ชิงกูไปต้อนรับเฉินลั่วด้วยหัวใจที่บีบรัดจนแน่น
เฉินลั่วคล้ายมีอะไรในใจจึงไม่ได้สนใจนางเท่าไรนัก หันมาพยักหน้าให้นางน้อยๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วก็เดินเข้าไปข้างใน
ชิงกูก้มหน้าลง เข้าไปในห้องชั้นในของจ่างกงจู่พร้อมกับเฉินลั่วด้วยความระมัดระวัง
จ่างกงจู่ถอดเครื่องประดับออกเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งอยู่หน้ากระจก ปล่อยให้สาวใช้เด็กหวีผมให้นางอย่างที่ทำทุกเช้าและเย็น
นางดูอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าแดงปลั่ง แววตากระจ่างใส เมื่อเห็นบุตรชายก็ยิ่งแย้มยิ้มออกมา ชี้เก้าอี้กระเบื้องเคลือบตัวกลมด้านข้างให้เขานั่งลง พร้อมกับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดึกป่านนี้แล้ว เจ้ามาได้อย่างไร มาหาข้ามีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”
เฉินลั่วมองใบหน้าของมารดาที่ยังคงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาดุจเดิมแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้กล่าวขึ้นอย่างไม่เป็นตัวเองเล็กน้อยว่า “คุณชายใหญ่ของตระกูลหวังมาถึงจิงเฉิงแล้ว ข้ากำลังคิดว่าพวกเราควรเชิญเขากินข้าวสักมื้อดีหรือไม่ แล้วก็ควรเชิญคนกลางมาสักคนดีหรือไม่…”
จ่างกงจู่โพล่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
นางคิดว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก
ที่แท้ก็อยากประจบเอาใจว่าที่พี่ภรรยานี่เอง!
เมื่อก่อนไม่มีทางที่บุตรชายของนางจะมานั่งรอนางกลับบ้านจนถึงกลางดึกก็ยังไม่หลับไม่นอนเช่นนี้
หากดึกดื่นป่านนี้แล้วยังรอนางอยู่ นั่นต้องเป็นเพราะนางเข้าวังแล้วมีเรื่องเกิดขึ้นในวังจึงต้องการมาขอข้อมูลจากนาง
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางพลันมีความคิดอยากถากถางบุตรชายขึ้นมาเล็กน้อย
นางจงใจขมวดคิ้วมุ่น กล่าวว่า “นี่ยังไม่ได้แลกเทียบอักษรแปดชะตากันเลย รีบเอาใจก่อนเช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง”
เฉินลั่วไม่แสดงออกทางสีหน้า ทว่าในใจรู้สึกร้อนรนเล็กน้อย
เขารู้ว่าแม่สามีกับสะใภ้ไม่มีทางสนิทชิดเชื้อเสมือนเป็นแม่ลูกจริงๆ มาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว และหากบุตรชายยังแสดงออกว่าให้ความสำคัญกับสะใภ้แต่ละเลยแม่สามีล่ะก็ สะใภ้ผู้นั้นก็ยิ่งทำตัวลำบากมากขึ้น เรื่องของเขากับหวังซียังจำเป็นต้องให้มารดาของเขาช่วยออกหน้าให้อยู่ หากเวลานี้เขาทำให้มารดามีอคติต่อหวังซี เช่นนั้นเขาคงไม่มีที่ให้ไปร้องไห้ด้วยจริงๆ แล้ว
เฉินลั่วรีบตอบทันทีว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ตัดสินใจกันเรียบร้อยแล้ว ก็อย่ากล่าวให้มากพิธีกันไปเลย อย่างไรก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งกระตือรือร้นกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อย พวกเราใจกว้างสักหน่อยก็แล้วกัน หากคนของตระกูลหวังเข้าหายาก ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที”
จ่างกงจู่เข้าใจบุตรชายของตัวเองเป็นที่สุด
หากเป็นการตัดสินใจทำจากการดูท่าทีของอีกฝ่ายก่อนจริงๆ คงไม่กระตือรือร้นขนาดนี้
เห็นได้ชัดว่าบุตรชายตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าตระกูลหวังจะมีท่าทีอย่างไร ก็จะทำตัวเป็นคนหน้าหนาเอาใจอย่างกระตือรือร้นอยู่ดี
บุตรชายของตัวเองนางย่อมรู้ดี หากบอกว่าให้ความสำคัญกับความรู้สึกเกินไปก็เห็นจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่คนที่ทำให้เขาให้ความสำคัญได้จะต้องเป็นคนที่ยินดียื่นมือออกมาให้ความช่วยเหลือเขาก่อน นี่งานแต่งระหว่างเขากับคุณหนูหวังยังไม่มีวี่แววเลย เขาก็มีท่าทียอมลงให้ขนาดนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับคุณหนูหวังผู้นั้นมากจริงๆ
