ตอนที่ 62-2 วันนี้ข้าเหนื่อยมาก

หลี่เว่ยหยางยิ้มและกล่าวว่า:

“พี่ชายใหญ่, นั่นคือกระเป๋าที่ท่านเคยพกติดตัวมิใช่หรือ?!”

สาวใช้ฆ่าตัวตายอย่างลึกลับ และร่างกายของนางเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทำร้าย โดยเฉพาะที่บริเวณแขนของนาง

และในตอนนี้กระเป๋าของคุณชายใหญ่หลุดร่วงออกมาจากร่างนั้น…

เมื่อเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้ว จึงทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

คุณชายใหญ่แห่งบ้านตระกูลหลี่นี้เป็นผู้ที่มิมีศีลธรรมอยู่ในหัวใจเสียจริง ๆ !

มิมีความเห็นเกี่ยวกับร่องรอยพกช้ำดำเขียวที่ปรากฏขึ้นบนร่างของศพนั้น!

คนเช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าให้บุตรสาวของตนเองแต่งงานกับเขา?

เขาจะก้าวขึ้นไปเพื่อมีอนาคตที่ดีได้อย่างไรกัน?

การจะเข้ารับราชการอย่างเป็นทางการในราชสำนักของเขานั้น จะทำให้ท่านอำมาตย์หลี่ต้องอับอายขายหน้าอย่างแน่นอน!

ใบหน้าของผู้เป็นบิดาเก็บงำความทุกข์เอาไว้ เขาอดกลั้นความโกรธเอาไว้เกือบทั้งหมด

การจ้องมองของเขาจับจ้องไปยัง

หลี่หมินเฟิงอย่างเคร่งเครียด ราวกับว่าความโกรธทั้งหมดเขากำลังจะปะทุขึ้นในมิช้า

คนรับใช้เหล่านั้นนำร่างไร้วิญญาณของจื่อหยานออกไป

จากนั้นการแสดงออกของทุกคนจึงได้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ยังคงมีคลื่นของความคิดอยู่ในใจของทุกคน

สายตาของพวกเขาที่มุ่งตรงไปยัง

หลี่หมินเฟิงดูแปลกมาก และมีความหวาดกลัวแอบแฝงอยู่อย่างเห็นได้ชัด

ในเวลานี้ฮูหยินหลูได้ร้องอุทานขึ้นมาในทันที:

“ซูเอ๋อ!”

และเมื่อทุกคนมองไป จึงเห็นสาวใช้เดินมาพร้อมกับคุณชายวัยแปดขวบ

ฮูหยินหลูรีบวิ่งเข้าไปกอดเด็กชายไว้ในอ้อมแขนของตนเอง และส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง

หลี่เสี่ยวหรันเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“เกิดอันใดขึ้น?”

สาวใช้กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า:

“บ่าวเห็นคุณชายเดินหลงทางอยู่ทางด้านโน้น และเมื่อสอบถามจึงทราบว่า คุณชายกำลังหาทางไปห้องน้ำอยู่…”

เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนจึงหัวเราะขึ้น แต่หลังจากประสบกับเรื่องเศร้าสลดเมื่อครู่นี้ เสียงหัวเราะนั้นก็ค่อนข้างคลุมเครือ

ณ จุดนี้ของงานเลี้ยงจะดำเนินต่อไปได้อย่างไร?

ทุกคนหันมาสนทนากันเพียงเล็กน้อยจากนั้นต่างคนก็ขอตัวลาและแยกย้ายกันกลับไปด้วยความสลดใจ

ทุกคนในบ้านตระกูลหลี่ยืนอยู่บริเวณด้านข้างประตู

ฮูหยินใหญ่และคนอื่น ๆ กำลังยิ้มกว้างเพื่อรอส่งแขกออกไป

แต่มีเพียงหลี่เว่ยหยางเท่านั้นที่อมยิ้มเล็กน้อย

เมื่อทั่วป๋าหยูเดินมา และหยุดยืนเคียงข้างนาง เขายิ้มและกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า:

“ทำได้ดีมาก”

ใบหน้าของหลี่เว่ยหยางสงบราวกับว่า ตนเองมิได้ยินเขากล่าวอันใด:

“ทูลลา องค์ชายเจ็ด”

นางรู้ว่า วันนี้ไม่ว่าทัวเป่าเจิ้นหรือ ทัวเป่าหยูจะมิมีผู้ใดเชื่อว่า หลี่หมินเฟิงเป็นผู้ที่มีความคิดชั่วร้าย

แต่มันมิสำคัญ แม้ว่าพวกเขาจะมิเชื่อก็ตาม

ข่าวลือนั้นร้ายเสียยิ่งกว่าเสือ!

