บทที่ 168 อย่าบาดเจ็บอีกเลย ถือว่าข้าขอร้อง
เหยาเฉายื่นมือออกไปวางบนไหล่ของเด็กหนุ่มที่เตรียมป้องกันอย่างแข็งขัน ก่อนจะตบอย่างเบามือคล้ายกับปลอบประโลมพลางตอบกลับไปว่า “ข้าเอง หลี่ซัน?”
เสี่ยวเว่ยตะลึงงันไป ร่างกายที่หดเกร็งไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองชั่วขณะ
กระทั่งได้ยินเหยาเฉาเอ่ยถามว่า “มีเหล่าพี่น้องเฝ้าอยู่บริเวณประตูใหญ่งั้นหรือ? ว่าแต่เห็นร่องรอยของพวกโจรหนีออกไปบ้างหรือไม่?”
หลี่ซันตอบกลับอย่างซื่อตรง “พี่ใหญ่จางเพ่ยนำเรามาทั้งหมดหกคน แต่ก็ยังไม่เห็นพวกโจรเลยสักคน เมื่อครู่พี่ใหญ่จางเห็นว่าด้านนี้มีคน ก็เลยให้ข้ามาดู… ว่าแต่ข้างกายพี่รองท่านนี้คือ?”
มือของเหยาเฉาพลิกมาคว้ามือขวาที่ถือกริชแน่นของเสี่ยวเว่ยไว้ พลางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “อย่าเพิ่งกังวลไป คนของเราเอง เก็บมีดก่อนเถอะ”
เสี่ยวเว่ยรู้นานแล้ว จึงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
เขาน่าจะคิดได้ ในเมื่อคนของจวนตรวจการผ่านประตูใหญ่ค่ายลับมาแล้ว ย่อมต้องจัดการโจรภูเขาที่อยู่ที่นี่หมดสิ้น
เช่นนั้นการกระทำอย่างต่อเนื่องเมื่อครู่เล่า เหตุใดเขาถึงให้พี่รองหนีไปก่อนแล้วทิ้งตัวเองไว้…คงไม่ได้จะล้อเล่นทั้งหมดหรอกนะ!
เหยาเฉารู้ก่อนแล้วว่าเด็กหนุ่มนั้นหน้าบาง จึงได้แต่ยิ้มไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำได้แค่วางมือบนบ่าของเด็กหนุ่มที่ไม่ยอมขยับ จากนั้นก็พาเขาเดินไปยังทิศทางของผู้มาเยือน พลางแนะนำตัวว่า “นี่คือสหายคนหนึ่งของข้า ช่วยเราไว้ไม่น้อย โชคดีที่มีเขา ทุกอย่างในวันนี้ถึงได้ราบรื่นเพียงนี้”
เมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้ว หลี่ซันจึงได้เห็นสภาพของทั้งสองคนอย่างชัดเจน
เหยาเฉาไม่ต้องเอ่ยถึง การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสตรีของเขานั้นคล้ายสตรีมากจนน่าตกใจ ส่วนเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเหยาเฉาก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ใบหน้าด้านข้างยังเต็มไปด้วยรอยเลือดขนาดใหญ่รอยหนึ่ง
เนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าของทั้งสองคนตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ครั้นหลี่ซันเห็นเด็กหนุ่มจึงไม่พูดสิ่งใดแต่ก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “สหายน้อยได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่? เร็ว มาคุยกันด้านหน้าก่อน….”
เสี่ยวเว่ยปฏิเสธด้วยสีหน้าเย็นชา “คนที่ได้รับบาดเจ็บคือเขา ไม่ใช่ข้า”
ขณะพูดเขาก็ขยับไหล่ซ้ายสะบัดมือของเหยาเฉาออก จากนั้นก็เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะลงเขาแล้ว เจ้าก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน”
เมื่อเห็นเขาทำท่าจะจากไปเหยาเฉาก็รีบกระชากแขนของเสี่ยวเว่ยไว้ “จะไปไหน? ไหนบอกให้ข้าลงเขาไปพร้อมเจ้าไม่ใช่หรือ? บนเอวของข้ายังมีบาดแผลใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีเจ้า ข้าจะไปเองได้อย่างไร?”
หลี่ซันดูทึ่มทื่อไปในทันที เขาไม่ได้สังเกตเห็นความขัดแย้งของทั้งสองคน กลับพูดอย่างตื่นตกใจว่า “พี่รองบาดเจ็บหรือ? ร้ายแรงหรือไม่?”
