บทที่ 171 บางทีอาจเป็นโดยธรรมชาติก็ได้

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 171 บางทีอาจเป็นโดยธรรมชาติก็ได้

หลินเหราไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ

เขาเองก็ไม่ได้สนใจ จะเลี้ยงลูกหนึ่งคนก็เลี้ยงได้ สองคนก็ดี ขอแค่ให้พวกเขาสองพี่น้องอยู่ด้วยกัน ดูแลซึ่งกันและกันได้

ถึงอย่างไรเด็กผู้ชายสองคนในค่ายก็ไม่อาจสร้างปัญหาอะไรได้อยู่แล้ว

ครั้นได้รับการพยักหน้ายืนยันจากพ่อแม่ อาจื้อก็อยากจะเล่าข่าวดีนี้ให้พี่รองจนแทบอดใจไม่ไหว เขากระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นสวมรองเท้า บอกกล่าวเหยาซูและหลินเหราคำหนึ่ง และวิ่งไปยังบ้านของเหยาเฉาทันที

เหยาซูจึงรีบตะโกนเรียกเขาทันที “พี่รองของเจ้าไปตามท่านหมอ ตอนนี้ไม่อยู่บ้าน”

อาจื้อไม่สนใจ “ข้าไปรอที่บ้านของลุงรองก็ได้!”

ทันทีที่ได้ยินว่าจะไปบ้านของผู้เป็นลุง อาซือก็รีบพูดแทรกทันที “ท่านพี่ ข้าไปด้วย!”

นางมองไปทางหลินเหรา จากนั้นก็บิดตัวออกจากอ้อมแขนของเขา “ท่านพ่อ ข้าจะไปเยี่ยมลุงรองด้วย”

อาซือชื่นชอบเหยาเฉาที่สุด ครั้นได้ยินว่าเขาบาดเจ็บก็ร้องไห้เสียใจอยู่ในบ้าน

หากไม่ใช่เพราะเหยาซูขวางไว้ นางจะต้องไปบ้านของเหยาเฉาเป็นคนแรกอย่างแน่นอน

ตอนนี้เด็กน้อยกำลังยุกยิกไปมาอยู่ในอ้อมแขนของหลินเหราคล้ายกับเจ้าหนอนน้อยที่ถูกผู้อื่นขวางไว้ไม่อนุญาตให้ไป หลินเหราจึงทำได้แค่ปล่อยนางลง

ครั้นเหยาซูเห็นเหตุการณ์นั้นก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนจะพูดว่า “พวกเจ้าสองคนไปก็ดี จะได้ช่วยงานบ้านของท่านป้าด้วย”

เด็กทั้งสองคนตอบรับหนึ่งครั้ง รอให้อาซือใส่รองเท้าเรียบร้อย สองพี่น้องก็พากันวิ่งตึงตังออกจากบ้านไป

ไม่นานสิ่งรอบตัวพลันเงียบสงบลง หลังจากที่ซานเป่าเปลี่ยนผ้าอ้อมแล้วก็นั่งอยู่บนเตียงอย่างว่าง่าย จากนั้นก็เล่นของเล่นอยู่กับตัวเองไป

เหยาซูยกอ่างน้ำด้านที่อยู่ด้านข้าง เตรียมจะลุกขึ้นแต่กลับถูกหลินเหราขวางไว้ “ข้าเอง”

เขารับผ้าและอ่างน้ำจากในมือของเหยาซูมาโดยไม่พูดไม่จา จากนั้นก็ออกไปเทน้ำข้างนอก ทั้งยังนำผ้าอ้อมที่สกปรกของซานเป่าไปซักอีกด้วย ก่อนนำไปตากไว้บนเชือกป่านตากผ้าในลานบ้าน

ครั้นหันกลับไปก็เห็นเหยาซูยืนยิ้มแย้มอยู่หน้าประตูบ้าน มองเขาโดยไม่พูดสิ่งใด

หลินเหรายืนนิ่งฉับพลัน ไม่รู้ว่าเหตุใดจะต้องนึกถึงภาพเหยาเฉาสวมชุดแต่งงานสีแดงสะพรั่งเมื่อวานด้วย

