บทที่ 172 นางคงหน้าแดงจนหายใจไม่ออกแน่

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 172 นางคงหน้าแดงจนหายใจไม่ออกแน่

เพื่อยื้อเวลาแห่งความสุขที่หาได้ยากยิ่งนี้ให้ได้นานที่สุด หลินเหราทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อาซู เจ้าสระผมของเจ้าอย่างไร?”

เหยาซูยังคงคิดฟุ้งซ่าน ครั้นได้ยินพลันนิ่งงัน “หือ? ผมของข้า ข้าก็สระไปพร้อมกับอาบน้ำเลยน่ะสิ”

นางไม่เข้าใจว่าหลินเหราจะถามทำไม แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองมักจะอาบน้ำในห้องว่างอีกห้องเสมอ จึงเป็นเรื่องปกติที่หลินเหราจะไม่รู้

เพื่อไม่ให้หัวข้อสนทนาเลยเถิดไปอีกทิศทางหนึ่ง นางจึงรีบเบี่ยงเบนทันที “ท่านเห็นน้ำที่เททิ้งหลังจากล้างรอบแรกไหม ในนั้นมันสกปรกมากใช่หรือไม่? คาดว่าหลังจากล้างผมเสร็จ กลิ่นคาวเลือดก็คงไม่มีเหลือแล้ว”

หลินเหราตอบ “อื้อ” หนึ่งครั้ง และไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ

ครั้นเห็นเขาไม่ได้มีความคิดในทำนองจะอาบน้ำร่วมกัน ในใจของเหยาซูก็ตำหนิตัวเองอยู่ครู่หนึ่งว่าตัวเองกำลังปรักปรำคนที่ซื่อสัตย์

หญิงสาวพูดอีกว่า “หากวันหน้าท่านมีเวลาและไม่รังเกียจกันละก็ ให้ข้าสระผมให้ท่านก็ได้ แบบนี้จะได้ผ่อนคลายด้วย”

ชายหนุ่มตอบรับ “หากมีเวลา ข้าไม่รังเกียจหรอก”

พูดพลางชะล้างเส้นผมจนสะอาด เหยาซูใช้ผ้าแห้งเช็ดน้ำหนึ่งครั้ง จากนั้นก็โพกศีรษะให้เขาเหมือนกับอาจื้อ ด้วยการใช้ผ้าพันศีรษะของหลินเหรา

เพียงแต่ผมของชายหนุ่มทั้งยาวทั้งหนา ลองพันถึงสองครั้ง ก็เกือบจะพันเอาไว้ไม่อยู่

หลังจากม้วนพันเรียบร้อยแล้ว เหยาซูก็ถอนหายใจอย่างผ่อนคลายก่อนจะยิ้มและพูดว่า “เรียบร้อย”

หลินเหราเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่มีเส้นผมลงมาปรกหน้าให้เห็น

คิ้วทรงดาบของเขาดูเข้ากันอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้เบ้าตาที่ลึกโปน ดวงตาที่เย็นยะเยือกดุจดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้นคู่นั้นถูกแสงแดดสาดส่อง พาให้รู้สึกอบอุ่นไม่น้อย

ครั้นเห็นเหยาซูมองตนอย่างจับจ้องก็ถึงกับพูดไม่ออก หลินเหราจึงอดถามนางไม่ได้ว่า “ทำไม? มีอะไรติดหน้าข้าหรือ?”

เศษผงสีเหลืองที่เปื้อนทั้งสองข้างจมูกเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าถูกเขาเช็ดออกไปตั้งแต่เมื่อใด เหยาซูจึงได้หลุดหัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่มองเฉย ๆ ”

ผ้าขนหนูที่พันอยู่บนศีรษะของหลินเหรา กอปรกับสีหน้าที่เย็นยะเยือกต่างถูกบ้านหลังนี้ชะล้างจนสะอาดเกลี้ยง ไม่เห็นจะเหมือนกับสิ่งที่ผู้อื่นหวาดกลัวสักนิด

เหยาซูมองพิจารณาพลางเอ่ยถามเขาอย่างแปลกใจ “ได้ยินพี่ใหญ่เจิ้งอันบอกว่าท่านเคยขู่เด็กจนร้องไห้กลางถนน เป็นเรื่องจริงหรือ?”