หลี่ซันเพิ่งเห็นว่ามีเศษผ้าสีแดงพันอยู่รอบเอวของเหยาเฉา สุดท้ายก็หาสาเหตุของชายกระโปรงที่ขาดรุ่งริ่งของเขาได้ในที่สุด
เสี่ยวเว่ยหันไปมองเหยาเฉาราวกับกำลังสงสัยและรอคำตอบจากเขา
เมื่อเห็นชายหนุ่มมีสีหน้าปกติแม้แต่เสียงก็ยังดูไม่ร้อนใจแต่อย่างใด “มีแผลบนเอวจริง แต่ไม่ได้ร้ายแรง แค่ต่อไปไม่สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าสหายได้”
หลี่ซันรีบโบกมือพัลวัน “ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ปัญหาเลย! พี่รองต้องรีบไปหาหมอนี่สิถึงจะเรื่องสำคัญ… บนภูเขามีม้าอยู่สองสามตัว สู้ขี่ม้าลงเขาไม่ดีกว่าหรือ?”
เสี่ยวเว่ยที่ไม่ยอมพูดออกมาตลอดกลับพูดอย่างโกรธเคือง “เอวของเขาบาดเจ็บอยู่ แล้วจะขี่ม้าอย่างไร?! แค่นี้แผลยังปริไม่พออีกหรือ?”
หลี่ซันเกาศีรษะด้วยความอึดอัดใจ เมื่อเหยาเฉาเห็นเสี่ยวเว่ยเป็นเช่นนี้จึงรู้ทันทีว่าในใจของเขาไม่ได้ไม่สบอารมณ์มากเพียงนั้น
เหยาเฉาจึงหลุดหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดกับหลี่ซันว่า “เขาก็มีนิสัยเช่นนี้แหละ สหายหลี่ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”
เหยาเฉาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ายลับให้ฟังอย่างละเอียดหนึ่งรอบ หลี่ซันจึงได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก
เมื่อคำนึงถึงอาการบาดเจ็บของเหยาเฉาเป็นหลัก หลี่ซันจึงไม่พูดมากความ แค่พาทั้งสองคนออกจากประตูค่ายไป ทั้งยังกำชับให้เดินทางอย่างระมัดระวัง ให้พวกเขารีบลงเขาโดยเร็วที่สุด
เมื่อหลี่ซันกลับเข้ามาในค่ายลับ ก็ได้ยินจางเพ่ยเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า “เมื่อครู่คนที่แต่งกายด้วยชุดแต่งงานสีแดง คือพี่รองหรือ?”
ชายรูปร่างล่ำสันเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ เป็นพี่รอง และก็สหายของเขาอีกคน…”
จางเพ่ยถึงกับตีอกชกหัว และพูดด้วยความเสียใจว่า “พี่รองแต่งตัวเป็นสตรี! จะมีสหายอย่างเราสักกี่คนที่จะได้มีโอกาสเห็นของดีเช่นนี้! เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้เขาเข้ามานั่งก่อนเล่า?!”
หลี่ซันเป็นคนกระทำการอย่างตรงไปตรงมา จึงถลึงตาใส่อีกฝ่าย “พี่รองมีบาดแผลที่เอว ต้องรีบลงเขาไปหาหมอโดยเร็ว! อย่าคิดจะแต่จะเล่นสนุกเชียว อีกอย่างพี่รองแต่งกายเป็นสตรี ก็เพื่อให้เหล่าสหายของเราขึ้นเขาได้อย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เราจัดการกับโจรภูเขาโดยไร้อันตรายใด ๆ แต่พี่รองกลับได้รับบาดเจ็บแทนเสียนี่!”
จางเพ่ยตื่นตกใจก่อนพูดขึ้นด้วยความกังวลว่า “บุรุษจะบาดเจ็บที่เอวไม่ได้ แบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ? อาการบาดเจ็บหนักหรือไม่?”
