หวังซีเบิกตากว้างจ้องพี่ชาย ไม่รู้ว่าหวังเฉินหมายความว่าอย่างไร
หวังเฉินกลับมองน้องสาวแล้วได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นลูบศีรษะน้องสาวอย่างอ่อนโยน กล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าดูตัวเจ้า ข้าบอกว่าถูกใจคนผู้หนึ่งอยากให้เจ้าไปดูตัวสักหน่อย เจ้ายังลังเลกว่าครึ่งค่อนวัน หากเป็นเมื่อก่อน เจ้าก็คงจะกระโดดโลดเต้นตอบตกลงไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังลังเลเรื่องของเฉินลั่วอยู่ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องรู้สึกเสียใจภายหลังไปตลอดชีวิต ประจวบเหมาะกับที่ข้ามีความสามารถเลือกแทนเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ทำตามที่หัวใจเจ้าปรารถนาเถอะ…
…เรื่องที่บ้าน เจ้าไม่ต้องกังวล ต่อให้ครอบครัวของพวกเราดองกับจวนจ่างกงจู่ แต่สุดท้ายแล้วจ่างกงจู่ก็มิใช่คนในราชสำนัก ครอบครัวของพวกเราก็ไม่ได้คิดจะมาทำการค้าถึงภาคเหนืออย่างจริงจัง ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ หากครอบครัวพวกเรากินรวบหมด แล้วผู้อื่นจะทำอย่างไร…
…เจ้าบอกข้ามาตามจริงเถอะ!…
…หากไม่ต้องพิจารณาเรื่องภูมิหลังครอบครัวของเฉินลั่ว เจ้ายินดีกับการทาบทามครั้งนี้หรือไม่”
ทันทีที่ถ้อยคำของพี่ชายจบลง ในหัวของหวังซีมีภาพนางกับเฉินลั่วเดินเคียงไหล่กันอยู่ในสวนดอกไม้ลอยออกมา
นางอดเม้มปากยิ้มไม่ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงก้มหน้าลง พึมพำกล่าวว่า “หากไม่มีเรื่องอื่น แต่งงานกันก็ดีเจ้าค่ะ แต่การแต่งงานนั้นมิใช่ว่าเป็นการดองเพื่อประโยชน์ของทั้งสองครอบครัวหรอกหรือ จะไม่พิจารณาเรื่องของทั้งสองครอบครัวได้อย่างไร…”
หวังเฉินโบกมือ กล่าวตัดบทคำพูดของหวังซียิ้มๆ ว่า “การดองเพื่อประโยชน์ของทั้งสองครอบครัวนั้นเป็นเรื่องของข้ากับพี่รองของเจ้า เจ้านี้หนา ใช้ชีวิตตามที่ใจเจ้าปรารถนาเถอะ! ข้าเชื่อว่าต่อให้ท่านปู่กับท่านย่ารู้เรื่องแล้ว ก็ไม่มีทางว่าอะไรอย่างแน่นอน”
หวังซีรู้ว่าพี่ชายใหญ่คอยปกป้องนางอยู่ตลอด
ขอบตาของนางรื้นชื้นขึ้นมา
หวังเฉินกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาละ! อย่ามัวแต่หลั่งน้ำถั่วทองอยู่ที่นี่เลย ฟังจากน้ำเสียงของเฉินลั่วผู้นั้นแล้ว อีกสองวันจ่างกงจู่น่าจะเชิญพี่ชายของเจ้าไปร่วมงานเลี้ยง ข้ารีบเร่งเดินทาง แม้แต่ชุดสำหรับเปลี่ยนอาบน้ำยังไม่ได้เอามาด้วย เจ้าคงไม่อาจปล่อยให้พี่ชายของเจ้าสวมชุดนี้ไปร่วมงานเลี้ยงของจ่างกงจู่หรอกกระมัง หากเจ้ามีเวลาซาบซึ้งใจ ไม่สู้ใช้สมองไปหาวิธีตัดชุดให้พี่ชายสักตัวดีกว่า…
…อีกอย่าง หากเจ้าได้แต่งมาอยู่จิงเฉิงจริงๆ อย่างไรก็ต้องซื้อร้านติดถนนและที่นาที่จิงเฉิงให้เจ้าสักสองสามที่สำหรับเป็นสินเจ้าสาว ร้านค้ากับที่นาของจิงเฉิงหาซือไม่ง่ายมาโดยตลอด เกรงว่าคงต้องเริ่มหาดูตั้งแต่ตอนนี้แล้ว เจ้าเองมาอยู่จิงเฉิงได้ระยะหนึ่งแล้ว ทางหลงจู๊ใหญ่ก็ยุ่งมาก เรื่องนี้ข้าว่าเจ้าคงต้องจัดการด้วยตัวเองแล้ว ลองไปดูว่าจิงเฉิงมีสถานที่ไหนเหมาะสมบ้าง…
…โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงจะใช้การได้ ต่อให้แพงสักหน่อยก็ไม่เป็นไร…
…คงไม่อาจปล่อยให้เจ้าอยู่ที่จวนหย่งเฉิงไปตลอดหรอกกระมัง…
…เรื่องของเจ้าในจวนข้าก็พอจะได้ยินมาบ้าง จวนพวกเขาหาได้มีกฎระเบียบอะไรมากมาย ปกครองเรือนก็ไม่เข้มงวด คงต้องส่งข้ารับใช้จากสู่จงมาให้เจ้าส่วนหนึ่ง แล้วก็หวังสี่อีกคน เกรงว่าคงไม่อาจยกให้หลงจู๊ใหญ่แล้ว…”
หวังเฉินค่อยๆ ไปพูดไปทีเรื่อง รู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่ห่วงเลย
หวังซีกลับกอดแขนพี่ชายเอาไว้อย่างซาบซึ้งใจ ยู่ปากกล่าวว่า “พี่ชายไม่ต้องห่วงเรื่องของข้า ท่านปู่กับท่านย่ามอบเงินส่วนตัวให้ข้าไว้เป็นจำนวนมาก ยังมีท่านพ่ออีก ได้เตรียมสินเจ้าสาวให้ข้าไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว บ้านพวกเขาจะเอาหรือไม่ก็ตามใจ หากไม่เอาก็ยิ่งดี ถึงเวลาข้าจะมอบให้หลานชายกับหลานสาว”
ยังกลัวพี่ชายกับหลานชายไม่เลี้ยงนางอีกหรือ
หวังเฉินหัวเราะเสียงดังลั่น
สิ่งที่เขาต้องการคือหวังซีที่มีชีวิตชีวาแบบนี้ ไม่ว่าแต่งกับใคร หรือว่าแต่งไปอยู่ตระกูลเช่นไร ก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม อยากแต่งก็แต่ง อยากหย่าถึงหย่า นี่ถึงจะเป็นหัวใจหลักของการคงสถานะแต่งงานให้มั่นคงได้อย่างแท้จริง
“ได้!” เขากล่าวเสียงดัง “ต่อไปเจ้าต้องอยู่จิงเฉิงถาวร ซื้อร้านสักสองสามร้านมาดูแลถือเป็นการฆ่าเวลาให้ตัวเองก็ดี แต่ถ้าไม่ชอบจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจแต่งงาน”
ทั้งหมดล้วนเป็นเห็นแก่ความสุขของหวังซีเป็นหลัก
หวังซีนึกถึงเรื่องที่ตัวเองตั้งใจจะร่วมทำการค้ากับคุณหนูพานขึ้นมา รีบขอคำชี้แนะจากพี่ชายว่า “ท่านว่าพวกข้าทำการค้าอะไรดีเจ้าคะ”
โยนเรื่องทาบทามของเฉินลั่วทิ้งไว้ข้างหลังทันที
หวังเฉินลอบพยักหน้า เขาไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของน้องสาวโดยตรง แต่ให้คำแนะนำแทน กล่าวว่า “แล้วเดิมทีเจ้าตั้งใจว่าจะทำการค้าอะไร เจ้าเป็นเจ้าของหลักหรือคุณหนูพานเป็นเจ้าของหลัก? คุณหนูพานมีข้อคิดเห็นอะไรหรือไม่ เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจหรือสนใจการค้าด้านไหนที่สุด?”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ายังไม่ทันได้หารือรายละเอียดกับคุณหนูพานเลยเจ้าค่ะ นางเพิ่งจะออกเรือนไปเองมิใช่หรือ บางเรื่องยังไม่เข้าที่เข้าทาง พวกข้าตั้งใจว่ารอให้นางออกเรือนไปสักสามเดือนแล้วค่อยคุยกันอีกที พี่ชายก็รู้นิสัยของข้าดี ข้าไม่ชอบเฝ้าอยู่ในร้าน แต่เมื่อก่อนท่านก็เคยบอกข้าว่า ทำการค้าหาใช่เรื่องง่าย ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไม่ว่าหลงจู๊จะมีความสามารถเพียงใด ก็ต้องหมั่นทำให้หลงจู๊รู้สึกว่าเจ้ารู้เรื่องในร้านเป็นอย่างดี…
…ข้าจึงคิดว่าให้คุณหนูพานเป็นเจ้าของหลักดีกว่า แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูพานจะตกลงหรือไม่…
