่ง ยศของเขาก็จะขึ้นมาอยู่ในระดับเท่าๆ กันกับขุนนางเหล่านี้แล้ว

ไม่นาน ประตูวังก็ถูกเปิดออก

“ขอเชิญท่านรองเจิ้ง” ขุนนางนายหนึ่งเอ่ยเชื้อเชิญเขา

เขายิ้มน้อมรับ แล้วเดินไปตามทาง

พิธีประชุมครั้งแรกหลังปีใหม่จะต้องเต็มไปด้วยความเบิกบานและราบรื่นเหมือนดังปีที่ผ่านๆ มา

หัตถเลขาอ่านสาส์นกราบทูลฝ่าบาท ซึ่งเนื้อหาล้วนเป็นเรื่องคุณูปการของฝ่าบาท

ฝ่าบาททรงพอพระทัยอย่างมาก

แล้วก็เป็นไปตามข่าวที่ได้รับ ช่วงเริ่มต้นพิธี ฝ่าบาทได้เอ่ยถึงคุณความดีขององค์ชายใหญ่และแต่งตั้งให้เป็นหนิงอ๋อง และในไม่ช้าก็ถึงคราวของกั๋วจื่อเจียน

“ในเมื่อกั๋วจื่อเจียนได้กลับมาเปิดเรียนอีกครั้ง ย่อมมิอาจเว้นว่างตำแหน่งจี้จิ่วได้ แน่นอนว่าข้ามีคนในใจไว้อยู่แล้ว…” น้ำเสียงอันทรงพลังของฝ่าบาทสะท้อนไปทั่วทั้งตำหนักหลวง

รองเจิ้งยืดตัวขึ้นด้วยความดีใจ

วันที่รอคอย มาถึงแล้วสินะ!

ในที่สุด! ในที่สุด! ในที่สุด!

ท่าทีตื่นเต้นของเขาราวกับเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงาน รอให้เจ้าบ่าวปรากฏตัวยังไงยังงั้น!

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีขันทีนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามายื่นจดหมายให้ฝ่าบาท “ทูลฝ่าบาท! มีจดหมายถึงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!”

ปกติจดหมายจะไม่ถูกส่งเข้ามายังตำหนักหลวง เว้นเสียแต่ว่า จะเป็นเรื่องด่วน

หรือว่าจะเป็นรายงานฉุกเฉินจากชายแดนอย่างนั้นรึ

“ส่งมา” ฝ่าบาทเอ่ย

ขันทียื่นจดหมายให้

พอฝ่าบาทอ่านจบ ก็พลันลุกขึ้นจากพระที่นั่ง

ทุกคนในนั้นต่างพากันตกตะลึง เกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าชายแดนถูกโจมตีอีกแล้งว

วินาทีถัดมา ทุกคนได้ยินพระองค์ตรัสอย่างตื่นเต้น “จี้จิ่ว จี้จิ่วอาวุโสกลับเมืองหลวงแล้ว แถมยังเขียนจดหมายถึงข้า ถามว่าข้าสบายดีหรือไม่…”

รองเจิ้งได้แต่ตะโกนกรีดร้องในใจ

เขาไม่ได้กลับบ้านเกิดไปแล้วหรอกหรือ แล้วการที่เขาเขียนจดหมายเพื่อเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทในเวลานี้หมายความว่าอย่างไร

นี่เป็นจดหมายที่แสดงถึงความปรารถนาและห่วงใย คำและประโยคมีความเฉพาะเจาะจงมาก ใจความประมาณว่า ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้พบหน้าพระองค์มาหลายปีแล้ว ทรงสบายดีหรือไม่ ได้โปรดยกโทษให้กระหม่อมในความเอาแต่ใจของตนเอง กระหม่อมรู้สึกผิดยิ่งนัก ทุกๆ วันกระหม่อมยังคงนึกถึงความเมตตาที่พระองค์มีต่อกระหม่อม ในบัดนี้ กระหม่อมได้กลับมาแล้ว จึงขอทูลถามพระองค์ว่า ยังเชื่อใจกระหม่อมอยู่เหมือนเดิมหรือไม่

นี่เป็นการกลับมาทวงบัลลังก์กันชัดๆ !

ฝ่าบาททรงซาบซึ้งกับจดหมายฉบับนี้อย่างออกนอกหน้า จนเก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่ “ข้าขอเลื่อนพิธีแต่งตั้งตำแหน่งจี้จิ่ว แยกย้ายได้!”

รองเจิ้งรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า!

เจ้าคนชั่ว!