นี่หากคุณหนูหวังแต่งเข้ามา ไม่รู้ว่าเจ้าลูกชายโง่เง่าของนางผู้นี้จะทำอะไรออกมาได้อีกบ้าง
นางไม่อยากให้บุตรชายของตัวเองก้มหัวเสมือนเป็นคนรับใช้ ปล่อยให้คุณหนูหวังขี่อยู่บนศีรษะออกคำสั่งเขา
จ่างกงจู่ขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง รู้สึกไม่ค่อยชอบใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางถาม “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
เฉินลั่วสัมผัสได้ว่ามารดาไม่ค่อยพอใจ แต่หวังเฉินเดินทางมาอย่างกะทันหันเกินไป ต่อให้เดิมทีเขามีแผนการแต่เวลานี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว ได้แต่ต้องทำใจดีเข้าสู้เพื่อหว่านล้อมมารดาเขาเท่านั้นแล้ว
“คงหาคนกลางมาสักคนก่อนกระมัง?” เขาพยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูสงบและเป็นปกติที่สุด “อย่างไรเสียต่อไปก็ต้องเชิญใครสักคนช่วยออกหน้ามาเจรจาเรื่องนี้ให้อยู่ดี จากนั้นค่อยจัดเลี้ยงรับรองคุณชายใหญ่ตระกูลหวังที่หอสายลมวสันต์สักครั้งหนึ่ง เขาเป็นพี่ชายคนโตของคุณหนูหวัง ค่อนข้างมีฝีมือและความสามารถ คนเช่นนี้คบค้ากันเอาไว้มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสียขอรับ”
สองครอบครัวเกี่ยวดองกันย่อมเกี่ยวพันถึงสตรีในเรือนชั้นใน และพ่อสื่อแม่สื่อก็ต้องเป็นคนมีคุณธรรม งานแต่งถึงจะมีเกียรติ ฉะนั้นก่อนที่จะเชิญพ่อสื่อแม่สื่ออย่างเป็นทางการ ก็มักจะเชิญผู้มีคุณธรรมสูงส่งที่ทั้งสองครอบครัวต่างไว้วางใจแล้วก็เป็นที่รู้จักโดยทั่วกันมาช่วยเจรจาให้ทั้งสองฝ่ายก่อน ซึ่งเรื่องที่จะเจรจามักประกอบไปด้วยเรื่องสินสอดจำนวนเท่าไร สินเจ้าสาวจำนวนเท่าใด และกำหนดวันมงคลสมรสเป็นวันที่อะไรเป็นต้น
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วรู้สึกว่าดีร้ายบุตรชายของตัวเองก็ยังไม่เสียสติถึงขั้นจะให้นางที่เป็นมารดาผู้นี้ไปประจบเอาใจตระกูลหวัง จึงพยักหน้าน้อยๆ อารมณ์ก็แจ่มใสตามขึ้นมา กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อน่าจะดีที่สุด แต่นางเป็นสตรีหม้าย ให้ทำเรื่องเช่นนี้คงไม่เหมาะ โหวฮูหยินจวนเซียงหยางโหวเหมาะสมมาก บิดามารดายังอยู่ครบ เบื้องบนมีพี่น้องชายหญิง เบื้องล่างมีหลานชายหลานสาว แต่ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาชวนให้คนรังเกียจเกินไป เมื่อใดที่เกี่ยวพันไปถึงครอบครัวพวกเขา เกรงว่าเรื่องมงคลของทั้งสองครอบครัวคงถูกโพนทะนาให้ทุกคนได้ทราบกันถ้วนทั่วแน่ อีกคนที่เหมาะสมก็เป็นนายหญิงเจ็ดของจวนชิงผิงโหว ข้าเห็นว่าไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าไม่เคยเห็นนางเป็นแม่สื่อให้ผู้ใดมาก่อนก็เท่านั้น ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่…”
จ่างกงจู่คิดคำนวณไปมาอยู่ตรงนั้น ก็ไม่เห็นว่ามีใครเหมาะสมสักคน
ความจริงเฉินลั่วมีตัวเลือกอยู่ในใจแต่เนิ่นๆ แล้ว ทว่าไม่อาจเสนอออกมาตรงๆ ได้ ด้วยกลัวมารดาของเขาจะล่วงรู้แผนการร้ายเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจเขา จึงปล่อยให้จ่างกงจู่คาดเดาไปมาก่อน จนกระทั่งจ่างกงจู่หาคนที่เหมาะสมไม่ได้แล้วจริงๆ เขาถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ข้าว่าเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าดีมากแล้วขอรับ นี่เป็นการเชิญคนมาช่วยเจรจา ขอเพียงเจรจาเก่งก็เป็นอันใช้ได้แล้ว หาใช่เชิญผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการเสียหน่อย!”
ผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการต่างหากถึงจะต้องพิถีพิถันเรื่องมีบิดามารดาอยู่ครบและมีบุตรชายหญิงพร้อมหน้า
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จ่างกงจู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้ารับ
เฉินลั่วจึงพูดถึงเรื่องงานเลี้ยงขึ้นมา “ท่านว่าเวลาใดถึงจะเหมาะสมขอรับ”
ความจริงควรเชิญมาที่บ้านถึงจะเป็นการแสดงความเคารพและให้เกียรติ แต่เรื่องมงคลระหว่างหวังซีกับเฉินลั่วยังไม่ได้มีการปรึกษาหารือกันอย่างเป็นทางการ เชิญมาที่บ้านจึงดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
จ่างกงจู่เองก็ไม่คิดจะฉุดแขนขาของบุตรชาย กล่าวว่า “ทำตามแผนการของเจ้าก็แล้วกัน”
เฉินลั่วโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เขาเคยปฏิสัมพันธ์กับหวังเฉินผู้นี้แล้ว ค้นพบว่าถึงแม้หวังเฉินไม่ใช่คนหน้าตาโดดเด่น แต่เป็นคนสุภาพอ่อนโยน อากัปกิริยางามสง่า พูดจามีอารมณ์ขันและเชาน์ปัญญา ขณะเดียวกันก็มีเนื้อหาสาระ เหตุที่หน้าตาเขาไม่โดดเด่นจึงดูไร้พิษสงไปด้วย ทำให้คนอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น จึงกลายเป็นจุดแข็งของเขาในการรับมือกับผู้คน กอปรกับเขาเป็นคนทำอะไรด้วยความเอาใจใส่และระมัดระวัง ซึ่งตรงกับลักษณะที่มารดาของเขาโปรดปรานพอดี เมื่อมารดาเขาได้เจอหวังเฉินแล้วจะต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อตระกูลหวังอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
งานแต่งของเขากับหวังซีก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่เขายืนกรานจะให้มารดาเขาออกหน้าจัดเลี้ยงรับรองหวังเฉินหลังจากที่เขาได้เจอหวังเฉินแล้ว
“เช่นนั้นก็ทำตามที่คุยกันก่อนหน้านี้ จัดเลี้ยงที่หอสายลมวสันต์ก็แล้วกันนะขอรับ” เฉินลั่วกล่าว “ข้าเองก็จะได้ไปเตรียมการแต่เนิ่นๆ อย่างช้าที่สุดก็พรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้ก็น่าจะได้เรื่องแน่ชัดแล้ว”
นี่หมายความว่าให้จ่างกงจู่จัดสรรเวลาให้ว่างเอาไว้
จ่างกงจู่พยักหน้า คุยเรื่องสัพเพเหระกับเฉินลั่วอีกสองสามประโยค ประจวบเหมาะกับที่สาวใช้หวีผมให้นางเสร็จแล้ว จึงยกน้ำชาขึ้นส่งแขก ให้ชิงกูไปส่งเขาที่ประตูเช่นเดิม
ชุ่ยกูที่เป็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในอีกท่านหนึ่งของนางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อความสุขของคุณชายรองได้ ท่านก็ตามใจเขาเถิดเจ้าค่ะ ภายหน้าเขาจะต้องกตัญญูต่อท่านมากขึ้นอย่างแน่นอน”
จ่างกจู่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะอยากให้เขากตัญญูไปเพื่ออันใด ข้าหวังเพียงว่าภายหน้าเขาไม่เกลียดข้าก็พอ”
