บทที่ 169 เจ้ายังไม่ปล่อยข้าอีกหรือ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 169 เจ้ายังไม่ปล่อยข้าอีกหรือ?

เหยาเฉารู้สึกว่าราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ในความฝันเขากำลังเดินอยู่บนหิมะที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งภูเขาน้ำแข็ง หิมะมหาศาลที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าทำให้ยากต่อการก้าวเดิน แต่ในอ้อมแขนกลับเหมือนแบกเตาเนื้อ เปลวไฟที่พลิ้วไหวได้แผดเผาอยู่บนทรวงอกของเขาตลอดเวลา

จนกระทั่งร่างกายค่อย ๆ เย็นลง ทุ่งหิมะที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มองไม่เห็นแม้แต่ศีรษะของคน แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของคน ๆ หนึ่งได้พูดกับเขาว่า ‘เอาล่ะ ถึงบ้านแล้ว’ เขาจึงได้เข้าไปนอนอย่างสบายใจ

เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงอย่างปลอดภัย เพียงแต่เมื่อขยับตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็อดรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณเอวไม่ได้

“ซี๊ด” เขาพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้นเสียงของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายก็ดังขึ้น “พี่รองเหยา ท่านฟื้นแล้ว!”

เหยาเฉาตะลึงงันไปชั่วขณะ กระทั่งเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นจึงได้นึกออก “สหายน้อยอวี๋จือ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร…?”

แต่กลับเห็นบัณฑิตน้อยที่กำลังรินน้ำชาให้เขาอย่างคล่องแคล่ว เมื่อยัดมันใส่มือของเหยาเฉา ชานั้นยังคงอุ่น ๆ อยู่เสียด้วยซ้ำ

เขานั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กพลางเอ่ยว่า “เมื่อคืนจู่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตู เมื่อข้าออกไปดูจึงเห็นว่าเป็นพี่รองเหยาถูกแบกกลับมาในสภาพเลือดอาบ”

เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เหยาเฉาจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แค่ตั้งใจฟังอวี๋จือเล่าอย่างเงียบ ๆ

โชคดีที่เป็นบัณฑิตจึงเข้าใจเหตุผลต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่นานก็เล่าเรื่องทั้งหมดได้อย่างเข้าใจ “คนผู้นั้นวางพี่รองไว้ จากนั้นก็วิ่งไปตามหมอทันที ไม่นานเขาก็พาหมอมา จากนั้นก็เริ่มใส่ยาให้ท่าน แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นไม่สะดวกนัก จึงทำได้แค่ฉีกเสื้อผ้าเดิมของท่านออก…”

ในขณะที่พูดนั้นอวี๋จือก็มองไปยังเหยาเฉาแวบหนึ่ง ครั้นเห็นสีหน้าก็ยากที่จะเอ่ยปาก

เหยาเฉากำลังครุ่นคิด แล้วก็เข้าใจได้ในที่สุด… อวี๋จือถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงทุบประตูกลางดึก กระทั่งเห็นเขาที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดกำลังสลบไสลไม่ยอมตื่น ประกอบกับการแต่งหญิงทั้งตัว แค่กลัวว่าจะอดกลั้นความสงสัยโดยไม่ถามไม่ได้

แต่บัณฑิตน้อยยังคงรักษามารยาท เรื่องที่ตนไม่ควรรู้ เขาได้แต่เกาหูเกาแก้มด้วยความอยากรู้แต่ก็ไม่เคยเอ่ยถาม

เหยาเฉาไม่เห็นแม้แต่เงาของเสี่ยวเว่ยจึงเอ่ยถามขึ้นมา “คนที่พาข้ามาส่ง เขาไปไหนแล้ว?”

