ตอนที่ 176 จิตใจแห่งความเป็นเด็ก

หลังจากรู้สึกได้ว่าเรือหยุดนิ่งสนิทแล้ว สีหน้าของมู่อี้ก็ดูสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นมาและเดินออกไปจากห้องของตนเองทันที

ทิวทัศน์ที่มองจากบนเรือนั้นงดงามอย่างยิ่งโดยเฉพาะชั้น 2 ของเรือ ทิวทัศน์ที่มองจากบนนั้นจะสามารถมองเห็นทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเหลืองได้อย่างชัดเจน ดังนั้นมู่อี้จึงสามารถมองออกไปและเห็นว่ามีเรือขนาดเล็กใหญ่มากมายต้องจอดอยู่บริเวณท่าเรือและไม่สามารถเดินทางไปต่อได้

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”

ในตอนนี้เมื่อพ่อบ้านวัยกลางคนเดินขึ้นบันไดมาชั้น 2 ของเรือม่อี้ก็ถามทันที

“เรียนท่านนักพรตเต๋ ดูเหมือนว่าชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้นจะกําลังทําการเซ่นสังเวยแด่เทพเจ้าแห่งท้องน้ำเพื่อแสดงความเคารพบูชาดังนั้นพวกเขาจึงทําการปิดกั้นแม่น้ำเหลืองและไม่ให้ใครเดินทางต่อไปได้ขอรับ”พ่อบ้านตอบกลับมาดูเหมือนว่าเขาเองก็ทําอะไรไม่ได้เหมือนกัน

เพราะไม่มีใครอยากเจอกับเรื่องแบบนี้หรอกแต่ก็ไม่อาจเข้าไปขัดขวางอะไรได้ ทําไมเรือมากมายถึงต้องมาจอดรออยู่ที่นี่? มีผู้คนมากมายแค่ไหนกันที่ใช้แม่น้ำเดินทางไปมาและก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยบูชาเทพเจ้าแห่งท้องน้ำเลย? ดังนั้นเมื่อต้องเจอกับเรื่องเช่นนี้ทางที่ดีที่สุดก็คือยอมจอดเรือและเข้าไปจุดธูปไหว้อธิษฐานขอพรจากเทพเจ้าแห่งท้องน้ำในหมู่บ้านด้วย

“เทพเจ้าแห่งท้องน้ำงั้นหรือ?” มู่อี้พยักหน้า ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะทําอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันและทําได้เพียงรอจนกว่าชาวบ้านจะทําการบูชาเทพเจ้าแห่งท้องน้ำเสร็จสิ้นและเปิดทางอีกครั้ง

“ท่านอยากจะเข้าไปในเมืองหรือไม่ขอรับ?” เมื่อเห็นว่ามู่ลี้ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีแม้ว่าฉือเล่อจะได้กําชับเขาเอาไว้อย่างหนักแน่นก่อนหน้านี้แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าทําให้มู่ธ์ไม่พอใจแน่นอนแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนในยุทธภพแต่เรื่องราวการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั้นก็โด่งดังจนเขารับรู้ได้ด้วยเช่นกัน

บางครั้งเขาก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ ชายหนุ่มตรงหน้าของเขานั้นดูอ่อนแอและบอบบางอย่างยิ่งนี่คือคนที่ทําให้ศาลาแปดทิศต้องล่มสลายไปจริงๆงั้นหรือหรือว่านี่เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่พูดเกินจริง?

ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้เขาก็จะรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย อย่างน้อยตลอด 2 วันที่อยู่บนเรือม่อี้ ก็ดูสงบนิ่งมากและไม่เคยทําให้เขาหรือคนรับใช้คนอื่นต้องรู้สึกหนักใจเลย ซึ่งมันสวนทางกับข่าวลือที่ได้ยินมา มากจริงๆ

นักพรตปีศาจเป็นชื่อที่คนในยุทธภพตั้งให้กับมู่ลี้

เมื่อได้ยินคําพูดแนะนําของพ่อบ้าน มู่อ๋ก็เริ่มคิดขึ้นมาทันทีก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะทําตัวโหดเหี้ยมหรือทําตัวแก่กว่าอายุมากเพียงใดแต่ความจริงเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้นั่นก็คือมู่ลี้ยังอายุน้อย

ถ้าจะพูดกันจริงๆมู่อี้มีอายุเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้นและถ้าหากนับตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเขาก็มีอายุเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้นเพียงแต่ว่าการกระทําของเขาและการลงมืออย่างโหดเหี้ยมทําให้คนอื่นๆต่างก็มองข้ามเรื่องที่เขายังอายุน้อยไปเลยหลายๆคนอาจจะคิดว่าเขาเกิดมาพร้อมใบหน้าที่อ่อนเยาว์หรือมีพรสวรรค์ในด้านพลังแห่งจิตใจมาตั้งแต่เกิดไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่ถูกเรียกว่าปีศาจแน่นอน

ถ้าหากใครก็ตามในยุทธภพที่รู้ว่าเขามีอายุเพียงแค่ 16 ปี ความโกลาหลคงจะเกิดขึ้นแน่นอน

แม้ว่าตั้งแต่ยุคสมัยโบราณจนมาถึงปัจจุบันนี้จะมีอัจฉริยะที่อายุน้อยเป็นจํานวนไม่น้อยเลยอย่างเช่นกานหลัวที่ได้รับการเคารพจากผู้คนตั้งแต่อายุ 12 ปี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางตอนอายุ 17 ปีแต่นั่นก็เป็นเพียงบุคคลในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ความโด่งดังในการเข่นฆ่าและลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยมและใช้กองกระดูกของศาลาแปดทิศเป็นบันไดของตนเองทําให้ทุกๆคนในยุทธภพต่างก็ตกตะลึงกับการกระทําของมู่ลี้

แต่ท้ายที่สุดนั้นมู่อี้ก็ไม่ใช่คนที่อยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่นักพรตเต๋เฒ่าที่เป็นเหมือนท่านปู่ของเขาเสียชีวิตไป ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของเขาก็ใช้ไปกับการฝึกฝนพลังแห่งจิตใจหลังจากนั้นเมื่อออกเดินทางจากภูเขาฟูเนียวเขาก็ต้องต่อสู้และเผชิญหน้ากับความทรมานมาโดยตลอดอย่างไม่มี หยุดหย่อนแม้ว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงมากแค่ไหนก็ตาม

คําพูดของพ่อบ้านก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็นการสะกิดใจมู่อี้ขึ้นมาทันทีและมันทําให้เขานึกอะไรบางอย่างขี้นมาได้อีกครั้ง

“ได้ขอรับ ข้าจะเข้าไปในเมืองสักหน่อย” มู่พยักหน้า

“เช่นนั้นข้าจะนําทางท่านไปเองขอรับ” พ่อบ้านก็พยักหน้าตอบกลับมา

“ท่านไม่ต้องนําทางไปหรอก ทํางานของท่านต่อไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกขอรับเดี๋ยวอีกสัก 2 ชั่วโมงข้าจะรีบกลับมาที่นี่นะขอรับ”มู่อี้พูดขึ้นมาทันที

เมื่อได้ยินคําพูดของมู่อี้แล้ว พ่อบ้านก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก เพราะหลังจากที่เดินทางด้วยกันมาเขาก็ให้ความเคารพต่อม่อี้มาก

หลังจากนั้นม่อี้ก็ถือต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในมือและเดินลงจากเรือทันที ส่วนต้าหนิวนั้นเขาไม่ได้พามันลงมาด้วยเพราะม่อี้อยากจะเดินเล่นให้เพลิดเพลินใจไม่ได้อยากเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆถ้าหากเขาพาต้าหนิวออกมาด้วยคงทําให้ชาวบ้านที่ได้เห็นต้องหวาดกลัวแน่นอนและหลังจากนั้นความตั้งใจของม่อี้ที่เข้าไปในหมู่บ้านครั้งนี้ก็จะถูกทําลายไปด้วย