สองพี่น้องเดิมทีก็มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว แค่รูปลักษณ์ของเหยาซูนั้นอ่อนโยนยิ่งกว่า ดวงตากลมโตกว่าเล็กน้อย

เขาพยายามนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เหยาซูแต่งงานกับเขาในวันนั้น กลับดูเหมือนว่ามันเกิดขึ้นไปแล้วเมื่ออดีตชาติ

ในคืนที่ต้องแต่งงาน สีหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีแดงของนางช่างแตกต่างจากความอ่อนโยนในตอนนี้โดยสิ้นเชิง

อีกทั้งตัวนางในตอนนั้นก็ยังเด็ก ยังไม่สะคราญโฉมเต็มที่ หากเปรียบเทียบกับตอนนี้แล้ว เหมือนกับคนละคนเลยทีเดียว

น้อยนักที่จะได้เห็นหลินเหรายืนเหม่อลอยโดยไม่ขยับเขยื้อนเช่นนี้ เหยาซูจึงยิ้มพร้อมถามเขาว่า “ไม่เข้าบ้านหรือ ท่านมัวยืนอึ้งอะไรอยู่คนเดียว? นอนน้อยก็เลยมึนงงอย่างนั้นหรือ?”

อย่าว่าแต่ไม่ได้นอนสักคืนเลย กับการซุ่มโจมตีอยู่ในสนามรบเป็นเวลาสามวันสามคืนโดยไม่ได้นอนหลับอย่างสบายก็ผ่านมาแล้ว หลินเหรามักกระตุ้นความรู้สึกของตัวเองให้ชัดเจนและสมองให้ตื่นตัวขึ้นเสมอ

เพียงแต่สถานที่ที่เขาอยู่ในวันนี้ไม่ใช่สนามรบ และคนที่อยู่ตรงข้ามก็ไม่ใช่ศัตรู

หลินเหราปล่อยให้ความอ่อนล้าเคลื่อนตัวไปทุกอณูของร่างกาย ปล่อยให้ความรู้สึกที่ตึงเครียดมานมนานได้รับการห่อหุ้มด้วยสภาวะอันอบอุ่น จนค่อย ๆ แสดงสีหน้าออกมา “อาซู เจ้าออกมาหน่อยสิ”

แต่ไหนแต่ไรมาใบหน้าของชายหนุ่มไม่เคยแสดงความรู้สึกใด ตอนนี้ภายใต้แสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ ใบหน้าที่ดูเย็นชาก็ได้รับการปกคลุมด้วยแสงอันอบอุ่นชั้นหนึ่ง ยิ่งทำให้ดูเหนื่อยหน่ายมากขึ้นไปอีก

เหยาซูเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา แต่กลับไม่อาจต้านทานสายตาของเขาที่จับจ้องมาได้ ทำเพียงเดินไปหาพลางเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เป็นอะไรไปเล่า?”

ใครเล่าจะคิดว่าหลังจากที่หลินเหรารอให้เหยาซูเดินเข้ามาใกล้ เขาก็ซบหน้าลงบนไหล่ของนางทันที

หญิงสาวทั้งยิ้มทั้งไม่เข้าใจ “ท่านทำอะไร?”

เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากไหล่ของนาง มันเป็นเสียงที่ทุ้มต่ำและแหบแห้ง “เหนื่อย”

ยิ่งอยู่กับหลินเหรานานเท่าไร เหยาซูก็ยิ่งสังเกตเห็นว่าความจริงแล้วชายหนุ่มไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาแสดงออกมาภายนอกเช่นนั้นเลย ไม่มีแม้แต่ความเย็นชาแข็งกระด้าง

ตรงกันข้าม แท้จริงแล้วจิตใจของหลินเหราค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก

เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งลุ่มลึกที่สุดจากคนรอบข้าง

เพียงแต่มีแค่คนที่เข้าใจเท่านั้นถึงจะรู้สึก

คิดได้ดังนี้ เหยาซูก็อดเอ่ยเสียงอ่อนโยนไม่ได้ “ถึงบ้านแล้ว หากเหนื่อยละก็ถอดเสื้อผ้าพักผ่อนสักหน่อยดีหรือไม่?”