หลินเหราพูดด้วยเสียงราบเรียบ “มีเด็กผู้ชายห้าหกคนร้องไห้จริง แต่ไม่ได้เพราะถูกข้าขู่จนร้องไห้”

เหยาซูซักถามต่อ “ท่านไม่ได้ขู่ แล้วเด็กพวกนั้นร้องไห้ทำไมกัน?”

หลินเหราเองก็ไม่รู้ “บางทีอาจจะร้องไห้เพราะเจ็บก็ได้”

เหยาซูแสดงสีหน้าตื่นตกใจจนไม่อาจปิดบังได้ “ท่านตีเขารึ?”

ชายหนุ่มเอ่ยอย่างจนปัญญา “อะไรกันเล่า ข้าอยู่ของข้าดี ๆ จะไปตีผู้อื่นได้อย่างไร? เด็กผู้ชายคนนั้นเดินไม่ดูตาม้าตาเรือก็เลยชนข้าเข้าต่างหาก แล้วบังเอิญมาชนขาของข้าพอดี พอเงยหน้าก็ร้องโฮเลย”

เจิ้งอันเอ่ยเหมือนเรื่องขบขัน มีอยู่วันหนึ่งพวกเขากลับจากค่ายใหญ่ ระหว่างทางนั้นไม่สะดวกขี่ม้าเพราะคนพลุกพล่านเกินไป ทำได้แค่ต้องเดินเท้า หลินเหราผู้ซึ่งมีใบหน้าบึ้งตึงท่าทางดุร้ายนั้นได้สร้างความตกใจให้เด็กจนร้องไห้ไปคนหนึ่ง

ทั้งสองคน คนหนึ่งก็กลัวจนร้องไห้ คนหนึ่งก็ชนขาของเขาจนร้องไห้ เหยาซูรู้สึกว่าอาจจะเป็นทั้งสองสาเหตุก็ได้

นางจึงถามอีกว่า “หลังจากเด็กคนนั้นชนท่านแล้ว ท่านพูดอะไรอีกหรือไม่?”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ข้าแค่มอบเขาวูบหนึ่ง ยังไม่ได้ทันพูดอะไรเลย”

เหยาซูครุ่นคิดและพูดว่า “พวกเขาบอกว่าปกติแล้วใบหน้าที่บึ้งตึงของท่านก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่ข้ากลับไม่ได้รู้สึกอะไร หรือเพราะข้ากล้าหาญชาญชัยเกินไป?”

นางนั่งอาบแสงแดดอยู่บนม้านั่งด้วยความเกียจคร้าน ก่อนจะพูดกับหลินเหราแก้เขิน ทั้งยังสงสัยว่าใบหน้าที่ยิ้มยากของหลินเหรา จะมีรอยยิ้มในสถานการณ์ใดได้บ้าง

หลินเหรานั่งอยู่ข้างกายโดยไม่พูดสิ่งใด

ครั้นเห็นชายหนุ่มไม่พูดสิ่งใด เหยาซูก็อดหยอกล้อเขาไม่ได้ “ขอถามเจ้าหน่อย ข้ากล้าหาญชาญชัยเกินไปใช่หรือไม่?”

หลินเหราไม่รู้จะตอบอย่างไร

หากพูดว่ากล้าหาญเกินไป เห็นได้ชัดว่านิสัยของเหยาซูจะต้องสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายมานั่งร้องไห้กลางดึกเป็นแน่ แต่หากเขาบอกว่านางขี้ขลาด กลับไม่เหมือน…

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ไฉนนางถึงอยากได้คำตอบตามความเป็นจริงละ เห็นได้ชัดว่าต้องการให้เขาพูดในสิ่งที่ตนกำลังคิด

หลังจากที่เข้าใจเรื่องนี้แล้ว หลินเหราก็เอ่ยปากพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้ากล้าหาญหรือไม่กล้าหาญนั้นข้าไม่พูดดีกว่า ข้ารู้แค่ว่าไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร สำหรับข้าล้วนดีทั้งสิ้น”

เห็นได้ชัดว่าเป็นการคุยกันสบาย ๆ แต่เหยาซูกลับถูกคำตอบที่หวานหยดนี้โจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว

นางรู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องการปลอบใจให้ตนเองดีใจอย่างชัดเจน แต่กลับอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ก่อนหน้านั้นเจ้าบอกว่าอยากเรียนรู้จากพี่รองให้มากขึ้น อยากเรียนรู้เรื่องเหล่านี้หรือ?”

