บทที่ 185 ย้ายกลับอพาร์ตเมนต์

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ปาจรีย์พยายามข่มความตื่นตระหนกในใจไว้แล้วพยักหน้าตอบ“รู้จัก หล่อนเป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของฉัน หล่อนเป็นคนสวย มีนิสัยอ่อนโยน ซึ่งอ่อนโยนมากถึงขั้นขี้ขลาดนิดๆเลยเชียวล่ะ เพราะหล่อนเป็นแบบนี้ ก็เลยไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะลงมือฆ่าคนได้ มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ”

“มันมีอะไรให้ไม่น่าเชื่อกัน ความริษยาของผู้หญิงมันน่ากลัวมากนะ พวกหล่อนสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะได้ครอบครองสิ่งที่ตัวเองอยากได้ และแน่นอนว่าผู้ชายก็เป็นเหมือนกัน”พงศกรยิ้มออกมาแล้วพูดเสริมเข้าไป

ปาจรีย์ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย“แต่ฉันไม่คิดเลยจริงๆนะว่าหล่อนจะตกหลุมรักประธานนัทธี เมื่อก่อนหล่อนตกหลุมรักเพื่อนที่นั่งข้างๆกันแท้ๆ แถมยังบอกอีกว่าอยากจะแต่งงานกับเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆ สุดท้ายทุกอย่างมันก็เป็นเพียงแค่ลมปาก”

วารุณีเดินมาตรงหน้าโซฟาแล้วเอาผ้าห่มคลุมให้อารัณ“การที่ความรู้สึกเปลี่ยนมันเป็นเรื่องปกติ บนโลกนี้น้อยคนมากที่ชาตินี้จะรักใครแค่คนเดียว”

“พูดอีกก็ถูกอีก ไม่มีใครรับประกันหรอกว่าคนๆนั้นจะรอคุณอยู่ที่เดิมตลอดรึเปล่า”ขณะที่พูดปาจรีย์ก็เหลือบมองไปที่พงศกรที่นอนป่วยอยู่บนเตียง

พงศกรทีกำลังพลิกอ่านหนังสือชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ เขาพลิกอ่านหนังสือหน้าถัดไปต่อ

ปาจรีย์เห็นว่าเขาได้ยินเธอพูดอย่างชัดเจน แต่กลับจงใจทำเป็นไม่ได้ยิน เธอหลับตาลงซักพักแล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา“ใช่แล้ววารุณี เรื่องโกดังของพวกเรา ทารีนายอมรับไหม?”

วารุณีส่ายหน้า“เธอไม่ได้ทำ รวมไปถึงเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ของอารัณด้วย”

“อะไรนะ?”ปาจรีย์พูดเสียงสูงปรี๊ด“แล้วมันเป็นใครกัน?”

“ไม่รู้สิ คงต้องค่อยๆสืบดู”วารุณีฝืนยิ้มออกมาพลางนวดขมับไปด้วย

พงศกรจับหนังสือไว้แน่น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของวารุณีก็ดังขึ้นเธอหยิบออกมาดูก็เห็นว่าบนหน้าจอเป็นชื่อภาษาอังกฤษ จากนั้นก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ“อาจารย์ของฉันเอง”

“อาจารย์เมอร์เซเดอหรอ?”ปาจรีย์ถามขึ้นพร้อมกับทำตาเป็นประกาย

พงศกรก็มองมาที่โทรศัพท์ของเธอ

วารุณีพยักหน้าให้กับทั้งสอง จากนั้นก็รีบกดรับสาย แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู“อาจารย์คะ”

“วารุณี เรื่องที่เธอส่งมาในข้อความเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ฉันบอกอาจารย์แล้วนะ อาจารย์โกรธมากแล้วก็บันทึกวิดีโอไว้ด้วย ฉันส่งให้เธอในอีเมลแล้ว”เมอร์เซเดอที่อยู่ปลายสายมีอายุเล็กน้อยแต่กลับไม่วายส่งเสียงที่แฝงไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูออกมา

วารุณียิ้มและพยักหน้ารัวๆ“เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะอาจารย์”

“เรื่องอะไรหรอ?”ปาจรีย์กับพงศกรถามขึ้นด้วยความสงสัยพร้อมกัน

วารุณีอ้าปาก แล้วตอบพวกเขาออกไปอย่างไร้เสียง“พิชญา!”