หลินเหราไม่เอ่ยสิ่งใด เห็น ๆ อยู่ว่าพิงแอบอยู่บนร่างกายของเหยาซู แต่กลับไม่ทำให้นางรู้สึกหนักสักเท่าไรนัก

เหยาซูยิ้มเงียบ ๆ จากนั้นก็ยื่นมือออกมาโอบเส้นผมสีดำขลับดั่งหมึกของหลินเหราไว้ “ข้าได้กลิ่นคาวเลือดมาจากตัวของท่าน ไปแช่น้ำร้อนและหลับสักตื่นเถอะ”

หลินเหรายืดตัวขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นก็ดมกลิ่นจากร่างกายของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“มีกลิ่นคาวเลือดหรือ?”

เขาจัดการตัวเองจากจวนผู้ตรวจการมารอบหนึ่งแล้วแท้ ๆ หรือว่ายังมีกลิ่นหลงเหลืออยู่?

หญิงสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาขนาดนี้ ย่อมได้กลิ่นอยู่แล้ว

กลิ่นนี้ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนไหนจะชื่นชอบ เพียงแต่คนที่เปื้อนในตอนนี้คือหลินเหรา ในใจของเหยาซูจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย

นางหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “บางทีอาจจะเปื้อนอยู่บนศีรษะก็ได้ อีกเดี๋ยวก็ไปล้างเนื้อล้างตัวให้ดี ๆ แล้วกัน”

หลินเหรารู้ว่าเหยาซูรักความสะอาด ก่อนหน้านั้นอาจจะเคยใช้ชีวิตโดยไร้เงื่อนไขอยู่ในบ้านตระกูลหลิน แต่บัดนี้ตัวเองสามารถต้มน้ำร้อนได้แล้ว เหยาซูแทบอยากจะอาบน้ำทุกวันเลยก็ว่าได้ พาให้เด็ก ๆ ชมชอบการอาบน้ำไปด้วย

ครั้นได้ยินนางบอกว่าบนร่างตนมีกลิ่นคาวเลือด หลินเหราจึงไม่สนใจจะพะเน้าพะนออีก เพียงแค่พูดว่า “ข้าจะไปอาบน้ำ”

เขาจะอาบน้ำสระผมอย่างว่องไวที่สุด จัดการทุกสิ่งอย่างรวดเร็วจนเสร็จสิ้น ถึงตอนนั้นก็ยังพูดคุยกับเหยาซูได้อีกหลายประโยค

คาดไม่ถึงว่าเหยาซูจะคว้าข้อมือของเขา รั้งไม่ให้เขาไป “ท่านจะรีบไปไหน? วันนี้ยังต้องออกไปอีกหรือ?”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไป “ไม่ต้องแล้ว จวนผู้ตรวจการให้ข้ากลับบ้าน พักผ่อนหนึ่งวัน”

เหยาซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อาจื้อเพิ่งจะต้มน้ำยังเหลืออีกไม่น้อย ท่านค่อยไปตักน้ำเย็นก็ได้ แสงแดดในตอนนี้กำลังดีเชียว ลานบ้านก็ไม่หนาวมาก ไปสระผมในลานบ้านดีกว่า”

หลินเหราไม่มีความเห็นแย้งแต่อย่างใด เขาทำตามความนิสัยความเคยชินโดยธรรมชาติของเหยาซู นำน้ำเย็นและน้ำร้อนมาเทแบ่งอยู่ในอ่างไม้ทั้งสอง จากนั้นก็ยกเข้ามาในลานบ้าน

แต่กลับเห็นเหยาซูหยิบผ้าที่แห้งแล้วสองสามผืน และผงสมุนไพรจ้าวเจี่ยว*[1] สำหรับสระผมออกมาวางข้างตัว และนั่งลงบนม้านั่ง

“มานั่งนี่มา” เขาได้ยินอีกฝ่ายเรียกตัวเอง

หลินเหรายกอ่างไม้อ่างหนึ่งด้วยมือข้างเดียว ราวกับไม่รู้สึกถึงความหนักแต่อย่างใด จากนั้นเดินไปอย่างมั่นคง

