บทที่ 170 นอนน้อยไปหน่อย ก็เลยมึนงง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 170 นอนน้อยไปหน่อย ก็เลยมึนงง?

หลินเหราเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเหยาเฉาจึงรีบปรี่มาหาตั้งแต่ที่ลงจากเขา ในตอนนั้นก็เจอกับเหยาซูที่เข้าประตูไปพอดี จึงเดินตามหลังอยู่เงียบ ๆ

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยืดตัวตรงเดินตามอยู่ข้างหลัง กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ข้างกายของเหยาซู

ครั้นเหยาเฉาเห็นเขาแม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยน ทำเพียงเช็ดแค่คราบเลือดบนใบหน้าและฝ่ามือ ก็รู้ทันทีว่าเขาเพิ่งกลับมาจากจวนผู้ตรวจการ จึงรีบเอ่ยถาม “ครั้นเห็นสีหน้าของอาเหรา ก็รู้ทันทีว่าเรื่องการปราบโจรได้จบลงเรียบร้อยแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ถือว่าราบรื่นดีหรือไม่?”

หลินเหราพยักหน้าและพูดอย่างสัตย์จริง “ถูกฆ่าตายไปทั้งสิ้นสามสิบห้าคน รอดชีวิตอีกนับร้อย จากนั้นก็ตรวจสอบทั่วทั้งค่ายลับอย่างละเอียดและสั่งให้โจรที่ถูกจับมาเป็นเชลยชี้ตัวทีละคน กระทั่งมั่นใจว่าไม่มีปลาตัวไหนหลุดรอดออกจากแหไปได้”

ใบหน้าของเหยาเฉาแต้มด้วยรอยยิ้มจริงใจ จากนั้นก็พูดชื่นชมว่า “อย่างนี้ก็ถือว่าได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่! ตอนนี้พวกโจรได้ถูกกำจัดหมดสิ้นแล้ว ในที่สุดเส้นทางค้าขายของเมืองชิงถงก็กลับมาใช้งานได้ตามเดิม”

ทันทีที่พี่สะใภ้รองเหยาเห็นเหยาเฉาดีอกดีใจราวกับได้รับข่าวคราวที่คาดไม่ถึง จึงรู้สึกดีใจแทนเขา “คราวนี้ท่านก็ควรจะวางใจลงได้แล้วน่ะสิ? แต่อย่างไรก็ต้องนอนพักผ่อนอยู่ในบ้าน พักผ่อนสักสองสามวัน!”

หลินเหราและเหยาเฉาพูดคุยกันอีกสองสามประโยค

เหยาซูรู้ว่าพี่รองและพี่สะใภ้รองไม่ได้เจอกันมาหลายวันแล้ว จึงไม่อยากรบกวนพวกเขา นางดึงแขนเสื้อของหลินเหรา และพูดกับเหยาเฉาว่า “เห็นอาการบาดเจ็บของพี่รองแล้ว ข้าและอาเหราก็วางใจ เด็กทั้งสามคนยังอยู่ที่บ้าน เราต้องขอตัวกลับก่อน ยามอู่จะมาส่งอาหารให้อีกครั้ง”

พี่สะใภ้รองเหยารีบลุกขึ้น พลางโบกมือไปมา “เหตุใดจะต้องรบกวนให้เจ้านำอาหารมาส่งอีกเล่า? ประเดี๋ยวเอ้อหลางก็กลับมา ข้าทำอาหารง่าย ๆ สักสองอย่างก็พอแล้ว…”

เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนต่างก็เป็นคนในครอบครัว พี่สะใภ้รองจะเกรงใจข้าด้วยเหตุใดกัน? พี่รองไม่ค่อยอยู่บ้าน เกรงว่าในห้องครัวยังคงสะอาดสะอ้าน ไม่น่าจะมีเครื่องปรุงอะไร อีกทั้งพี่สะใภ้ยังต้องดูแลพี่รองไม่ใช่หรือ?”

เมื่อเห็นพี่สะใภ้รองเหยากำลังจะปฏิเสธ นางจึงรีบเข้ามาดึงมือของพี่สะใภ้รองเหยาทันที “เอาเถอะ ทำตามนี้แหละ บ้านเราสองคนใกล้กันแค่นี้ พริบตาครั้งเดียวก็ถึงแล้ว และไม่ได้ลำบากด้วย พี่สะใภ้ยังจะเกรงใจข้าอีกหรือ?”