“พี่ใหญ่จาง พี่อย่าเพิ่งถามเลย ข้าเองก็ไม่รู้” หลี่ซันส่ายหน้าขมวดคิ้วพลางพูดอย่างจริงจังว่า “เมื่อครู่พี่รองยังเป็นห่วงเราด้วย ตอนนี้หัวหน้าโจรภูเขาทั้งสองคนถูกฆ่าตายแล้ว พี่ใหญ่หลินกำลังพาเหล่าสหายของเราเข้าไปกวาดล้างโจรให้สิ้นซาก! เราจะต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด อย่าหละหลวมเรื่องการระแวดระวังก็พอ”
หลี่ซันละอายใจต่อเรื่องที่เหยาเฉาได้รับบาดเจ็บอย่างมาก คิดว่าอาการบาดเจ็บน่าจะไม่เบาเลย มิเช่นนั้นคงไม่มีทางรีบลงเขาเป็นแน่ แต่กลับไม่รู้เหตุผลว่าทำไมอีกคนถึงเปลี่ยนความคิดตัดสินใจทำเช่นนั้น
ด้านหนึ่งเหยาเฉาไม่อยากให้ทุกคนเข้ามามุงดูตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่อยากทำผิดต่อเจตนารมณ์ที่ดีของเสี่ยวเว่ย
เวลานี้เหยาเฉาถูกเขาพยุงแขนไว้ ค่อย ๆ เดินลงไปทีละก้าว
เดิมทีเด็กหนุ่มมักจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวหรือไม่ก็เก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แต่ตอนนี้กลับใช้มือข้างหนึ่งกดบาดแผลบนเอวของเหยาเฉาไว้ พยายามข่มอารมณ์และพูดว่า “ก็ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าอวดเก่ง เห็น ๆ อยู่ว่าบาดแผลปริหมดแล้ว ทำไมไม่บอกข้า? ถ้าไม่ใช่ว่าข้าเห็นเอง เจ้าก็ตั้งใจจะลงเขาไปทั้งที่เลือดไหลไปตลอดทางใช่หรือไม่?”
โลหิตสดร้อนผ่าวบนฝ่ามือของเขาได้ทะลักออกมาด้านนอก จากนั้นก็ถูกอุณหภูมิจากลมภูเขาเปลี่ยนเป็นของเหลวที่เหนียวหนืดและเย็นชืดอย่างรวดเร็ว
เหยาเฉาเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ใช่ปัญหา ก็แค่เลือดไหลเล็กน้อย”
ทั้งสองคนเดินมาถึงป่าทึบบริเวณตีนเขาของภูเขาเฮยหู่แล้ว แม้ว่าจะลงเขามาแล้วแต่กลับยังห่างจากเมืองอีกระยะหนึ่ง
เสี่ยวเว่ยพบว่าอาการบาดเจ็บของเหยาเฉาไม่อาจให้เขาออกแรงเดินมากนักได้ เขาจึงพยายามพยุงชายที่มีรูปร่างสูงกว่าตัวเองครึ่งศีรษะ ส่งผลให้หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่ออย่างรวดเร็ว
เขาในตอนนี้กลับไม่สนใจเรื่องความยากลำบาก แค่กัดริมฝีปากล่างและพูดอย่างเสียใจว่า “ต้องโทษที่ข้าคิดเรื่องไม่รอบคอบ….รู้แค่ว่าขี่ม้าลงเขามันสะเทือนบาดแผล แต่กลับไม่คิดว่าลงเขาแล้วยังต้องเดินในเส้นทางที่ไกลถึงเพียงนี้! รู้เช่นนี้พาม้ามาสักตัวก็ดี ไม่ถึงขนาดให้ท่านที่บาดเจ็บเช่นนี้ต้องมาลำบาก”
เหยาเฉาไม่รู้ว่าตัวเองมีเลือดออกมากแค่ไหน รู้แค่ว่ายิ่งตัวเองออกแรงมากแค่ไหนก็ยิ่งเสียเลือดมากขึ้นเท่านั้น ร่างกายเริ่มเย็นลงอย่างช้า ๆ เหลือเรี่ยวแรงอีกไม่มากแล้ว
แต่เขายังคงปลอบประโลมเด็กหนุ่มว่า “จะโทษเจ้าได้อย่างไร? เป็นข้าเสียเองที่บาดเจ็บแล้วเป็นตัวถ่วงเจ้า”
เสี่ยวเว่ยอยากพูดบางอย่าง แต่กลับถูกเหยาเฉาหัวเราะตัดบทไปเสียก่อน “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ปลอดภัยแล้วเราค่อย ๆ เดินเข้าเมืองก็ได้”
เขาพูดเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เสี่ยวเว่ยรู้สึกหนักใจ จากนั้นก็ตอบกลับด้วยการสรรหาคำอื่นมาพูดแก้เก้อ
แต่เมื่อทุกสิ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงของเหยาเฉาที่เริ่มเบาลงนั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มร้อนใจ
เขาเอ่ยปากถามขึ้นว่า “ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะพาข้าไปเปิดหูเปิดตาในเมืองไม่ใช่หรือ? สู้มาคิดกันในตอนนี้ดีกว่าว่าจะพาข้าไปที่ใดบ้าง ในที่ที่เหมือนกับเมืองชิงถง ข้ายังไม่เคยไปเลย”
เหยาเฉาหลับตาลงแล้ว แต่ก็พลันได้สติกลับมา “จะมีที่ไหนให้เปิดหูเปิดตาได้อีกเล่า เรื่องปราบโจรที่ว่าเสี่ยงอันตรายในวันนี้เจ้าก็ทำมาแล้ว มากกว่าโลกที่คนส่วนมากเห็นเสียอีก”
เสี่ยวเว่ยจับแขนของเหยาเฉา ในใจก็พลันเจ็บแปลบขึ้นมา
แขนของพี่รองล้วนแข็งแรงมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับตกแนบข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง แม้แต่อุณหภูมิก็เย็นลงอย่างน่าหวาดหวั่น ตอนนี้เพียงแค่ลูบสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความเย็น
มีเพียงแค่หน้าอกของเขาที่ยังร้อนผ่าว
เขาข่มความกลัวและร้อนใจไว้ ประคองร่างกายที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ของเหยาเฉา พลางฝืนยิ้มและพูดกับเขาว่า “ไม่ได้สิ รับปากผู้อื่นแล้ว จะกลับคำหรืออย่างไร?”