อวี๋จือลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เล่าเรื่องที่ตัวเองเห็นทั้งหมดออกมา “เขา… เขาเรียกหมอมาถึงเห็นท่านไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าเตียงของท่านยกใหญ่ พร่ำโทษตัวเองว่าทำร้ายพี่รอง…ไม่ควรเอาแต่ใจตัวเองพาท่านลงเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาดึงดันจะพาท่านลงมา พี่รองก็คงไม่ต้องจบชีวิตลงเช่นนี้”

ร่างกายของเหยาเฉาถูกปกคลุมด้วยผ้าห่ม ในมือถือจอกชา และเฝ้าดูอวี๋จือที่แสดงสีหน้าจริงจัง รู้สึกราวกับว่ามันเป็นเรื่องโกหก

เสี่ยวเว่ยเป็นคนที่ดึ้อรั้นมากขนาดนั้น จะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีทาง เขาจบชีวิตลงตอนไหนไม่ทราบ?

กระทั่งได้ยินบัณฑิตเอ่ยต่อว่า “ท่านหมอเบื่อหน่ายกับการร้องไห้ของเขา แต่ก็ไม่กล้าพูดแทรก…จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานจึงได้พูดว่าบาดแผลบนร่างกายของพี่รองยังไม่ถึงจุดสำคัญ แค่เสียเลือดมากและสลบไปเท่านั้น สหายน้อยผู้นั้นจึงคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายมาถามย้ำอยู่หลายครั้งหลายครา เมื่อมั่นใจว่าท่านไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต จึงได้หยุดร้องไห้”

เหยาเฉาถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและถามว่า “แล้วคนผู้นั้นเล่า? คงไม่ได้กลัวว่าจะเสียหน้า เลยหลบออกไปหรอกนะ?”

อวี๋จือรีบโบกไม้โบกมือทันที นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวอย่างไม่อาจปิดบัง “ที่ไหนกันเล่า! สหายน้อยเปลี่ยนยาให้ท่าน และยังเช็ดคราบเลือดเอยดินโคลนเอยบนตัวท่านจนสะอาด เฝ้าอยู่เป็นครึ่งค่อนคืน เมื่อฟ้าสางได้ไม่นานก็ออกไป บอกว่าจะไปหมู่บ้านตระกูลเหยา!”

เหยาเฉาตะลึงงัน “เขาไปหมู่บ้านตระกูลเหยาทำไม?”

อวี๋จือเห็นเขาดื่มน้ำที่อยู่ในมือหมดแล้ว จึงหมุนตัวไปรินน้ำต่อจนเต็ม จากนั้นก็ยื่นมันให้เหยาเฉา พลางตอบกลับว่า “สหายน้อยบอกว่าจะไปรับลูกชายแทนท่าน”

เหยาเฉาปวดเศียรเวียนเกล้าในทันใด “แบบนี้ เรื่องบาดเจ็บของข้าก็ปิดบังไว้ไม่ได้แล้วสินะ?”

อวี๋จือเอ่ยโน้มน้าว “พี่รอง หากให้ข้าพูด ข้าว่าคนในครอบครัวมาก็ดีเหมือนกัน เมื่อวานท่านบาดเจ็บกลับมา แม้แต่ข้าก็ยังตกใจ ถ้าภรรยาของท่านได้ยินเข้า ไม่แน่อาจจะเป็นกังวลจนไม่เป็นทำอะไรก็ได้”

เหยาเฉาเสียเลือดมาก ใบหน้าจึงซีดเซียวไร้เลือดฝาด ทำให้เขาที่นั่งอยู่นานเริ่มรู้สึกเวียนศีรษะไม่น้อย

เมื่ออวี๋จือเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้น “ท่านหมอบอกว่าวันนี้ท่านต้องพักผ่อนมาก ๆ พี่รองเหยานอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ! ตอนนี้ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ข้าจะไปเรียกแม่นางเหยา”

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เขายังเฝ้าตนเองได้นานขนาดนี้ เหยาเฉาจึงเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจว่า “ขอบใจสหายอวี๋ที่ดูแลข้า ลำบากเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน”

อวี๋จือรีบโบกมือพัลวัน “ไม่ใช่เรื่องใหญ่! ทั้งหมดเป็นเพราะสหายน้อยผู้นั้นยุ่งจนแทบไม่ได้พัก ข้าก็เลยมาเฝ้าให้ครู่หนึ่ง อีกอย่างข้าก็อยู่บ้านของพี่รองเหยามานานขนาดนี้ ข้าเองก็รู้สึกเกรงใจ….”