พี่สะใภ้รองเหยาถูกโน้มน้าวจนยินยอม จากนั้นก็พาน้องสามีและน้องเขยมาส่งหน้าประตู ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง

ดวงอาทิตย์ได้ไต่ระดับสูงขึ้นมาเหนือต้นหลิว ท้องฟ้าสดใส แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนตัว แผ่กระจายความอบอุ่นได้ดี

เหยาซูกวาดสายตาไปมองชายหนุ่มที่เดินข้างกายของตนอย่างจริงจัง เมื่อเห็นรอยสีเหลืองคล้ำอันน่าประหลาดบนใบหน้าด้านข้างของสันจมูกสูงโด่งของเขา จึงอดถามไม่ได้ “หน้าท่านเลอะอะไร?”

หลินเหราไม่เข้าใจ “อะไร?”

หญิงสาวใช้นิ้วถูบนแก้มของชายหนุ่ม กระทั่งมีผงสีน้ำตาลเหลืองติดอยู่บนปลายนิ้ว “นี่อย่างไร เจ้าผงสีเหลืองนี้…”

หลังจากผ่านช่วงเวลาเคร่งเครียดมาทั้งวันทั้งคืน และการต่อสู้ที่เสี่ยงอันตรายเมื่อคืนวาน หลินเหราไม่ใช่คนที่มีร่างกายเป็นเหล็ก ต่อให้มีกำลังวังชาแค่ไหนตอนนี้กลับเหนื่อยล้าจนพูดไม่ออก

ในขณะที่เดินอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์กับเหยาซู เขาเห็นนางเร่งฝีเท้าเบา ๆ สีหน้าของนางยังคงไร้ความกังวล เส้นประสาทที่พากันรัดเกร็งของหลินเหราก็ผ่อนคลายลง

ปลายนิ้วของนางยื่นไปข้างหน้าเขา หลินเหราชำเลืองมองสีสันบนนั้นแวบหนึ่ง แต่ปากกลับพูดว่า “ตรงไหน?”

นิ้วมือของเหยาซูได้ยกสูงขึ้น “นี่!”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกุมนิ้วมือที่อ่อนแอเหมือนไร้กระดูกนิ้วนั้น ปลายนิ้วที่หยาบกร้านถูไปมาส่งผลให้ผงสีเหลืองนั้นหายไป “ข้าเห็นแค่สีขาว ไม่เห็นจะมีอะไรสีเหลืองเลยนี่”

เหยาซูจึงรู้ว่าหลินเหราจงใจแกล้งนาง

เนื่องจากมือข้างหนึ่งถูกจับกุมไว้ หญิงสาวจึงได้ยิ้มและตำหนิออกไปว่า “ได้ หลินเหรา เดี๋ยวนี้ท่านหัดโกหกตาใสนะ! อย่าขยับเชียว บนหน้าของท่านยังมีอีก เดี๋ยวข้าจะเช็ดให้ท่านดูเอง!”

ขณะพูดเหยาซูก็ได้ยื่นมือออกไปถูบนใบหน้าของหลินเหราอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับหลบเลี่ยงได้ทันท่วงที

น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาที่แฝงไปด้วยความแหบแห้งของคนที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอน กลับดูไพเราะขึ้นมา “เจ้ายังไม่ได้รับการยินยอมจากผู้อื่น เหตุใดถึงได้แตะใบหน้าของข้าได้ตามใจชอบล่ะ?”

เหยาซูเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน “ทีท่านยังจับมือของผู้อื่นได้เลย!”

หลินเหราพยายามหลบหลีก ไม่ว่าเหยาซูจะเอื้อมอย่างไรก็แตะต้องไม่ได้

หญิงสาวเหงื่อออกชุ่มทั้งตัว ถลึงตากว้างมองไปยังสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอบนโหนกแก้มของหลินเหรา ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ไม่เช็ดแล้ว! ไม่เห็นต้องสนใจเลยว่าหน้าท่านจะมีอะไร!”

เหยาซูกลับไม่ได้อยากรู้มากขนาดนั้น เพียงแต่ยิ่งหลินเหราหลบเลี่ยง เธอก็ยิ่งอยากเช็ดคราบเลอะนั้น หากแต่ก็จนปัญญากับแขนที่สั้นเกินไป ความสามารถก็คงจะสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ทำได้แค่ปล่อยไป

“ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่แตะท่านแล้ว เหตุใดท่านยังไม่ปล่อยข้าอีก?”