หลินเหราไม่พยักหน้าแต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งยังมองมายังเหยาซูโดยไม่พูดสิ่งใด

หญิงสาวรู้สึกว่าหลินเหรามีใบหน้าอันหล่อเหลาชวนต้องตาตรึงใจ แต่เวลาที่จ้องนานเกินไป คนที่เขินอายเป็นคนแรกสุดก็คือตัวนางเอง เหยาซูเมินหน้าเล็กหน่อยก่อนจะพูดกับหลินเหราว่า “เอาล่ะ ผ้าคงดูดซับน้ำไปแล้ว ถอดผ้าที่พันออกเถอะ ตากแดดสักหน่อยเส้นผมจะได้แห้งไวขึ้น”

ชายหนุ่มได้ปล่อยผมสยายลงมา กลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้จาง ๆ จากในผงสมุนไพรจ้าวเจี่ยว ประกอบกับน้ำที่เปียกชุ่มได้ปลดปล่อยออกมาทั้งหมดในคราวเดียว พากลิ่นล่องลอยไปแตะปลายจมูกของเหยาซู

หญิงสาวเพิ่งพบว่าตัวเองและชายหนุ่มนั้นอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน

เหยาซูอยากจะหลบหลีกเล็กน้อย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาคือสามีของตัวเอง ใกล้อีกสักหน่อยจะเป็นอะไรไป? มีอะไรต้องหลบหลีกด้วย?

คิดได้เช่นนี้ หญิงสาวก็ทำในสิ่งที่ไม่ได้ยับยั้งชั่งใจด้วยการยกมือขึ้นมาเช็ดผมให้หลินเหรา และพูดอย่างจริงจังว่า “ปล่อยสยายไว้แบบนี้เถอะ ข้าจะไปหยิบหวีมาหวีผมให้ท่าน”

ขณะพูดนางก็เก็บนิ้วที่ลูบไล้ใบหน้าด้านข้างของหลินเหราโดยไม่ทันระวังตัวกลับมา จากนั้นก็วิ่งกลับเข้าห้องนอนทันควัน

ตอนนี้นางยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกจากปลายนิ้วอันอ่อนแอของตัวเองที่ลูบใบหน้าของเขาโดยไม่ทันระวัง แต่กลับทำให้หลินเหราเหม่อลอยไปชั่วเสี้ยวนาทีหนึ่ง

เขาอยากตามนางเข้าไป ทว่าต้องข่มตัวเองไว้และนั่งรอหญิงสาวมาหวีผมอยู่ที่เดิม

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ในลานบ้านกว่าครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งผมของหลินเหราแห้งขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นอาจื้อและอาซือกลับมา

พวกเขาไม่ค่อยได้พูดคุยเรื่อยเปื่อยแบบนี้สักเท่าไร คุยกันสารพัดเรื่อง นึกเรื่องไหนได้ก็คุยเรื่องนั้น แต่มันกลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากทีเดียว

ชายหนุ่มมีสีหน้าผ่อนคลายลงมากจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เหยาซูสังเกตเห็นความรู้สึกในแววตาของเขาและพูดว่า “ไปพักผ่อนในห้องสักหน่อยเถอะ ซานเป่าเพิ่งหลับไป ให้พวกเจ้าสองพ่อลูกนอนอีกด้านน่าสนุกไม่น้อย”

หลินเหรากลับเข้าไปในห้องนอน ส่วนเหยาซูวางอ่างน้ำในลานบ้านไว้ที่เดิมแล้วค่อยเข้าไปในห้อง

ชายหนุ่มถอดเสื้อตัวนอกออก ตั้งใจจะขึ้นเตียง เผยให้เห็นเรือนร่างท่อนบนที่แท้จริงของเขา

เหยาซูกวาดตามองปราดหนึ่ง แต่เมื่อหางตากลับชำเลืองไปเห็นลายเส้นบนหน้าท้องของเขา ก็พลันหน้าแดงก่ำทันใด

ครั้นหลินเหราหันกลับมา เหยาซูก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ข้าคิดว่าท่านนอนแล้ว…แล้วเหตุใดไม่ใส่เสื้อ?”