เขานั่งลงบนม้านั่งไม้อีกตัว ก่อนจะเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “อาซู เจ้า…”

แม้ว่าเหยาซูจะนั่งบนม้านั่งที่สูงเหมือนกับเขา แต่กลับต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยถึงจะอยู่ในระดับเดียวกับเขาพอดี

เมื่อใบหน้ารูปไข่อันงดงามของนางอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ มันก็ช่างคล้ายกับหยกโบราณที่ไร้ตำหนิ เปล่งประกายสีขาวแวววาว

หญิงสาวมองไปยังหลินเหราด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ “ยังจะอึ้งอะไรอยู่อีก? ท่านจะสระเองหรืออย่างไร?”

หลินเหราเพิ่งนึกได้ เขาเคยเห็นภาพที่เหยาซูสระผมให้อาซือและอาจื้ออยู่ครั้งหนึ่ง

โดยปกติแล้วมักจะสระให้หลังแสงแดดเลยเที่ยงวันไปแล้ว เด็กทั้งสองคนจะนั่งเรียงกันอยู่ด้านข้าง แก้มวยผมรอมารดาของพวกเขาราดน้ำอุ่น

ตอนนั้นเขากลับมาหยิบของที่บ้าน กลับได้แต่ยืนอยู่นอกลานบ้านมองนางสระผมให้เด็ก ๆ จนเสร็จโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน กระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้นถึงรู้สึกตัว

บนศีรษะของเด็กทั้งสองคนมีผ้าขนหนูห่อหุ้มซับน้ำไว้ หลังจากได้ยินเสียงเคลื่อนไหวพวกเขาต่างก็ส่งเสียงเรียกพ่อของตัวเองด้วยสีหน้าแช่มชื่น หลินเหราจำมันได้ขึ้นใจ สีหน้าในตอนนั้นของเหยาซูอ่อนโยนคล้ายกับในตอนนี้มากทีเดียว

เขาแก้มวยผมอย่างไม่ลังเล ปล่อยให้เส้นผมสีดำขลับดุจหมึกดำสยายลงมา และปล่อยให้เหยาซูจัดการมัน

หญิงสาวใช้กระบวยตักน้ำเย็นและน้ำร้อนลงในอ่างที่ว่างเปล่าด้านข้าง ในขณะเดียวกันก็จุ่มมือลงไปวัดอุณหภูมิ ครั้นสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่กำลังดีแล้ว จึงพูดกับหลินเหราว่า “เอาละ ขยับมาแล้วก้มหัวลง”

หลินเหราคล้อยตามคำพูดของของเหยาซู เขาก้มหัวลงไป หญิงสาวจึงตักน้ำแล้วค่อย ๆ ราดลงบนเส้นผมของหลินเหราทีละนิด แต่ก่อนจะถึงหนังศีรษะ นางได้พูดกับเขาว่า “หากน้ำเย็นหรือร้อนเกินไป ท่านต้องบอกข้า”

หลินเหราตอบ “อื้อ” ด้วยเสียงทุ้มต่ำหนึ่งครั้ง

น้ำอุ่น ๆ ค่อย ๆ ราดลงมาบนหนังศีรษะจนเปียกชุ่ม เขาหลับตาลงสัมผัสได้ถึงนิ้วมือของเหยาซูที่แทรกเข้ามาในหนังศีรษะ มันช่างได้รสสัมผัสที่ชัดเจนยิ่งกว่าน้ำอุ่นนี้เสียอีก

จากนั้นก็ได้ยินเหยาซูพูดว่า “อาจื้อบอกข้าว่าปกติแล้วท่านมักจะชอบใช้น้ำเย็นอาบน้ำ ได้อย่างไรกัน? ตอนนี้ยังหนุ่มยังแน่น ร่างกายของท่านยังรู้สึกได้ก็จริง รอให้แก่ตัวลงมันจะมีโทษต่อท่าน ความจริงแล้วไม่เพียงแต่ต้องคิดเผื่อร่างกายนะ แต่น้ำอุ่นที่ชโลมลงมาบนหนังศีรษะและร่างกาย ยังทำให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้อีกด้วย”