ครั้นเห็นท่าทางขุ่นเคืองของเหยาซู นัยน์ตาอันงดงามคู่นั้นดูเบิกบานมีชีวิตชีวามากทีเดียว หัวใจที่เย็นยะเยือกมาตลอดทั้งคืน ราวกับถูกดวงอาทิตย์แผดเผา ค่อย ๆ ถูกอุณหภูมิอันอบอุ่นนี้หลอมละลาย เหลือไว้เพียงแค่ความอ่อนโยนเท่านั้น

ปากเอ่ยตอบแต่มือกลับยังไม่ปล่อย “ไม่มีอะไรหรอก นั่นเป็นของที่พี่รองหามาปกปิดสีผิวให้ข้า”

เหยาซูไม่เข้าใจ “ก็ได้ แล้วเหตุใดต้องปกปิดสีผิวด้วย?”

หลินเหราฉวยโอกาสเปลี่ยนจากจับเป็นดึงมือของเหยาซูมาจูงไว้ จากนั้นก็เดินต่อไปพลางพูดว่า “การปราบโจรในครั้งนี้ เราต้องปลอมตัวเข้าไปปะปนอยู่บนภูเขา จึงต้องแต่งตัวให้ดูธรรมดาเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายการระแวดระวังตัว”

เหยาซูรู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจ หญิงสาวรู้มาตลอดว่าหลินเหราและพี่รองจะไปปราบโจรอย่างไร แต่แผนการของพวกเขาก่อนหน้านั้น นางไม่ได้สอบถามมากเท่าใดนัก ตอนนี้ฝุ่นผงร่วงหล่นหมดแล้ว[1] ในที่สุดก็ได้เอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ “เหตุใดพวกท่านต้องแฝงตัวเข้าไปปะปนอยู่บนภูเขาด้วย? แล้วแต่งตัวแบบใด? โจรภูเขาเยอะหรือไม่ โหดร้ายมากหรือเปล่า?”

หลินเหราหันกลับไปมองหญิงสาว แม้ว่าใบหน้าจะยังเรียบสนิทแต่นัยน์ตาที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงนั้นกลับเปล่งประกายอ่อนโยน “รีบกลับบ้านกันเถิด ถึงบ้านแล้วค่อยเล่าให้เจ้าฟังดีหรือไม่?”

ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้า เหยาซูเพิ่งสังเหตเห็นสีหน้าของชายหนุ่มไม่ได้ดูสงบและเฉียบคมเหมือนเช่นวันปกติ ตรงกันข้ามกลับแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าที่ผู้อื่นไม่มีทางสังเกตเห็น

คล้ายกับสิงโตตัวผู้ที่งีบหลับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ หลังจากผ่านการล่าเหยื่อและการสังหารอย่างโหดเหี้ยมมาแล้วฉากหนึ่ง ตอนนี้อยากจะหลับก็หลับไม่ได้ ได้แต่หาววอดหนึ่ง

แววตาสีดำขลับอันนิ่งสงบของเขา ครั้นเหยาซูเห็นมันก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย

หญิงสาวพยักหน้า จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น “งั้นเรารีบกลับกันเถอะ ท่านจะได้อาบน้ำล้างตัว แล้วค่อยกินข้าว…”

ครั้นหลินเหราและเหยาซูกลับมาถึงบ้าน ก็พบซานเป่าที่กำลังนั่งเล่นของเล่นของตัวเองอยู่บนพื้น ส่วนอาซือนั่งเฝ้าอยู่อีกด้านคอยพูดคุยกับน้องชายเป็นครั้งคราว

เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหน้าประตู อาซือก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะตะโกนด้วยความดีใจ “ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”

ซานเป่าที่ตื่นเช้ามาไม่เห็นเหยาซูได้ร้องไห้โฮไปแล้วฉากหนึ่ง ครั้นถูกพี่ชายและพี่สาวปลอบโยนอยู่พักหนึ่ง จึงได้ลืมการมีตัวตนของมารดาไป

ตอนนี้เมื่อเห็นมารดาของตนก็พลันนึกขึ้นได้ และทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง

เด็กทารกตัวน้อยใช้มือและเท้าให้เป็นประโยชน์ ด้วยการคลานไปหน้าประตูที่มีเสียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ส่วนปากก็ยังส่งเสียงร้องเรียก “แอะ! แอะ”