เขาเหมือนได้รับการชุบชีวิตจากพี่รอง ก็ควรต้องดูแลเขา แต่เขาขี้ขลาดยิ่งนัก

บัณฑิตน้อยไม่ลืมเจตนาร้ายของสหายน้อยผู้นั้น ยามเขาเปิดประตูออกออกไปเมื่อคืน

สภาพจิตใจของเหยาเฉาไม่สู้ดีนัก ทั้งสองคนไม่ได้พูดกันมากมาย อวี๋จือลุกขึ้นและเดินไปหาเหยาซู

บางทีอาจเพราะรู้ว่าตัวเองถึงบ้านแล้วจึงหลับต่ออีกสักตื่น คราวนี้เหยาเฉาได้นอนหลับอย่างสบายมากขึ้น

เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นแล้ว แสงอาทิตย์ได้ส่องทะลุหน้าต่างเข้ามาในห้อง สาดแสงอันอบอุ่นทั่วร่างของผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง

เหยาเฉาดูเหม่อลอยเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยถามออกไป “อาเวย เจ้ามาได้อย่างไร?”

เมื่อสะใภ้รองเหยาได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ก็รีบเดินเข้าไปใกล้ ครั้นเห็นเหยาเฉาตื่นขึ้น ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา “ท่านตื่นแล้ว! เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่อีกหรือไม่?”

เหยาเฉากำลังจะลุกขึ้นแต่กลับถูกภรรยาประคองให้ลงไปนั่ง เขาจึงได้แต่เอ่ยอย่างจนปัญญา “นอนมาทั้งคืนแล้ว ข้าอยากลุกขึ้นมานั่งสักครู่ไม่ได้หรืออย่างไร?”

สะใภ้รองเหยาเบิกตากว้างมองเขาแวบหนึ่ง “ได้หรือไม่ได้ ก็ต้องให้หมอมาตรวจดูก่อน”

ขณะพูด นางก็หมุนตัวและเดินออกไปข้างนอกตะโกนเรียกลูกชาย “เอ้อหลาง ไปตามหมอมาเร็ว บอกว่าพ่อเจ้าตื่นแล้ว!”

เหยาเอ้อหลางตอบรับและวิ่งพุ่งเข้ามาดูพ่อของเขาก่อน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มก่อนจะวิ่งออกจากบ้านไปอย่างว่องไว

เหยาเฉายิ้มพร้อมกับพูดหยอกล้อขึ้น “พ่อของเขาตื่นทั้งที ไม่ให้ลูกชายเข้ามาพูดสักคำสองคำ กลับใช้ให้เขาออกไปเสียอย่างนั้น เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

สะใภ้รองเหยาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้เขาราวกับไม่มีอะเกิดขึ้น “อย่าคิดว่าข้าจะหัวเราะได้เพียงเพราะการเล่นละครตลก ๆ ของท่าน ได้รับบาดเจ็บก็ควรนอนพักผ่อนให้มาก ๆ นอนลงอย่างว่าง่าย ห้ามขยับตัว”

เหยาเฉาจนปัญญา ทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมของคนป่วย

ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เสี่ยวเว่ยไปที่บ้านหรือ? เขาไปแล้ว?”