…ข้าคิดว่าหากข้าแต่งงาน เป็นแม่คนแล้ว ย่อมต้องอยากใช้เวลาอยู่กับลูกให้มาก คุณหนูพานเองก็อาจไม่มีเวลาเหมือนกัน…
…ก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจว่าจะเปิดร้านขายเครื่องประดับศีรษะ ไม่ต้องใหญ่แล้วก็ไม่ต้องแพงมาก ให้คนทั่วไปพอจะซื้อไหวก็เป็นอันใช้ได้ แต่เรื่องรูปแบบต้องเป็นแบบใหม่สักหน่อย…
…เกรงว่าคงต้องเชิญหลงจู๊และช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญการทำเครื่องประดับศีรษะมาสักคนถึงจะใช้การได้”
นางพูดความในใจกับพี่ชายด้วยเสียงอบอุ่นอ่อนโยน สองพี่น้องคุยกันไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาจุดโคมยามเย็น
หวังเฉินเดินทางไปกลับอย่างรีบเร่ง ความจริงเขาเหนื่อยมากแล้ว แต่ที่ยังอยู่ได้เพราะเรื่องด่วนยังไม่ได้รับการแก้ไข บัดนี้ตัดสินใจได้แล้ว อารมณ์ก็ผ่อนคลายลงมา เขาจึงยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้น หวังซีเห็นแล้วก็รีบตัดจบบทสนทนา ให้พี่ชายรีบกลับไปพักผ่อน ยังกล่าวด้วยว่า “ด้านหย่งเฉิงโหว ก็ไม่จำเป็นต้องรีบในเวลานี้ ท่านพี่พักผ่อนหายเหนื่อยแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“เจ้าเองก็เข้านอนแต่หัวค่ำ” หวังเฉินพยักหน้าพลางกำชับน้องสาวอย่างห่วงใย แต่เมื่อเห็นท่าทางใจกว้างดุจมหาสมุทรของน้องสาวแล้ว เขาก็กลืนคำกำชับมากมายที่มารออยู่ที่ริมฝากเหล่านั้นลงไป
นี่ถึงจะเรียกว่าเป็นน้ำไร้คลื่นจิตใจสงบราบเรียบที่แท้จริง เช่นนี้ถึงจะไม่เสียเปรียบ!
หวังเฉินเดินจากไปด้วยรอยยิ้มแย้ม
หวังซียังคิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในใจ
นางรู้ว่าตัวเองจะต้องหาใครสักคนที่ตัวเองชอบมาแต่งงานด้วยได้ แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือเมื่อถึงเวลา นางจะได้แต่งกับเฉินลั่ว นอกจากนี้เฉินลั่วยังเป็นบุรุษที่หน้าตาถูกใจนางที่สุดตั้งแต่ที่นางเคยเห็นมาอีกด้วย
เช่นนี้แล้ว อนาคตเมื่อพวกเขามีลูก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องหน้าตาของคนรุ่นหลังแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเฉินลั่วผู้นี้ยังเป็นคนน่าสนใจและน่าขบขันมากอีกด้วย
หวังซีนึกถึงภาพที่เขามาขอกินข้าวกับนางที่นี่แล้วอดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้
ไป๋กั่วกับไป๋จื่อมองดูอยู่ไกลๆ กระซิบกระซาบกันว่า “ดูทีเรื่องของคุณหนูใหญ่กับใต้เท้าเฉินคงสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว”
ไป๋จื่อกล่าว “คุณชายใหญ่ลงมือทั้งที มีเรื่องอะไรที่ทำไม่สำเร็จบ้าง”
หวังหมัวมัวไม่รู้ว่าหวังเฉินคิดอะไร แต่หวังเฉินเป็นคนเก่งกาจมาโดยตลอด มีความคิดและความสามารถมาตั้งแต่เด็กแล้ว หวังหมัวมัวเชื่อใจเขาไม่ต่างจากที่เชื่อใจปู่ของหวังซี ในเมื่อหวังเฉินตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าในใจของนางจะมีความคิดเช่นไร ก็พร้อมที่จะเก็บคืนไปทั้งหมด และตั้งหน้าตั้งตาทำตามที่หวังเฉินคิดเอาไว้
พอนางได้ยินว่าพรุ่งนี้หวังซีจะออกไปตัดชุดให้หวังเฉิน ก็รีบไปไปติดต่อรถม้าที่โรงม้าของจวน