อาซือตามมาทีหลัง เด็กหญิงต้องลุกขึ้นมาวิ่งเหยาะจนตามน้องชายทัน เพราะกลัวว่าเขาจะกระแทกหรือชนอะไรเข้า “ซานเป่าคลานช้า ๆ หน่อยสิ! ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่หนีไปไหนแล้ว”

ตอนนี้ซานเป่าคลานได้แล้ว อากาศก็ค่อย ๆ อุ่นลง จึงให้เขาสวมเสื้อผ้าหนาขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ยังพอให้เขาเล่นได้

กิจกรรมที่ขยายเป็นวงกว้างนั้นก็หมายความว่าระดับความยากในการเฝ้ามองเด็ก ๆ ของเหยาซูจะเพิ่มขึ้น

หญิงสาวเห็นเด็กทารกตัวน้อยที่คลานเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ จึงปรี่เข้าไปอุ้มเขาขึ้นมาในอ้อมแขน ก่อนจะปลอบด้วยรอยยิ้มว่า “ซานเป่าได้ยินเสียงพ่อกับแม่ใช่หรือไม่?”

ซานเป่าซุกอยู่ในอ้อมแขนของเหยาซูพร้อมกับหัวเราะ

บางทีอาจเป็นเพราะการตื่นนอนในตอนเช้า ผมของซานเป่าจึงได้พันกันกระเซอะกระเซิง เส้นผมที่อ่อนและละเอียดได้พันเข้าด้วยกัน ทำให้เวลาสัมผัสแล้วรู้สึกดีไม่น้อย

อาซืออยู่เฝ้าซานเป่ามาโดยตลอดตั้งแต่ที่เหยาซูออกจากบ้านไป

เดิมทีเด็กหญิงตัวน้อยมีอายุยังไม่มากนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องชาย เห็นได้ชัดว่ารู้ความมากทีเดียว

วันนี้ผู้ใหญ่กลับมาแล้ว เด็กน้อยก็ดูผ่อนคลายลง

เหยาซูยิ้ม “ต้องลำบากเอ้อเป่าแล้ว”

อาซือเงยหน้าขึ้น และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เหยาซูออกไปพักหนึ่งให้พวกผู้ใหญ่ได้ฟัง “หลังจากที่ท่านแม่ออกไปไม่นาน ซานเป่าก็ตื่นขึ้น จากนั้นก็เริ่มร้องไห้… ข้ากับท่านพี่หาของกินให้ เขาจึงหยุดร้อง แต่น้องไม่ยอมอยู่บนเตียงเราก็เลยต้องใส่เสื้อผ้าที่หนาขึ้นให้น้อง แล้วน้องก็คลานเล่นบนพื้น”

นางพูดด้วยน้ำเสียงดังชัดเจน บอกเล่าอย่างชัดถอยชัดคำ

หลินเหราฉวยโอกาสอุ้มเด็กน้อยเข้ามาในวงแขนและถามนาง “อาจื้อล่ะ?”

“ซานเป่าฉี่ทำให้ผ้าสกปรก ท่านพี่ก็เลยต้มน้ำร้อนให้น้องอยู่ในครัว…”

ขณะพูด อาจื้อก็กำลังยกอ่างน้ำออกมาจากในครัวพอดี

ครั้นเห็นร่างเงาของบุรุษ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย ก่อนจะตะโกนด้วยความดีใจ “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว!”

อาจื้อเดินจ้ำอ้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งวิ่งมาข้างหน้า จากนั้นก็มองพิจารณาหลินเหราตั้งแต่หัวจรดเท้า “ได้ยินว่าท่านลุงบาดเจ็บ ท่านพ่อไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ?”

อาซือจ้องเขม็งไปยังหลินเหราอย่างไม่ละสายตา นัยน์ตาแฝงไปด้วยความกังวลเฉกเช่นเดียวกัน

ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พ่อไม่เป็นไร ไม่ได้บาดเจ็บ”

เด็กทั้งสองคนโล่งใจ อาซือจึงหันไปถามเหยาซูว่า “ท่านแม่ ลุงรองบาดเจ็บสาหัสหรือไม่เจ้าคะ?”