สะใภ้รองเหยานั่งอยู่ขอบเตียงสามีของตน “อื้อ เขามารับข้าและลูกชายมา ส่งเสร็จก็ไปแล้ว เดิมทีสหายน้อยแซ่เว่ยผู้นั้น… วันนี้มาถึงหน้าบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่ามาหาเหยาเอ้อหลางและแม่ของเขา ตอนแรกท่านแม่ของข้าคิดว่าเป็นนักต้มตุ๋น แต่ต่อมาเขาบอกว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ ทุกคนจึงเชื่อ”

หญิงสาวพูดพลางส่ายหน้า และพูดกับเหยาเฉาอีกว่า “เมื่อเห็นเจ้าแม้ว่าจะบาดเจ็บก็ยังรู้จักส่งคนไปเรียกเราสองแม่ลูกมา ข้าก็ไม่อยากชวนเจ้าทะเลาะแล้ว แค่วันข้างหน้าไม่ว่าอย่างไรจะต้องระวังมากกว่านี้ ได้หรือไม่?”

เหยาเฉาพูดในใจ ข้าอยากไปรับพวกเจ้ามาที่ไหนกัน เสี่ยวเว่ยต่างหากที่หวังดีจัดการเรื่องทุกอย่างแทนข้า เขาช่างมีน้ำใจประเสริฐยิ่งนัก

เหยาเฉาพยักหน้าตอบรับ “วางใจเถอะ ครั้งนี้แค่เรื่องไม่คาดฝัน ต่อไปไม่มีอีกแล้ว”

สะใภ้รองเหยามีนิสัยดื้อรั้น แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยขัดขวางเรื่องที่เหยาเฉาทำเลย แต่เมื่อรู้ว่าเขาจะต้องเข้าร่วมการปราบโจร อีกทั้งตอนนี้ก็ยังเห็นเขาได้รับบาดเจ็บอีก ท้ายที่สุดก็พูดได้เพียงประโยคสองประโยคเท่านั้น

“อาเฉา ท่านไม่รู้หรอกว่าลูกชายของเราที่ปกติแล้วไม่กลัวฟ้ากลัวดินไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น ต่อให้สร้างปัญหาจนถูกตีจนไม่สามารถลงจากเตียงได้ ก็ไม่เคยร้องไห้ เช้าวันนี้เห็นท่านยังนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าไร้สีเลือดฝาด ดวงตาของเขาพลันแดงก่ำ ข้าเองก็ต้องทำเป็นไม่เห็นจึงไม่แน่ใจว่าเขาแอบร้องไห้อะไรหรือไม่ ลูกชายถูกเลี้ยงมาจนโตขนาดนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ท่านที่เลี้ยงเพียงลำพัง แต่กลับสนิทกับท่านเป็นพิเศษ ต่อไปหากท่านต้องไปเสี่ยงอันตรายอีก แม้ว่าจะไม่คิดถึงข้าก็ขอให้คิดถึงลูกชายของท่านด้วย”

เหยาเฉารู้ว่าหากให้ที่บ้านรู้เรื่องที่ตัวเองบาดเจ็บย่อมต้องเป็นห่วงแน่นอน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับวาจาเกลี้ยกล่อมของภรรยา เขาทำได้เพียงแค่ปลอบโยนด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าดี อาเวย ข้ารับปากเจ้า”

ครั้นเห็นอาเวยยังคงขมวดคิ้ว เหยาเฉาจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม้ว่าข้าจะรับปากเจ้าแล้ว แต่ข้ายังพบพิรุธบางอย่างในคำพูดของเจ้านะ”

สะใภ้รองเหยาเอียงคอมองเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการเสแสร้งแต่กลับอดเอ่ยถามไม่ได้ “พิรุธตรงไหน?”