หญิงสาวหันกลับไป ไม่เห็นสีหน้าของชายหนุ่ม ได้ยินเพียงเสียงที่ค่อนข้างทุ้มต่ำของเขา ตั้งใจกดเสียงให้ต่ำเหมือนกับกลัวว่าซานเป่าจะสะดุ้งตื่น “สกปรก ในจวนผู้ตรวจการแม้แต่เสื้อตัวนอกก็ยังต้องเปลี่ยนเลย”

เหยาซูไม่ได้คิดอะไรมากนัก นางเดินไปหยิบเสื้อจงอีสีขาวที่สะอาดสะอ้านตัวหนึ่งออกมาจากตู้ เดินมายังหน้าเตียงและยื่นให้หลินเหรา “เปลี่ยนเสียแล้วค่อยนอน นอนหนาวได้แต่อย่าแข็งตายก็พอ”

หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร

ตอนนี้อากาศค่อย ๆ อุ่นขึ้นแล้ว เมื่อครู่อาจเพราะอาบน้ำต้มก็ได้ อีกทั้งบนเตียงก็ยังอุ่นอีก แม้ว่าหลินเหราจะนอนเปลือยกายไม่ห่มผ้าก็ไม่มีทางแข็งตาย

หลินเหรากลับไม่พูดอะไร จากนั้นก็รับเสื้อจงอีจากมือของเหยาซูและวางมันลงด้านข้าง

ครั้นเห็นเขาไม่ใส่ใจ เหยาซูจึงอดมองเขาแวบหนึ่งไม่ได้

ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำสั้น ๆ ว่า “ร้อน”

เข้าใจได้ที่เขาบอกว่าใส่ชุดจงอีนอนแล้วร้อน แต่เหยาซูกลับรู้สึกว่าหลินเหรากำลังพูดให้ตนเองหน้าร้อนผ่าวอย่างไรอย่างนั้น

หญิงสาวกระแอมเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะพยักหน้า “ไม่ใส่ก็ไม่ใส่”

พูดจบ เหยาซูก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน

หลินเหราเห็นนางไม่ขยับไม่พูดไม่จา เดิมทีเขาที่กำลังขึ้นเตียงกลับหยุดชะงักลง

เขาพลันพูดประโยคหนึ่งออกมา “ในเมื่อไม่มีอะไร เจ้าขึ้นมาพักผ่อนสักหน่อยดีกว่า เมื่อช่วงเที่ยงวันก็อยู่กับพี่รองที่นั้นทั้งวันแล้ว”

เหยาซูตอบอย่างสับสนมึนงง กระทั่งตอบเสร็จก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองตอบอะไรออกไป

แต่ก็แค่งีบหลับสักตื่น ดูท่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…

หญิงสาวเสียใจที่หาเหตุผลมาอ้างไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง ทำได้แค่พูดว่า “ข้าจะไปปิดประตูลานบ้านสักหน่อย”

พูดจบก็เดินออกไป ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับหลินเหราต่อไป

ถ้าขืนเบิกตามองเขาถอดเสื้อผ้าอยู่บนเตียง เกรงว่านางคงหน้าแดงจนหายใจไม่ออกเป็นแน่

นางยังไม่ได้สลักกลอน หลังจากปิดประตูเรียบร้อยแล้ว เหยาซูก็ตั้งใจอยู่ในลานบ้านต่ออีกครู่หนึ่ง จึงค่อยกลับเข้าห้องนอนไป

………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เดี๋ยวนะอาเหรา นี่กำลังอ่อยเมียแบบหน้านิ่งอยู่ใช่ไหมเนี่ย

ไหหม่า(海馬)