ชุ่ยกูกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นท่านก็ยิ่งไม่ควรขัดขวาง คำโบราณกล่าวได้ดียิ่ง ไม่โง่ไม่หูหนวกบ้าง เป็นผู้อาวุโสไม่ได้ ท่านทำเป็นไม่เห็นเสียก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
จ่างกงจู่หัวเราะ ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ แต่เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานของเฉินลั่วขึ้นมาแทน “ไม่รู้ว่าต้องเปิดจวนให้เขาใหม่หรือไม่ จวนเจิ้นกั๋วกงทางด้านโน้นย่อมไม่สนใจเขา จะให้อยู่ที่จวนจ่างกงจู่ ข้าก็กลัวคนข้างนอกจะเอาไปพูดนั่นพูดนี่อีก”
ชุ่ยกูยิ้มกล่าวว่า “ท่านนี่น้า! ต่อหน้าคุณชายรองไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่ครึ่งเดียว แต่พอคุณชายรองจากไป ท่านก็เริ่มกังวลใจเรื่องเรือนหอของเขาแล้ว ตามความเห็นของข้า เรื่องนี้ท่านควรสอบถามคุณชายรองดูก่อนดีกว่า หากเขาอยากอยู่ที่นี่กับท่าน ท่านก็ช่วยสร้างเรือนหอให้เขาสักหลังก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่อยากอยู่ที่นี่ ก็ซื้อบ้านข้างนอกสักหลังที่ดีๆ สักหน่อยแล้วก็อยู่ไม่ห่างจากที่นี่ของท่านมากก็ไม่ต่างกันเจ้าค่ะ”
จ่างกงจู่พยักหน้า คุยเรื่องแต่งงานของเฉินลั่วกับชุ่ยกูอีกกว่าครึ่งค่อนคืน กระทั่งถึงยามอิ๋น[1] ที่ท้องฟ้าใกล้สว่างแล้วถึงได้เข้านอน
ด้านเฉินลั่วเพียงไม่นานก็จัดการเรื่องจองโต๊ะและส่งเทียบเชิญไปให้หวังเฉินเสร็จเรียบร้อย
ประจวบเหมาะกับที่สองวันนี้หวังเฉินตรวจสมุดบัญชีเสร็จเรียบร้อยพอดี พอจะมีเวลาว่างไปแจ้งหวังซีเอาไว้คำหนึ่ง กระทั่งถึงวันดังกล่าวก็ไปร่วมงานเลี้ยงตามเวลานัดหมาย
เขาอยู่ในชุดใหม่ที่หวังซีช่วยจัดเตรียมให้ เป็นชุดเต้าเผาธรรมดาสีน้ำเงินไพลินทอลายค้างคาวห้าตัวสีม่วง บนศีรษะปักปิ่นหยกมันแพะสีขาวเลี่ยมทอง เท้าเบื้องล่างสวมรองเท้าสีดำลายเมฆา เข็มขัดสีดำตรงบริเวณเอวห้อยตราประทับขนาดเล็กและทองเจ็ดประการเอาไว้ ดูมั่งคั่งและไม่ไร้ความสามารถ ทำให้จ่างกงจู่อดที่จะมองเพิ่มอีกสองครั้งไม่ได้
หวังเฉินเองก็นับว่าเห็นโลกมามาก ตอนมาจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ยังเหมือนบุปผาแรกแย้มของจ่างกงจู่แล้ว เขายังคงอดที่จะเผยความประหลาดใจออกมาไม่ได้
จ่างกงจู่เห็นแล้วบังเกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกพึงพอใจหวังเฉินเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ทั้งสองคนต่างสุภาพและเกรงใจกัน ผลัดกันทักทายปราศรัยกันสองสามประโยคเสร็จแล้วถึงได้นั่งลงตามลำดับ
เจ้าของมารับประทานอาหารที่ร้าน จ่างกงจู่ยังเป็นเจ้ามือเลี้ยงอีก หอสายลมวสันต์จึงแสดงฝีมืออย่างเต็มที่