ทั้งสองเข้าใจได้ในทันที

“สมควรแล้วล่ะ เธอต่อสู้กับไอ้พวกชอบลอกเลียนแบบแล้วปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของอาจารย์ย่านี่เป็นเรื่องที่ดี พวกเราต้องสนับสนุนเธออยู่แล้ว ปล่อยวางแล้วทำให้ดีที่สุดเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับทางสมาคมสำนักงานใหญ่”เมอร์เซเดอหัวเราะคิกคักออกมา

วารุณีตอบอื้มออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรออก เธอกัดริมฝีปากล่างด้วยความเขินอาย แถมยังพูดเสียงเบาลงอีก“อาจารย์คะ อาจารย์ได้ดูงานแฟชั่นโชว์‘Bath fire rebirth’ของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปรึยังคะ?”

“ดูแล้ว ถึงแม้คุณภาพมันจะยังห่างไกลจากระดับสูง แต่ยังไงมันก็แข็งแกร่งกว่าดีไซเนอร์คนอื่นๆอีกมากมาย วารุณี เธอนี่ฝีมือไม่เลวเลย!”เมอร์เซเดอยกนิ้วโป้งให้ แถมน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการยอมรับในความสามารถของเธอที่ไม่อาจปิดไว้ได้

นี่แหละคือสิ่งที่วารุณีอยากได้ยินมากที่สุด เธอตื้นตันใจจนตาแดงระเรื่อขึ้น“ของคุณสำหรับคำชมค่ะอาจารย์ หนูจะพยายามต่อไปเพื่อที่จะได้ร่วมทำผลงานอันยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษกับอาจารย์เร็วๆค่ะ!”

เมื่อวางสายลงวารุณีก็กำโทรศัพท์ไว้แน่น ความสุขที่อยู่บนใบหน้ายังคงอยู่ได้อีกนาน

ปาจรีย์เหล่มองเธอ“ก็แค่คำชมเอง ดีใจขนาดนั้นเชียว?”

“เธอไม่เข้าใจหรอก อาจารย์เมอร์เซเดอเป็นคนที่เข้มงวดมาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยชมวารุณีเลย และก็ไม่เคยยิ้มให้วารุณีเลยด้วยซ้ำ พอตอนนี้เอ่ยชมให้วารณีได้ นั่นก็แปลว่าเขายอมรับในตัววารุณีแล้ว ถ้าเป็นคุณ คุณจะไม่ดีใจหรอ?”พงศกรปิดหนังสือลงแล้วมองไปที่ปาจรีย์

ปาจรีย์แลบลิ้นออกมา“ก็ได้ ฉันผิดไปแล้ว”

“พอได้แล้วทั้งสองคน นี่มันใกล้จะดึกแล้ว ฉันต้องพาอารัณไปก่อนแล้วก็ต้องไปรับไอริณที่โรงเรียนอนุบาลอีก”

พูดจบวารุณีก็ตบลงไปที่ไหล่ของอารัณเบาๆเพื่อปลุกให้เขาตื่น จากนั้นก็จูงมือเขาเดินออกจากโรงพยาบาลไป

พอพาเด็กทั้งสองกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว

วารุณีจอดรถเสร็จก็จูงมือเด็กทั้งสองเข้าไปในอพาร์ตเมนต์

ไม่นานลิฟต์ก็มาถึง ทันทีที่แม่ลูกทั้งสามก้าวเดินออกมาจากลิฟต์ก็เห็นโถงทางเดินเต็มไปด้วยกล่องลังกระดาษ

แม่ลูกทั้งสามคนต่างก็อึ้งไปเลย เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ทันใดนั้นเองประตูห้องของนัทธีก็ถูกเปิดออก ป้าส้มเดินออกมาพร้อมกับผู้ชายอกสามศอกอีกสองคน โดยทั้งหมดกำลังหันหลังให้กับวารุณีและลูกๆอยู่ จากนั้นป้าก็ชี้กล่องพวกนั้นและเอ่ยกำชับ“ขนเข้าไปให้หมด ระวังด้วย ห้ามเคาะแล้วก็ห้ามวางแรงล่ะ”

“ครับ”ชายทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็เริ่มขนกล่องเข้าไป

ป้าส้มไม่ได้เป็นคนขน หล่อนยืนนับจำนวนกล่องอยู่

วารุณีบีบมือลูกทั้งสองเบาๆแล้วตะโกนออกไป“ป้าส้ม”

พอป้าส้มได้ยินเสียงของเธอก็รีบหันมาทันที เมื่อเห็นเธอกับเด็กทั้งสอง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสุข“คุณวารุณี”

วารุณีจูงมือเด็กทั้งสองเดินหลบลังกระดาษด้วยความระมัดระวัง“ป้าส้มทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ แล้วก็ยังมีลังกระดาษพวกนี้……”