พรุ่งนี้ทุกคนในเมืองจะได้รู้ว่า คำกล่าวและการกระทำของบุตรชายคนสำคัญของตระกูลหลี่นั้นเสียหายอย่างไรกับศีลธรรมที่พินาศ

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มิว่าจะเป็นอาชีพการงานของหลี่หมินเฟิงหรือชีวิตแต่งงานของเขามันก็พังพินาศไปแล้ว

นี่เป็นของขวัญตอบแทนที่เขาเคยพยายามใส่ร้ายนางก่อนหน้านี้

เมื่อมิมีคนนอกเหลืออยู่แล้ว

หลี่เสี่ยวหรันจึงได้ตบหน้าหลี่หมินเฟิง

อย่างแรง

มันแรงมากเสียจนทั้งร่างของเขาล้มลงกับพื้น และแม้แต่ฟันก็หลุดร่วงออกมา ขณะที่มีเลือดไหลเต็มปาก

ฮูหยินใหญ่เบิกตากว้างขณะที่รีบดึงร่างของเขาขึ้นมา:

“ท่านพี่ ท่านมิเห็นหรือว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้มีคนจงใจใส่ร้ายเขา?”

หลี่เสี่ยวหรันมิสนใจว่า มันจะเป็นการจัดฉากหรือไม่ เขารู้เพียงแค่ว่า วันนี้เขารู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว

คุณงามความดีและชื่อเสียงที่ตกทอดมาหลายศตวรรษของตระกูลหลี่ถูกบดขยี้ให้แหลกเหลวไปหมดแล้ว เมื่อตกทอดมาอยู่ในมือของหลี่หมินเฟิง;

เขาอดมิได้ที่จะร้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง:

“ใส่ร้าย! ผู้ใดใส่ร้ายเขา? แล้วเขาทำจริงหรือไม่!

หากเขาเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริงแล้วเขาไปยุ่งเกี่ยวกับสาวใช้ของน้องสาวตนเองด้วยเหตุใด!!”

ฮูหยินใหญ่มิสามารถอดกลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้ได้และกล่าวว่า

“นายท่าน เขาเป็นบุตรชายคนโตของเรา แล้วท่านจะมิเชื่อเขาได้อย่างไร…”

“เชื่อเขาหรือ! จะเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อได้เห็นทุกอย่างด้วยตาตนเอง!

เมื่อครู่ตอนที่แขกทั้งหมดอยู่ในงาน ข้ามิรู้ว่าจะเอาหน้าไปวางไว้ตรงไหนอยู่แล้ว

หรือจะกล่าวว่า ร่องรอยฟกช้ำเหล่านั้นเกิดจากการกระทำของสายลม!”

หลี่เสี่ยวหรันเตะหลี่หมินเฟิงอย่างแรงอีกครั้ง

ทันใดนั้นหลี่หมินเฟิงได้หันหน้าไปจ้องมองยังหลี่เว่ยหยางด้วยดวงตาสีแดงคล้ายเลือด:

“นังผู้หญิงสาระเลว! เจ้าคือผู้ที่ปลุกปั่นสาวใช้ผู้นั้น…”

หลี่เว่ยหยางมองไปที่หลี่เสี่ยวหรันและกล่าวด้วยความข้องใจว่า:

“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่โยนความผิดทุกอย่างให้กับข้าได้อย่างไร?”

ขณะนั้นหลี่เสี่ยวหรันกำลังตกอยู่ในความโกรธขั้นสูงสุด เขาจึงชี้ไปที่หลี่หมินเฟิงและกล่าวว่า:

“ผู้ใดอยู่ตรงนั้นรีบมาจับตัวนายน้อยไปคุมขังเอาไว้ในห้องโถงบรรพบุรุษ เพื่อสำนึกผิดเป็นเวลาร้อยวัน!”

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของฮูหยินใหญ่จึงเปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันที

ทันใดนั้นนางได้หันกลับมาจ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยางด้วยดวงตาที่ดุร้ายราวกับจะกัดกินนาง

แต่หลี่เว่ยหยางทำเป็นแค่ยิ้มเล็กน้อยและมองไปยังหลี่จางเล่อที่ยืนอยู่ในจุดเดียวกันโดยมิได้กล่าวอันใดออกมา:

ครู่หนึ่งต่อมาคุณหนูสาม ได้เอ่ยขึ้นมาว่า

“พี่ใหญ่ วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก ข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อน โปรดหลีกทางด้วย”

หลี่จางเล่อจ้องมองไปที่ดวงตาของหลี่เว่ยหยางราวกับว่า นางกำลังเห็นปีศาจคลานขึ้นมาจากนรก

จากนั้นจึงก้าวถอยหลังโดยมิรู้ตัว