แม้นเป็นฤดูหนาวแต่ยังคงทำอาหารขึ้นชื่ออย่างบึงบัวแสงเดือนมาขึ้นโต๊ะ ยิ่งไปกว่านั้นเม็ดบัวก็ยังมีรสชาติหวานและสด คล้ายเพิ่งเด็ดขึ้นมาจากบึงบัวก็ไม่ปาน ลูกกระจับกรอบอร่อย รากบัวแผ่นสีขาวสะอาด วางอยู่ในใบบัวสีเขียวมรกต ทำให้คนสงสัยเล็กน้อยว่าตอนนี้เป็นฤดูกาลอะไรกันแน่
หวังเฉินอธิบายให้จ่างกงจู่ฟังว่า “ครอบครัวพวกข้าขุดห้องใต้ดินสำหรับเก็บวัตถุดิบเหล่านี้เป็นพิเศษ ใช้น้ำแข็งเก็บรักษาเม็ดบัวไว้ในห้องใต้ดินมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน ส่วนรากบัวก็นำมาเก็บไว้พร้อมโคลนเลย…”
จ่างกงจู่ฟังแล้วรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก หวังเฉินจึงพานางไปดูห้องใต้ดิน หวังเฉินยังสัญญาว่าหลังผ่านพ้นปีใหม่แล้วจะให้คนนำรากบัวไปส่งให้จ่างกงจู่เอาไว้ตุ๋นน้ำแกงหรือไม่ก็ผัดกินอีกด้วย “…รสชาติดีกว่าแตงกวามากนัก”
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วยิ้มไม่หุบ ท่าทางดีใจเป็นอย่างมาก ยังถามหวังเฉินด้วยว่า “คนที่บ้านพวกเจ้าต่างรู้จักกินของอร่อยๆ กันใช่หรือไม่ ขนมที่น้องสาวของเจ้าทำก็เป็นที่นิยมของจิงเฉิง ข้าไม่เพียงเคยได้ยินมาเท่านั้น ยังเคยกินมาแล้วหลายครั้ง อร่อยกว่าของครัวหลวงที่ทำในวังหลวงจริงๆ”
หวังเฉินไม่ใช่คนที่ชอบเหยียบย่ำน้องสาวของตัวเองเพื่อยกยอผู้อื่นอย่างผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปชอบกระทำประเภทนั้น
เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เป็นนางที่รู้จักกินมากเป็นพิเศษ กรรมวิธีเก็บรักษาวัตถุดิบบึงบัวแสงเดือนจานนี้ก็เกิดขึ้นจากที่นางร้องอยากกินตอนเป็นเด็ก ท่านปู่ของข้าใช้เวลาทำการทดลองอยู่หลายปีถึงได้คิดค้นกรรมวิธีเก็บรักษานี้ขึ้นมาได้”
จากนั้นเขาก็พูดถึงเรื่องต่างๆ ที่หวังซีเคยทำตอนเป็นเด็กเพื่อเรื่องกินขึ้นมา
จ่างกงจู่ยิ้มไม่หุบ นึกภาพออกว่าตอนอยู่บ้านหวังซีเป็นที่รักมากมายเพียงใด
นี่จึงตรงกับความคิดของจ่างกงจู่พอดี กล่าวคือแม้นตัวนางเองจะเป็นถึงองค์หญิง แต่ชีวิตในวัยเด็กกลับไม่ดีนัก เสกสมรสสองครั้งก็ล้วนมิใช่การแต่งงานที่ดีอะไร นางจึงเชื่อเรื่อง ‘วาสนาดี’ มากเป็นพิเศษ
นางรู้สึกว่าหวังซีเป็นคนมีวาสนาดีมาก
นอกจากเป็นที่รักและเอ็นดูมาตั้งแต่เด็กแล้ว อยู่ไกลถึงสู่จง แต่พอถึงวัยออกเรือนกลับได้เดินทางมาจิงเฉิง และไม่รู้ว่าเป็นที่จดจำของเฉินลั่วได้อย่างไร
สำหรับผู้อื่นแล้วนี่เป็นชะตาที่แม้แต่คิดยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
นี่นับเป็นเด็กสาวที่มีวาสนาดีผู้หนึ่ง
และเฉินลั่วก็ไม่ต่างไปจากนาง ชีวิตดูดีพร้อมแต่กลับเป็นเด็กที่ไม่ได้รับความรัก หากได้อยู่กับหวังซี ไม่แน่ว่าอาจทำให้อนาคตของเฉินลั่วราบรื่นขึ้นก็เป็นได้
……………………………………………………………….
[1] ยามอิ๋น 03.00-05.00 นาฬิกา