“อ๋อคือว่าช่วงนี้ที่คฤหาสน์มีการปรับปรุงใหม่ ดังนั้นคุณผู้ชายเลยจะย้ายมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ก็เป็สัมภาระทั้งหมดของคุณผู้ชายค่ะ”ป้าส้มเอามือเช็ดกับผ้ากันเปื้อนแล้วยิ้มพูดอธิบายขึ้น

วารุณีได้แต่ตะลึง

นัทธีจะย้ายมาอยู่ที่นี่ แถมดูจากกล่องสัมภาระพวกนี้แล้ว เกรงว่าคงจะอยู่อีกนานเลย

ถ้างั้นเรื่องที่เธอตัดสินใจว่าจะอยู่ให้ห่างจากเขา มันก็เป็นแค่เพียงลมปากน่ะสิ?

“หม่ามี๊ที่คุณย่าท่านนี้พูดหมายถึงคุณอานัทธีจะกลับมาอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ?” ไอริณดึงปลายเสื้อของวารุณีแล้วเอียงหัวถาม

วารุณีไม่ได้ตอบ อารัณจึงกลอกตาใส่หล่อน“โง่จริงๆ มันก็ต้องหมายความว่าแบบนั้นอยู่แล้ว ยังต้องถามอีกหรอ?”

“ไม่ผิดแน่”ป้าส้มมองอารัณด้วยความเอ็นดู จากนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นได้ว่าเมื่อกี้เด็กน้อยที่อยู่ข้างๆเขาก็เรียกวารุณีว่าหม่ามี๊เหมือนกัน หล่อนงงไปครู่หนึ่ง ทว่าซักพักก็ดึงสติกลับมาแล้วรีบถามออกไป“คุณวารุณี เด็กผู้หญิงคนนี้ก็เป็นลูกของคุณหรอคะ?”

วารุณีลูบหัวไอริณเบาๆแล้วยิ้มพูดขึ้น“ใช่ค่ะ ครั้งก่อนลืมบอกไป ฉันคลอดลูกแฝดน่ะค่ะ แต่ว่าท้องไข่คนละใบ หน้าตาก็เลยไม่ค่อยเหมือนกัน”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง”ความประหลาดใจในใจของป้าส้มหายไป หล่อนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจทันที

“เอาล่ะ ฉันไม่กวนป้าส้มจัดการเรื่องย้ายของแล้ว พวกเราไปก่อนนะคะ”วารุณีหยิบคีย์การ์ดออกมาแล้วรูดไปที่ประตู จากนั้นก็จูงมือเด็กทั้งสองเข้าห้องไป

หลังจากเข้าไป เธอก็ปิดประตูลง รอยยิ้มบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นความกังวลทันที

เมื่ออารัณเห็น เขาจึงหยุดเปลี่ยนรองเท้าทันที“หม่ามี๊เป็นอะไรไป?”

ไอริณก็รีบหันไปมองวารุณี

เมื่อวารุณีเห็นว่าเด็กทั้งสองเป็นห่วง ในใจเธอก็ผ่อนคลายลงแล้วยิ้มออกมาใหม่อีกรอบ“หม่ามี๊ไม่เป็นไร ก็แค่คิดเรื่องเรื่อยเปื่อยน่ะ อย่ากังวลไปเลย ไปเล่นกันเถอะ”

พอเห็นวารุณีดูเหมือนว่าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้นจริงๆ อารัณก็ลากไอริณกลับไปเล่นของเล่นที่ห้องได้อย่างสบายใจ

วารุณีมองตามหลังเด็กทั้งสองที่กระโดดโลดเต้นออกไป นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

ช่างมันเถอะ นัทธีจะย้ายมาก็มันก็เรื่องของเขา

แค่เธอรู้เรื่องเวลาที่เขาออกไปทำงานและกลับมาอย่างชัดเจน จากนั้นก็หลบหน้าเขาให้ได้ก็พอแล้ว ยังไงเธอก็ไม่อาจย้ายบ้านหนีเพราะไม่อยากอยู่ใกล้เขาได้หรอก

คิดไปคิดมาวารุณีก็ถอนหายใจออกพลางส่ายหน้าไปมา พอเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ เธอก็ไปเตรียมอาหารเย็น

ตอนที่ทานข้าว จู่ๆข้างนอกประตูก็มีเสียงดังตึงตังขึ้นราวกับเสียงเคาะผนัง มันเสียงดังหนวกหูมาก มันดังหนวกหูอยู่พักใหญ่เลย

จนกระทั่งเกือบสี่ทุ่มมันถึงได้หยุดลง แต่กริ่งประตูกลับดังขึ้นมา

วารุณีรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าเป็นใคร