เหยาเฉารู้สึกว่าเสียงของเสี่ยวเว่ยค่อย ๆ ไกลออกไปเรื่อย ๆ เขาตอบสนองอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย จึงตอบกลับไปว่า “ไม่ได้กลับคำ…”
ในระหว่างที่พูดนั้นเขาก็ยังคงยิ้มออกมา “รับปากใครไว้ยังเปลี่ยนใจได้ มีเพียงแค่เจ้าที่ทำไม่ได้ นิสัยของเจ้าไม่โวยวายจนรู้กันทั้งเมืองก่อกวนจนพาลเดือดร้อนกันทั้งหมดเลยหรือ?”
ในที่สุดเสียงของเหยาเฉาก็ยิ่งเบาลง สุดท้ายก็แทบไม่ได้ยิน
หัวใจของเสี่ยวเว่ยเต้นเร็วรัวขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับว่ามีฝ่ามือที่ไร้รูปลักษณ์ข้างหนึ่ง บีบหัวใจของเขาไว้อย่างแรง ทำให้เขาลืมแม้กระทั่งการหายใจ
“พี่รอง ท่านรับปากข้าแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ใช่หรือไม่?”
อีกฝ่ายไม่ตอบกลับ
เสียงของเสี่ยวเว่ยเริ่มสั่นเครือ จากนั้นถามต่ออย่างไม่หยุดยั้ง “เหตุใดตอนนี้ท่านถึงไม่พูดล่ะ? ตั้งใจจะเปลี่ยนใจใช่ไหม? ข้าเคยบอกท่านไว้แล้วว่าไม่ได้! เรื่องที่ท่านรับปากข้าแล้ว ข้าจำได้อย่างชัดเจน! เหตุใดท่านถึงยังไม่พูดอีกเล่า?”
สายลมยามราตรีเย็นยะเยือก แต่เขาไม่รู้สึกถึงสิ่งใด เส้นทางกลับบ้านเหตุใดถึงได้ยาวเพียงนี้
ฝ่ามือของเด็กหนุ่มที่กดอยู่บนเอวของเหยาเฉาเริ่มหนืดเหนียว เลือดสดที่ไหลออกมาตามง่ามนิ้วเป็นครั้งคราว หยดลงบนดินโคลน ไม่นานเหยาเฉาก็หมดเรี่ยวแรง น้ำหนักทั้งหมดได้ทิ้งลงมาบนตัวของเสี่ยวเว่ยจนไม่สามารถเคลื่อนไหวต่อไปได้
บนเส้นทางที่มองไม่เห็นปลายอุโมงค์ ความว่างเปล่าท่ามกลางความมืดมิด เฉกเช่นเดียวกับหัวใจที่เย็นยะเยือกอย่างฉับพลันของเขา
“ท่านพูดออกมาสิ! แม้ว่าท่านคิดจะเปลี่ยนใจ ก็ต้องบอกข้า!”
ในสมองของเขาเริ่มดำดิ่งสู่ความสับสน ฝีเท้ากลับเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยเสียงสะอื้น “ข้ารู้ว่าท่านชอบหลอกลวงข้า มาพูดว่าแผลไม่ใหญ่ เลือดไม่ออก…ไม่เชื่อเจ้าหันกลับไปดูบนถนนสิ มีเลือดของตัวเองมากน้อยแค่ไหน?”
“อย่าบาดเจ็บอีกเลย ถือว่าข้าขอร้องได้หรือไม่?”