ด้านฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งคิดกลับยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม นางกระซิบกระซาบกับซือหมัวมัวว่า “เจ้าว่า นี่หากอาซีแต่งเข้าไปด้วยอีกคน มิเท่ากับว่าพวกนางสองพี่น้องกลายเป็นคู่สะใภ้กันแล้วหรอกหรือ หากเฉินอิงกับเฉินลั่วบาดหมางกันด้วยเรื่องช่วงชิงตำแหน่งซื่อจื่อ คนที่ต้องลำบากใจก็คงหนีไม่พ้นซือจูกับหวังซีสองพี่น้อง”
มุมปากของซือหมัวมัวกระตุกไม่หยุด รู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดมากไปแล้ว
ถ้าเฉินอิงกับเฉินลั่วแย่งชิงตำแหน่งซื่อจื่อกัน เกรงว่าซือจูกับหวังซีมีแต่จะเดียดฉันท์ที่ตัวเองไม่ลงมือให้รุนแรงมากพอมากกว่า มิใช่มาสนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวน้องสาว
ส่วนเฉินลั่วเมื่อออกจากร้านของตระกูลหวังแล้ว ก็เร่งตรงไปที่จวนจ่างกงจู่ทันที
จ่างกงจู่ไปเป็นแขกที่จวนเจียงชวนป๋อ
เฉินลั่วแปลกใจ ถามหัวหน้าผู้ดูแลจวนจ่างกงจู่ว่า “ดูเหมือนว่าช่วงนี้มารดาข้าจะหมั่นไปจวนเจียงชวนป๋อยิ่งนัก”
ผู้ดูแลจวนคนนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ไม่ถือว่าเป็นเช่นนั้น! ที่ผ่านมาจ่างกงจู่ก็ค่อนข้างชอบไปเยี่ยมเยียนจวนเจียงชวนป๋อบ่อยครั้ง เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้ถาม จ่างกงจู่เองก็ไม่ได้พูดถึงเท่านั้นขอรับ”
จ่างกงจู่เป็นคนสบายๆ เวลาคบสหายจะเป็นใครก็ได้ขอเพียงเป็นคนที่นางถูกชะตา คบค้ากับใครก็ดูความสนใจของตัวเองเป็นหลัก บางครั้งวิ่งไปบ้านผู้อื่นทุกวัน แต่บางคราวกลับไม่ไปเยือนบ้านใครเป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีเลยก็มี
เฉินลั่วเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ฝากฝังเอาไว้คำหนึ่งว่า “จ่างกงจู่กลับมาแล้วให้บอกด้วยว่าข้ามาหานาง” แล้วก็กลับศาลากวางร้องไป
คืนวันนั้นกว่าจ่างกงจู่จะกลับมาก็ค่อนข้างดึก ล่วงเลยยามจื่อ[1]ไปแล้ว พอได้ยินคำของผู้ดูแลจวน นางกล่าวกับชิงกูที่ปรนนิบัตินางล้างหน้าล้างตาว่า “มีอะไรค่อยคุยพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
เมื่อก่อนใช่ว่าจะไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน
เฉินลั่วเติบโตมาขนาดนี้ เวลามากกว่าครึ่งอาศัยอยู่ในวังหลวง นานๆ ทีถึงจะออกจากวัง บางครั้งยังหนีไปอยู่ที่ซอยลิ่วเถียวด้วย พวกเขาสองแม่ลูกหาได้เจอหน้ากันทุกวัน
ชิงกูขานรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” นำปิ่นที่จ่างกงจู่ถอดออกมาไปเก็บไว้ในกล่องทีละชิ้นๆ
จ่างกงจู่มองอัญมณีที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่บนปิ่นปักผมภายใต้แสงตะเกียงแล้วพลันนึกถึงหวังซีขึ้นมา อดกล่าวไม่ได้ว่า “หากมอบของขวัญพบหน้าให้สะใภ้คนใหม่ อย่างไรก็ต้องมีเครื่องประดับศีรษะสองชุดกระมัง ไปเชิญคนให้เริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้จะทันหรือเปล่า หรือไม่ก็ไปขอจากฮองเฮาเหนียงเหนียงมาสักหน่อย?”