ปกติถ้าเหยาซูพูดกับเขา หลินเหราก็แค่ตอบรับ

แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บางทีอาจเป็นเพราะน้ำเสียงของเหยาซูที่ฟังดูอบอุ่นเกินไปก็ได้ เขาจึงอยากพูดกับนางหลายประโยคเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง “ต้มน้ำร้อนเปลืองฟืนไม้ อาบน้ำเย็นสะดวกกว่า”

เสียงของเหยาซูสูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อว่า “เปลืองฟืน? บ้านเราอดอยากปากแห้งหรืออย่างไร ขาดฟืนไปสักสองสามแท่งจะเป็นไรไป?”

กระทั่งได้ยินชายหนุ่มพูดอีกว่า “ประหยัดเพื่อเลี้ยงครอบครัวก็ไม่ผิดนะ”

ในหมู่บ้านตระกูลเหยามีคนประหยัดฟืนไม้ ถึงขั้นไม่อาบน้ำตลอดฤดูหนาวเลยทีเดียว

ทำได้แค่รอให้ถึงเที่ยงวันของฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนที่สุด จึงจะยกอ่างไม้ที่ใส่น้ำจนเต็มมาวางในลานบ้าน รอให้น้ำอุ่นจากแสงแดดจึงค่อยอาบน้ำ

แต่เหยาซูไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ฟืนในบ้านจึงถูกเติมจนเต็มมาแต่ตลอด

หญิงสาวยื่นมือออกไปตบศีรษะของหลินเหราเบา ๆ และพูดอย่างไม่พอใจว่า “ปกติแล้วก็ไม่ยักจะเห็นท่านประหยัดมากมาย เหตุใดมาตอนนี้ถึงได้เริ่มประหยัดได้เล่า? ข้าว่าท่านขี้เกียจ รู้สึกยุ่งยากมากกว่าเลยไม่อยากต้มน้ำ”

หลินเหรายิ้มทันใด

บางทีอาจเป็นเพราะข้อบกพร่องหลังจากเข้าร่วมกองทัพ เขาจึงไม่เคยเผยจุดอ่อนของตัวเองต่อหน้าผู้อื่น อย่าว่าแต่การวางศีรษะลงบนมือของเหยาซูแล้วปล่อยให้นางจัดการเลย

แต่ตอนนี้หลินเหรายังรู้สึกดีไม่น้อย

เมื่อเห็นเขาไม่เปล่งเสียงใดออกมา เหยาซูจึงตบท้ายทอยของหลินเหราเบา ๆ อีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มพลางก่นด่าว่า “ได้ยินแล้วหรือไม่? หากท่านขี้เกียจต่อไปแบบนี้อีก ข้าจะเลี้ยงลูกทั้งสามคนเอง แล้วทั้งบ้านจะพากันต่อต้านเจ้า”

หลินเหราเห็นเหยาซูพูดแบบนี้ จึงตอบ “อื้อ” เสียงต่ำ ๆ หนึ่งครั้ง แต่ก็ยังเป็นกังวลว่านางจะหาว่าตัวเองตอบแบบขอไปทีจึงพูดเสริมว่า “รู้แล้ว”

หลังจากที่เส้นผมเปียกชุ่มแล้ว เหยาซูก็เริ่มใช้ผงสมุนไพรจ้าวเจี่ยวลงบนเส้นผมสีดำขลับของเขา จากนั้นก็นวดคลึงเบา ๆ

หญิงสาวนวดคลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าและพูดประเมินว่า “เส้นผมของท่านนุ่มและดำมากจริง ๆ ”

เหยาซูคิดมาตลอด ตามนิสัยของหลินเหราแบบนี้เส้นผมจะต้องแข็งมากแน่ ๆ

แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่มือได้สัมผัสจริง ๆ แล้ว กลับพบว่าเส้นผมของหลินเหรานั้นไม่แข็งเลย ตรงกันข้ามกลับละเอียดและนุ่มมาก

หากเส้นผมยืดยาวออกมาตามนิสัยของเจ้าของ เช่นนั้นหมายความว่าความจริงแล้วในจิตใจของชายหนุ่มก็อ่อนโยนด้วยอย่างนั้นน่ะสิ?