งานเซ่นสังเวยต่อเทพเจ้าแห่งท้องน้ำถือเป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นในทุกๆปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำเหลืองเช่นนี้ เพราะไม่ว่าอาหารหรือน้ำที่พวกเขาใช้ในการดํารงชีวิตต่างก็มาจากแม่น้ำเหลืองทั้งสิ้นดังนั้นแม่น้ำเหลืองแห่งนี้จึงเป็นเหมือนชามข้าวของพวกเขา

มีวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากริมฝั่งแม่น้ำเหลือง ในตอนนี้วัดแห่งนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ดูเหมือนจะเป็นตลาดที่มีสินค้าขายอยู่มากมาย

ม่อี้ถือร่มเอาไว้ในมือข้างหนึ่งและมืออีกข้างของเขาจูงมือเด็กสาวคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสีชมพู

แม้ว่าร่มคันนี้จะเป็นร่มกระดาษแต่แกนกลางของร่มนั้นก็เป็นต้นไผ่ต้นหนึ่ง ในตอนที่มอื้ออกมาจากเรือนั้นเขาเห็นว่ามีผู้คนมากมายซื้อร่มกระดาษอยู่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจดัดแปลงต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือทันทีส่วนเด็กสาวที่จูงมือเขาอยู่ในตอนนี้ย่อมเป็นเนี่ยนหนิวเอ้อร์

หลังจากการต่อสู้กับศาลาแปดทิศจบลง เดิมที่ม่อี้คิดว่าเด็กสาวจะหมดสติไปสักพักหนึ่งแต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่เวลาไม่กี่วันร่างกายของนางจะหายกลับมาเป็นปกติอีกครั้งและสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ทําให้ม่อี้รู้สึกประหลาดใจจริงๆ

สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปบนร่างกายของเด็กสาวนั่นก็คือคิ้วที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนและวิญญาณของนางที่ดูเหมือนจะมีการเกี่ยวข้องกับตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นบนต้นไผ่

เรื่องดวงวิญญาณของนางนั้นมู่อี้คิดว่ามันน่าจะเป็นเพราะดวงวิญญาณของคนของศาลาแปดทิศทั้ง 100 คนนั้น พวกเขาต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดาดังนั้นดวงวิญญาณของพวกเขาจึงอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารมากมายจนมีพลังมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก

ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่สามารถทําลายการป้องกันของตะเกียงทองแดงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ต้องรู้ก่อนว่าในตอนที่มีอ็อยู่เพียงระดับความยากขั้นที่ 1 ตอนนั้นเขาได้เผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ของลัทธิเทพธิดาพันบุตรที่มีพลังอยู่ในระดับความยากขั้นที่ 2 ศัตรูยังไม่สามารถทําลายการป้องกันของตะเกียงทองแดงได้เลยเช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่าการป้องกันของตะเกียงทองแดงนั้นทรงพลังมากเพียงใดแต่ในตอนนี้ม่อี้อยู่ในระดับความยากขั้นที่ 2 แล้วและยังมาถึงก้าวที่ 2 พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนนั้นนับ 10 เท่าและพลังของตะเกียงทองแดงก็ย่อมเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่อาจหยุดยั้งการโจมตีของกลุ่มก้อนพลังที่มาจากดวงวิญญาณนับร้อยดวงรวมตัวกันได้เลย

เดิมที่ม่อี้คิดว่าถ้าเขารับการโจมตีจากกลุ่มก้อนพลังงานเข้าไปนั้นแม้จะต้องบาดเจ็บสาหัสแต่ก็คงไม่ถึงตายแต่ในช่วงเวลาที่สําคัญนั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์กลับปรากฏตัวออกมาและพุ่งเข้าไปหากลุ่มก้อนพลังงานนั้นทันที

อย่างน้อยในมุมมองของมู่อี้ก็เห็นเช่นนั้น

พลังในร่างกายของเด็กสาวไม่เสถียรไปครู่หนึ่ง อย่าลืมว่าในตอนนั้นนางพึ่งจะยกระดับไปสู่ระดับวิญญาณชั่วร้ายเท่านั้นและยังไม่อาจเอาชนะม่อี้ได้เลยด้วยซ้ํา