คนที่ที่อิงแอบอยู่บนไหล่ไม่มีการตอบสนองตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แต่ลมหายใจที่รวยรินและเสียงชีพจรที่แผ่วเบาของเขา ล้วนเหมือนกับกำลังเตือนสติเด็กหนุ่มให้เร่งฝีเท้ามากขึ้น
เท่าที่จำความได้ เสี่ยวเว่ยร้องไห้น้อยครั้ง ทว่าท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป
“รู้เช่นนี้ข้าน่าจะทิ้งท่านไว้บนเขาดีกว่า อย่างน้อยก็ให้คนเหล่านั้นแบกท่านลงมา…”
“ท่านตื่นสิ ท่านต้องรอดเข้าใจหรือไม่? ข้าได้ยินท่านนะ ยังหอบอยู่เลย อย่ามาหลอกลวงเสียให้ยาก!”
น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นได้ แม้แต่ในวันที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเขา เสี่ยวเว่ยยังไม่เคยน้ำตาไหลเช่นนี้ ตอนนี้แม้แต่เรี่ยวแรงในการกลั้นน้ำตาเขาก็ยังไม่มีเลยแม้แต่น้อย
“ฮือ…ต้องโทษข้าที่ไม่ได้เรื่อง? เป็นความผิดของข้าเอง ท่านอย่าใส่ใจสิ พี่รอง ท่านตื่นมาพูดกับข้าก่อน!”
คนที่อิงแอบบนไหล่ที่เดิมทีไม่มีการตอบสนองก็พลันขยับตัว เสียงแหบพร่าได้โพล่งคำสองคำที่ดูเลือนรางออกมา “เอ้อหลาง…”
เสี่ยวเว่ยดีใจทันที จากนั้นก็นิ่งอึ้ง รีบเร่งถามเขา “ว่าไงนะ? พี่รองเจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
อีกฝ่ายเหมือนแค่พักผ่อนไปชั่วขณะเท่านั้น ตอนนี้มีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครั้ง ผ่อนปรนเรี่ยวแรงที่กดอยู่บนตัวของเสี่ยวเว่ยไว้ พยายามดึงสติและพูดว่า “ข้าบอกว่าเจ้าเหมือนลูกชายของข้า ร้องไห้ขี้แยเหมือนกันไม่มีผิด ชื่อเล่นของเขานามว่าเอ้อหลาง”
ตอนนี้เอง เสี่ยวเว่ยไม่สนใจการพร่ำเรื่องไร้สาระของเหยาเฉาอีกแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องที่อีกฝ่ายเห็นเขาเป็นลูกชายของตนเองเลย จะเป็นลูกสาว หลานชาย หลานสาว เขาก็ดีใจทั้งนั้นแหละ
เขาพยายามช่วยเหยาเฉาพูด เขารัวคำถามอย่างไม่หยุดยั้ง “ลูกชายของเจ้าโตแค่ไหนแล้ว? ชื่อเต็มว่าอะไร? ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว? เขาขี้แยมากไหม?”
ความจริงแล้วเหยาเฉาได้ยินเสียงของเสี่ยวเว่ยมาตลอด เพียงแต่เนื่องจากเสียเลือดมากเกินไป เขาจึงไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดเท่านั้น แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กหนุ่มจึงต้องเปล่งเสียงพูดออกมา
แต่ระหว่างที่รัวคำถามนี้ เขาได้ยินหมดทุกคำถาม แต่แม้แต่ความหมายก็ยังไม่เข้าใจ ทำได้แค่ตอบคำถามสุดท้าย “นิสัยของเขาดื้อรั้นมาก เหมือนกับเจ้า ไม่ชอบร้องไห้”
เสี่ยวเว่ยน้ำตาไหลพราก แต่กลับหัวเราะออกมา “ลูกชายของพี่รองไม่มีทางเหมือนข้า ความสามารถในวันข้างหน้าของเขา จะต้องมากกว่าข้าเป็นแน่!”
พวกเขาถามตอบไปตลอดทาง กระทั่งคำถามที่สี่ถึงห้าของเสี่ยวเว่ย เหยาเฉาเลือกตอบคำถามที่เข้าใจ ทว่าบางครั้งพูดอะไรไปก็ไม่ตรงคำถาม เด็กหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจ
จนกระทั่งเขาเห็นประตูใหญ่เมืองชิงถง สภาพจิตใจที่พยายามถ่วงรั้งมาตลอดก็ค่อย ๆ หล่นวูบลงอย่างเงียบ ๆ …
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ๊าาา ม่ายยยย พี่เฉาต้องรอดน้า แงๆๆๆ
ไหหม่า(海馬)