คิดได้แบบนี้ นางจึงอดถามออกมาไม่ได้ “อาเหรา เหตุใดเส้นผมของท่านถึงนุ่มเพียงนี้?”

หลินเหราไม่เข้าใจว่าจุดอยากรู้อยากเห็นของเหยาซูนั้นอยู่ตรงไหนจึงตอบเพียงว่า “บางทีอาจจะเป็นโดยธรรมชาติ ข้าเองก็ไม่รู้”

หลังการชโลมด้วยน้ำร้อน เห็นได้ชัดว่าเส้นผมสีดำขลับของหลินเหราอ่อนนุ่มและละเอียดมากขึ้น

เหยาซูครุ่นคิด หากเป็นสมัยปัจจุบันถ้าตัดผมแบบนี้ให้สั้นลง แล้วดัดเป็นลอนเล็ก ๆ สัมผัสจะดีมากกว่านี้แน่นอน

หลินเหราเห็นนางนิ่งเงียบไม่พูด จึงเอ่ยปากถามว่า “เส้นผมนุ่มแล้วไม่ดีหรือ?”

ผมยาวก็ผมยาวสิ ถึงอย่างไรความรู้สึกจากการสัมผัสขนของเจ้าสุนัขโกลเด้นก็ไม่ด้อยไปกว่าสุนัขพันธุ์เล็กที่ขนหยิกเลย

นางสระไปพลางลูบไปพลาง นึกถึงตรงนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ “นุ่มก็ดี ลูบแล้วรู้สึกสบายยิ่งนัก”

หลินเหราตอบ “อื้อ” อีกครั้ง เขาผู้ซึ่งคล้อยตามอย่างเชื่อฟังได้ยากนัก แต่กลับปล่อยให้เหยาซูเล่นผมของตนเอง

หญิงสาวใช้ผงสมุนไพรจ้าวเจี่ยวนวดคลึงบนเรือนผมของหลินเหราอย่างละเอียดหนึ่งรอบ จากนั้นให้เขาจับผมของตัวเอง และเปลี่ยนน้ำล้างที่มีอุณหภูมิเหมาะสมหนึ่งอ่าง เริ่มล้างฟองบนศีรษะของเขา

นางล้างพลางนึกถึงเรื่องทรงผมของหลินเหรา

หากหลินเหราอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน ทรงผมที่เหมาะสมที่สุดของเขาก็คือสกินเฮด

สันจมูกที่โด่งสูง เบ้าตาที่ลึกโปน แม้แต่หน้าผากก็ยังกว้างจนสามารถตีได้ครบทั้งสิบนิ้ว ประกอบกับโครงหน้าที่มีริ้วรอยอย่างชัดเจน ถ้าตัดทรงสกินเฮดจริง ๆ เกรงว่าคงดึงดูดความสนใจของพวกสาวน้อยได้ในแวบแรก

น่าเสียดายที่ตอนนี้ต่อให้หน้าตาดีเพียงใด ครั้นมัดผมก็เห็นได้แค่เพียงแค่ด้านหลังศีรษะสีดำขลับของเขา

เหยาซูนึกถึงใบหน้านั้นของหลินเหราขึ้นมาฉับพลัน จึงเร่งมือให้เร็วขึ้น

ความคิดของนางและหลินเหราตรงข้ามกัน

หากเป็นไปได้เขาจะยอมให้เหยาซูสระผมให้เขาทุกเช้าเลยทีเดียว

…………………………………………………………………………………………………………..

[1] ผงสมุนไพรจ้าวเจี่ยว ทำจากฝักจ้าวเจี่ยว สามารถทำเป็นสบู่ล้างตัวและสระผมได้

สารจากผู้แปล

นี่สินะมุมละมุนของอาเหราที่ใคร ๆ ต่างก็ไม่เคยเห็น

ไหหม่า(海馬)