เหยาเฉาแกล้งทำเป็นจริงจัง “หมายความว่าข้าไม่ต้องคิดถึงเจ้า แต่ให้คิดถึงลูกอย่างนั้นสิ? แต่ตอนที่บาดเจ็บข้านึกถึงเจ้าเป็นคนแรกเลยนะ ในสมองของข้าไม่มีผู้อื่นเลย มีแค่เจ้า ข้ากลัวว่าตัวเองจะไม่ได้กลับไป วันข้างหน้าถ้าเจ้าเป็นม่าย จะใช้ชีวิตอย่างไร…”

สะใภ้รองเหยาหัวเราะพร้อมทั้งเอ่ยตำหนิ “ไฉนเลยถึงสาปแช่งตัวเองเช่นนี้! ท่านอยากตายนักใช่ไหม!”

ในที่สุดเหยาเฉาก็เห็นนางยิ้มออกมา จึงรู้สึกวางใจลงไม่น้อย

หลายวันมานี้เหยาเฉายุ่งวุ่นอยู่ในเมืองมาตลอด ไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานาน ทั้งสองคนจึงไม่ได้เจอกันเลยเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว

บัดนี้พวกเขาต่างมองหน้ากัน พริบตาเดียวก็รู้สึกถึงความเงียบสงัดที่เกิดขึ้น

สะใภ้รองเหยาจ้องเขม็งไปยังใบหน้าสามีของตน ก่อนโพล่งประโยคหนึ่งออกมาฉับพลัน “คิ้วของท่านเป็นอะไร?”

บรรยากาศที่แสนอบอุ่นได้ถูกประโยคนี้ทำลายไปจนหมดสิ้น เหยาเฉาจนปัญญา จากนั้นก็เบือนหน้าไปทางอื่น

สะใภ้รองเหยาไม่ยอมแพ้ยังขยับตัวตามไปดู “ช้าก่อน อย่าขยับ ให้ข้าดูหน่อยสิ! เจ้าโกนขนคิ้วตรงปลายออกหรือ? ดูยกขึ้นสวยเชียว มันไม่ได้สร้างความรำคาญให้เจ้านี่ จะกันคิ้วไปด้วยเหตุใด?”

เหยาเฉาเอนกายนอนลงบนเตียง ในฐานะที่เป็นคนป่วยเคลื่อนไหวไม่สะดวก เมื่อถูกซักไซ้เรื่องคิ้ว กลับรู้สึกไร้ซึ่งศักดิ์ศรี

เมื่อเห็นว่าหลบไม่พ้น เขาจึงปล่อยให้นางมองพิจารณาอยู่เช่นนั้น “ดูสิ ดูสิ มันถูกกันออกไปเล็กน้อย เหตุใดท่านถึงกันคิ้วและเขียนคิ้วเองได้ แต่ไม่อนุญาตให้ข้าเขียนเล่า?”

เดิมทีชายหนุ่มนั้นมีใบหน้าที่ขาวเนียนดุจหยก มีกลิ่นอายที่โดดเด่น ทำให้คนที่พบเห็นเกิดความรู้สึกดีในใจ

คิ้วรูปดาบที่งดงามคู่หนึ่งในตอนนี้ถูกกันจนเรียวบาง คนที่ไม่รู้จักเหยาเฉาอาจจะมองว่าดี แต่เมื่อภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกับเขามานานเห็นเช่นนี้ จึงอดขบขันออกมาไม่ได้

นางหัวเราะออกมาจริง ๆ “เดิมทีคิ้วของท่านก็งดงามอยู่แล้ว เมื่อกันคิ้วทรงของผู้หญิง เกรงว่าคงจะงดงามไม่แพ้กัน?”