ในตอนนั้นมู่อี้รู้สึกเป็นกังวลมากจริงๆ แต่เมื่อเขาได้เห็นว่าเด็กสาวดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไรมากนักเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ท้ายที่สุดแล้วเด็กสาวก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งและพลังในร่างกายของนางก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ตามที่เด็กสาวได้บอกไว้นางเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น นางรู้แค่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นประโยชน์สําหรับนางมากและนางได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายในสมองของตนเอง

แม้ว่าม่อี้จะดูไม่แยแสกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ความจริงแล้วเขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง เพราะนี่คือเคล็ดวิชาของประมุขแห่งศาลาแปดทิศและการลงมือในครั้งนี้ก็ต้องอาศัยดวงวิญญาณของผู้คนนับร้อยที่ตายไปด้วยความโกรธแค้นในจิตใจ

โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรไป

หากไม่ใช่เพราะว่าประมุขแห่งศาลาแปดทิศหนีไปอย่างไร้ร่องรอยและมู่อี้เองก็ได้เรียนรู้เรื่องนี้แบบจริงจังหลังจากขึ้นเรือมาแล้ว เขาคงรีบไล่ตามประมุขแห่งศาลาแปดทิศไปและหาคําตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้น

แต่แม้ว่าประมุขแห่งศาลาแปดทิศจะหายตัวไปแล้ว ม่อี้ก็คิดว่าเขาจะรอจนกว่าจะไปถึงเมืองฉางโจวและค่อยหาคําตอบเรื่องนี้อีกครั้ง

ร่มกระดาษในมือนั้นป้องกันแสงแดดได้เป็นอย่างดีและเมื่อเด็กสาวได้ยกระดับเข้าสู่ระดับวิญญาณชั่วร้ายนั้นนางสามารถปรากฏตัวออกมาตอนกลางวันได้และแสงแดดก็ไม่มีผลอะไรกับนางมากนักแต่สิ่งต่างๆที่ล่อตาล่อใจนางอยู่ในตอนนี้ทําให้นางไม่ได้สนใจแสงแดดที่ส่องลงมาเลย

เพราะในความทรงจําของนางนั้น นางไม่เคยได้เดินบนถนนและซื้อของต่างๆจากร้านค้ามาก่อน ไม่ต้องพูดถึงมู่อี้ที่ยืนอยู่เคียงข้างนางในตอนนี้ นางสามารถยืนเคียงข้างมู่ธ์ได้จริงๆ สําหรับนางไม่มีอะไรสําคัญไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“พี่ชาย ข้าอยากได้อันนั้น”

“พี่ชาย ข้าอยากได้สิ่งนี้”

“พี่ชาย ข้าอยากกินลูกกวาด”

“พี่ชาย ดูลูกกวาดนี่สิมันหน้าตาเหมือนข้าเลย”

ตลอดทางเนี่ยนหนิวเอ่อร์จูงมือม่อี้และส่งเสียงเรียกออกมาตลอดทําให้ม่อี้รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่งเพราะเมื่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์รู้สึกมีความสุขเขาก็รู้สึกมีความสุขด้วยเช่นกัน กลุ่มก้อนพลังงานที่นางได้รับมาในตอนนั้นดูเหมือนจะเริ่มสลายตัวไปโดยที่นางไม่รู้ตัวเลย

ตั้งแต่การต่อสู้กับศาลาแปดทิศจบลงไม่ว่าม่อี้จะทําตัวอ่อนโยนแค่ไหนแต่คนอื่นๆที่อยู่ต่อหน้าเขานั้นก็รู้สึกกดดันอย่างยิ่งดูอย่างฉือเล่อในตอนนั้นสิ หวังเทาและองครักษ์ทั้งสองคนของเขาก็แสดงความรู้สึกกดดันออ กมาด้วยเช่นกัน