แม้นกล่าวว่าของจากวังหลวงล้วนเป็นของมีลำดับขั้น คนทั่วไปไม่อาจใช้ได้ แต่ถ้าฮ่องเต้พระราชทานให้ ขอเพียงไม่มีตรามังกรให้เห็นเด่นชัดเกินไปก็ถือว่าใช้ได้
ชิงกูกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ท่านเสียดายสินเจ้าสาวของตัวเองกระมัง ท่านเองก็มีของดีไม่น้อยเลย!”
ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่ทับทิมรูปหัวใจที่ฝังอยู่บนปิ่นที่จ่างกงจู่สวมเมื่อครู่ก็ใหญ่เท่าไข่นกพิราบแล้ว ทั้งจิงเฉิงนี้มีไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
นี่กล่าวได้ตรงกับที่จ่างกงจู่คิดจริงๆ
มิใช่ว่านางเสียดายที่จะให้ แต่หากให้มอบของที่นางชื่นชอบเหล่านั้นไปหมด นางก็รู้สึกปวดใจจริงๆ
จ่างกงจู่อดกล่าวไม่ได้ว่า “ข้าหาได้มีบุตรชายคนที่สอง อย่างไรวันข้างหน้าของเหล่านี้ก็ต้องเป็นของพวกเขาทั้งหมดมิใช่หรือ ตอนนี้ข้าก็แค่ยืมใช้ไปก่อนชั่วคราวเท่านั้น หรือว่าแค่นี้ก็ไม่ได้”
ชิงกูเม้มปากหัวเราะไม่หยุด ชวนให้ทุกคนที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องพากันหัวเราะตามไปด้วย
ทว่ามีสาวใช้เด็กเดินเบามือเบาเท้าเข้ามารายงานว่าเฉินลั่วมาหา
จ่างกงจู่ตกใจอ้าปากกว้างจนยัดไข่ไก่เข้าไปได้ กว่าครู่ใหญ่ถึงได้ให้สาวใช้เด็กผู้นั้นเชิญเฉินลั่วเข้ามา ยังกระซิบกล่าวกับชิงกูว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว เขายังไม่นอนอีก? รอข้ากลับมาตลอดเลยหรือ”
ชิงกูกลับกังวลใจเล็กน้อย
วันนี้ฮ่องเต้กับฮองเฮามีปากเสียงกันครั้งใหญ่
คาดว่าฮองเฮาคงอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงสอบถามฮ่องเต้ไปตรงๆ ว่าตกลงคิดจะทำอันใดกันแน่ เหตุใดถึงประทานเงินให้ญาติผู้พี่ของหนิงผินมากมายขนาดนั้น ยังโยกย้ายเงินของกรมคลังไปอีก แล้วองค์ชายสี่กับองค์ชายหกไม่ใช่โอรสแท้ๆ ของฮ่องเต้หรอกหรือ
ฮ่องเต้อับอายจนเพลิงโทสะปะทุ นอกจากเตะฮองเฮาเหนียงเหนียงไปครั้งหนึ่งแล้ว ยังต้องการเรียกสำนักบุคคลที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่เข้าไป ประสงค์จะปลดฮองเฮาเหนียงเหนียงอีกด้วย
โชคดีที่ดึกมากแล้ว ฮ่องเต้ประทับอยู่ที่วังชั้นใน ประตูวังลงกลอนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะวุ่นวายเพียงใด
คงมิใช่ว่าคุณชายรองทราบเรื่องนี้แล้ว ก็เลยมาสอบถามจ่างกงจู่หรอกกระมัง
……………………………………………………..
[1] ยามจื่อ 23.00-01.00 นาฬิกา