เหยาเฉาต่อให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางเปิดเผยให้เซี่ยงเวยรู้เรื่องที่ตัวเองแต่งกายเป็นหญิงเด็ดขาด ทำได้เพียงคล้อยตามคำพูดของนางและพูดอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า “มันแปลกมากหรืออย่างไร? ถึงได้เห็นคน…”

สะใภ้รองเหยาเข้าใจสามีของตนเป็นอย่างดี รู้ว่าปกติแล้วเขาจะให้ความสนใจกับภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างมาก ครั้นเห็นเขาให้ความสนใจกับเรื่องนี้จริง ๆ จึงหันกลับมาปลอบโยนเขา “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้แปลกขนาดนั้นเสียหน่อย”

ขณะพูด นางก็อดมองไปยังคิ้วของเหยาเฉาไม่ได้ พยายามบังคับมุมปากที่กำลังจะกระตุกยิ้มขึ้น และพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านงดงามมากจริง ๆ นะ คิ้วก็เรียวบาง คนภายนอกคงสังเกตแค่ใบหน้าของเจ้า ไม่มีใครมาสนใจกับทรงคิ้วหรอกว่าแปลกไม่แปลก”

เหยาเฉาแก้ต่างอย่างจนปัญญา “อาเวย อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าก็คือคิ้ว ตา หู ปาก จมูก และอย่างแรกที่เห็นคือคิ้ว”

ในที่สุดสะใภ้รองเหยาก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่อีกต่อไป “ก็ได้! เดี๋ยวข้าจะเขียนคิ้วให้ท่านเอง ต่อไปท่านต้องเขียนคิ้วทุกวันจนกว่าขนคิ้วจะขึ้นมาอีกครั้ง ตกลงหรือไม่?”

ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่นั้น เหยาซูก็ได้เดินเข้ามาพร้อมกับยาจินชวงสองขวดในมือ

นางก้าวขึ้นหน้าสองก้าวอย่างรวดเร็ว “พี่รอง เมื่อครู่เห็นเอ้อหลางวิ่งออกไปตามหมอ พี่ตื่นแล้วหรือ? ยังเจ็บแผลหรือไม่? แล้วรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”

สะใภ้รองเหยาลุกขึ้นเดินเข้าไปหา ก่อนจะรับขวดยาในมือของนาง “อาซูมาแล้ว”

เหยาเฉามองไปทางน้องสาว จากนั้นก็เอ่ยด้วยสายตาอบอุ่นว่า “ไม่เจ็บแล้ว และไม่ได้ไม่สบายตรงไหนด้วย แค่บาดแผลเล็ก ๆ และเสียเลือดมากไปหน่อย ไม่เป็นไรมากหรอก”

เมื่อเห็นสะใภ้รองมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกับการปลอบใจเหยาเฉาอยู่ด้านข้าง เหยาซูก็หัวเราะคิกคักออกมาและพูดว่า “พี่รองช่างมีความสามารถจริง ๆ เมื่อครู่ท่านยังสลบไสลอยู่เลย พี่สะใภ้รองเป็นห่วงพี่แทบแย่ ตอนนี้เพิ่งตื่นได้ไม่นานพี่สะใภ้รองถูกปลอบนิดหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว มิน่าละอาเหราถึงมักจะพูดว่าต้องคบค้าสมาคมกับพี่มาก ๆ หน่อย…”

หญิงสาวไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น “เหตุใดต้องคบค้าสมาคมกับพี่รอง?”

หลินเหราก้าวตามเหยาซูเข้ามาติด ๆ จากนั้นก็เดินเข้าไป ดวงตาของนางเปล่งประกาย และพูดอย่างตื่นตกใจว่า “ท่านกลับมาแล้ว!”

เมื่อคืนหลินเหราต้องกวาดล้างภูเขาเฮยหู่จนสะอาดเกลี้ยง อีกทั้งต้องพาทหารประจำหน่วยถือโอกาสเข้าควบคุมภูเขาไป๋หู่ในคราวเดียว

ทุกคนไม่ได้นอนตลอดหนึ่งคืนเต็ม ยืนยันจะจัดการภารกิจต่อให้เสร็จสิ้น หัวหน้าจวนผู้ตรวจการจึงปล่อยพวกเขาไปพักผ่อน

………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ยอมอะไรก็ยอมได้ แต่จะยอมให้เมียรู้ว่าแต่งหญิงไม่ได้เด็ดขาด 555

ไหหม่า(海馬)