เหยาซูอุ้มซานเป่านั่งลงบนเตียงเตาและพูดกับเด็กสองคนว่า “ไม่ได้บาดเจ็บขั้นร้ายแรงหรอก แต่ก็เลือดออกไม่น้อย ตอนเที่ยงวันต้าเป่าและเอ้อเป่าไปเยี่ยมท่านลุงด้วยกันสิ ป้าสะใภ้รองและพี่รองก็มาด้วยนะ”

อาจื้อยกอ่างน้ำเข้ามา ช่วยเหยาซูเช็ดก้นและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ซานเป่า

อาซือนั่งอยู่ในอ้อมแขนของหลินเหราและเอ่ยถามชายหนุ่มว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่บอกว่าเมื่อวานพวกท่านไปปราบโจร โจรภูเขาเก่งมากหรือไม่? พวกเขามีเยอะหรือเปล่า?”

หลินเหราไม่ได้นอนมาทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงบ้านเส้นประสาทที่หดเกร็งเพราะความเครียดก็ได้ผ่อนคลายลง

เขากอดลูกสาวไว้และถามกลับว่า “อาซือรู้เรื่องปราบโจรด้วยหรือ?”

เด็กสาวพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านแม่บอก โจรภูเขาทำร้ายผู้อื่น! บนภูเขาเฮยหู่มีคนไม่ดีอยู่เยอะ เพราะพวกเขาปล้นของคนที่ผ่านไปผ่านมาอยู่ทิศตะวันออกของเมือง พี่อวี๋หมดหนทางเข้าเมืองไปสอบ คราวนี้ท่านพ่อจึงต้องไปจับพวกเขา”

มุมปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะชำเลืองไปเห็นอาจื้อที่อยู่ข้าง ๆ หูผึ่งอยากรู้ไม่แพ้กัน เขาจึงพูดกับเด็กทั้งสองคนว่า “แม่ของเจ้าพูดถูก โจรภูเขามีจำนวนเยอะนัก และก็รับมือได้ยาก แต่พ่อและลุงรองของพวกเจ้ามีวิธีจึงจับพวกเขาทั้งหมดไปขังอยู่ในคุกใต้ดิน”

อาจื้อเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามต่อว่า “จับได้ทั้งหมดแล้วหรือ? เช่นนั้นต่อไปก็ไม่มีโจรภูเขาแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”

หลินเหราพยักหน้า

เด็กทั้งสองคนเริ่มพูดคุยกันอย่างเจื้อยแจ้ว อาจื้อช่วยเหยาซูเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ซานเป่า จากนั้นก็คลานจากเตียงมาบนตักของหลินเหราคล้ายกับกำลังเลียนแบบน้องชายอย่างไรอย่างนั้น

ดวงตาของเด็กชายเปล่งประกาย จากนั้นก็กล่าวถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “ท่านพ่อ คราวต่อไปหากท่านพ่อไปจวนผู้ตรวจการ พาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

หลินเหราตอบรับอย่างมั่นใจ “พ่อให้สัญญา รอให้ม้าฝูงต่อไปถึงค่ายก่อน แล้วจะพาเจ้าไป”

อาจื้อยิ้มอย่างเบิกบานใจ ถ้าติดหางให้เขาเกรงว่าหางเล็ก ๆ นั้นคงจะส่ายกระดิกไม่หยุด จากนั้นก็พูดกับหลินเหราอย่างดีอกดีใจว่า “ท่านพ่อใจดีที่สุด! ท่านพ่อยอดเยี่ยมที่สุดเลย!”

เหยาซูเห็นเด็กชายดีใจแบบนี้ได้ยากนัก จึงพูดกับเขาว่า “โชคดีที่พี่คนรองของเจ้าอยู่ในเมือง ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองพี่น้องก็จะได้ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน”

ดวงตาที่เปล่งประกายของอาจื้อได้มองไปยังหลินเหรา “ท่านพ่อ พี่รองไปด้วยได้หรือไม่?”

…………………………………………………………………………………………………………..

[1] ฝุ่นผงร่วงหล่นหมดแล้ว เปรียบเทียบเรื่องราวสิ้นสุดแล้ว

สารจากผู้แปล

ลองอาซูได้รู้เรื่องหมดสิคะแล้วจะหัวเราะไม่หยุด แล้วจะมองพี่เฉาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ต้องขออภัยด้วยนะคะที่วันนี้มาช้า ปวดท้องนิดหน่อยน่ะค่ะเลยต้องค่อยๆ แปล

ไหหม่า(海馬)