ดังนั้นถ้าหากไม่จําเป็นจริงๆแม้แต่พ่อบ้านวัยกลางคนก็ไม่อยากเข้ามาใกล้มู่อี้ การอยู่ใกล้เขานั้นมันทําให้รู้สึกอึดอัดใจและรู้สึกหวาดกลัวอยู่เสมอ

ม่อี้ก็ย่อมรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกันแต่เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นนั้นดูเหมือนจะฝังลึกลงไปในกระดูกของเขาแล้วยากที่จะลบออกไปได้ มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงทองแดงที่เขาจุดขึ้นมาทุกๆคืนเท่านั้นที่ทําให้เขารู้สึกได้ว่าความชั่วร้ายในร่างกายของตนเองกําลังหายไปช้าๆแต่มันก็ช้มากและต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี

แต่ในตอนนี้เขาไม่คิดเลยว่าช่วงเวลาที่เขาได้อยู่ด้วยกันกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์นั้นมันจะทําให้จิตใจและอารมณ์ของเขารู้สึกสงบนิ่งมากยิ่งขึ้นความชั่วร้ายในร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะถูกกําจัดออกไปด้วยเช่นกันอย่างน้อยคนอื่นที่เดินผ่านไปมาในตอนนี้ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเขาเลย

เมื่อมู่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เขาพยายามนึกดีๆว่าก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นมาบ้างและจากนั้นเขาก็ค่อยๆเข้าใจขึ้นมาทันที

มันคือจิตใจแห่งความเป็นเด็ก!

เขารู้แล้วว่าในร่างกายของเขามีอะไรที่หายไป นั่นคือจิตใจแห่งความเป็นเด็กที่หายไป

จิตใจของมู่อี้นั้นสงบเยือกเย็นและดูเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าเรื่องนี้ใครหลายๆคนต่างก็ยกย่องแต่ในทางกลับกันเขาก็ต้องสูญเสียจิตใจแห่งความเป็นเด็กไปแม้ว่าเขาจะเข้าใจเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่อาจรักษาความบริสุทธิ์นั้นเอาไว้ได้

จนกระทั่งในตอนนี้เมื่อได้เห็นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่ดูไร้เดียงสาและมีความสุข เขาก็ตัดสินใจหัวเราะไปกับนางทําลายอุปสรรคที่ขวางกั้นตัวเองเอาไว้และมีความสุขกับช่วงเวลาที่หาได้ยากเช่นนี้

จิตใจของมู่อี้ค่อยๆกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้งโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย เขารู้สึกได้ว่าจิตใจของตนเองในตอนนี้เป็นเหมือนกับหยกที่เปื้อนฝุ่นและได้รับการเช็ดคราบฝุ่นเหล่านั้นออกช้าๆ

ไม่ต้องคิดอะไรให้มากนัก แค่ปล่อยใจไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น

รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของมู่อี้ ในตอนนี้ม่อี้รู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่งและรู้สึกได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเมื่อเขาได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขไปกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์

นักพรตเต๋อายุน้อยที่มีใบหน้าหล่อเหลาเดินจูงมือกับเด็กสาวที่ดูบริสุทธิ์อย่างยิ่งในชุดสีชมพูย่อมดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย บางทีอาจเป็นเพราะความน่ารักของเด็กสาวและรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มจึงทําให้ร้านค้าหลายๆร้านไม่เก็บเงินจากมู่อี้เลยทีเดียว

“พี่ชาย ที่นั่นคนเยอะจัง” เนี่ยนหนิวเอ้อร์เงยหน้าขึ้นมา มีหน้ากากที่แขวนอยู่บนลําคอของนางและมือข้างหนึ่งของนางก็ถือกังหันลมเอาไว้ส่วนในมือของมู่อี้นั้นเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายที่ซื้อมาก่อนหน้านี้เด็กสาวนิ้วไปที่วัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไม่ไกลจากที่นี่เห็นได้ชัดว่านางคิดว่าที่นั่นจะต้องสนุกแน่นอน