ตอนที่ 347 มีชีวิตอยู่ต่อไป (3)
ในชั่วพริบตา ทุกคนยกเว้นบัวหิมะมัวเมาก็ถูกแสงสีทองพัดให้กระเด็นออกไป!
“อาศัยเพียงพลังของพวกเจ้า คิดว่าจะฆ่าข้าได้อย่างนั้นหรือ!” บุรุษชุดขาวเยาะเย้ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแห่งโทสะ ฝ่ามือของเขาเจาะทะลุช่องท้องของบัวหิมะมัวเมา สีหน้าของบัวหิมะมัวเมาก็เผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่แทบสิ้นสติทันที เห็นเพียงแต่แสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากร่างของบัวหิมะมัวเมา และในชั่วพริบตา บัวหิมะมัวเมาก็ไม่เคลื่อนไหวอีกราวกับว่าได้ตายไปแล้ว เปลวเพลิงสีน้ำเงินทั่วร่างของเขาสลายไป และร่างของเขาก็กลายเป็นดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ เหลือทิ้งไว้เพียงร่างของบัวหิมะซังอวี้ที่เหี่ยวแห้งไร้ชีวิตอยู่ในฝ่ามือของบุรุษผู้นั้น
บัวหิมะซังอวี้ที่สูญเสียพลังชีวิตไปแล้ว ถูกโยนใส่ร่างของจวินอู๋เสียราวกับเป็นขยะชิ้นหนึ่ง บุรุษชุดขาวหัวเราะเยาะและพูดว่า “ข้าจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างทรมานมากที่สุด”
จวินอู๋เสียนอนนิ่งอยู่บนพื้นเช่นนั้นไม่เคลื่อนไหว มองดูบัวหิมะซังอวี้ที่กำลังกลิ้งตกลงมา ดอกบัวที่ควรจะขาวสะอาดไร้ที่ติ งดงามและบริสุทธิ์ บัดนี้กลับค่อยๆ เหี่ยวเฉาและสูญเสียกลีบดอกไม้ไปเกือบทั้งหมด ราวกับว่ามันจะสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปได้ทุกเมื่อ
“นี่เจ้ายังไม่เสร็จอีกหรือ” จู่ๆ น้ำเสียงเย็นชาสายหนึ่งก็ดังขึ้น บุรุษในชุดสีเทาเดินเข้ามาพร้อมกับร่างของเยี่ยซาที่โชกเลือด นอนหมดสติอยู่ในมือของเขา
“แค่ขยับร่างกายนิดหน่อย ข้าจะทำให้มันจบเดี๋ยวนี้แหละ” บุรุษชุดขาวหรี่ตาลง
บุรุษชุดเทาแค่นเสียงหึออกมาอย่างไม่อดทน
ทันใดนั้น เยี่ยซาที่ทุกคนคิดว่าหมดสติไปแล้วก็ขยับตัว!
เขาสะบัดมือของบุรุษชุดเทาออกไปเต็มแรง เลือดจากทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ไหลมารวมกันอยู่ที่ฝ่ามือของเขา ทันใดนั้นแสงสีแดงที่หลอมขึ้นจากโลหิตก็พุ่งเข้าใส่บุรุษชุดขาว เจาะทะลุหน้าอกของอีกฝ่ายจนเปิดเป็นรูกว้าง!
เยี่ยซาเค้นพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อปลดปล่อยอสรพิษทมิฬขนาดยักษ์ออกมา จากนั้นก็รวบทุกคนเข้าไปไว้ในหางของอสรพิษทมิฬตัวนั้น!
“คุณหนูใหญ่! ข้าจะส่งท่านออกไป!”
พร้อมๆ กับที่เสียงนั้นของเยี่ยซาจบลง ร่างกายของเขาก็ระเบิดออกทันที! แรงปะทะอันทรงพลัง ดึงร่างของบุรุษชุดเทาที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดให้เข้าไปในใจกลางของแรงระเบิดนั้นโดยตรง!
เพียงชั่วพริบตา!
พื้นปฐพีสั่นไหว!
อสรพิษทมิฬขนาดยักษ์พาจวินอู๋เสียและคนอื่นๆ ลงจากภูเขาไปด้วยความเร็วสูงสุด!
ท่ามกลางลมกระโชกรุนแรง และหมอกสีโลหิตที่โอบล้อมไปทั่วเส้นทางลงเขา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนเกิดจากการเสียสละตนของเยี่ยซา!
จวินอู๋เสียถูกหางของเจ้าอสรพิษทมิฬตัวใหญ่พันรัดเอาไว้แน่น ในอ้อมแขนของนาง ยังโอบประคองบัวหิมะซังอวี้ที่เหี่ยวแห้งไปแล้วไว้อย่างทะนุถนอม นัยน์ตาของนางเย็นเฉียบ จ้องมองไปที่หมอกโลหิตตรงหน้า สีหน้ามองไม่ออกเลยว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
จนกระทั่งถึงตอนที่เยี่ยซาระเบิดตัวเอง นางยังไม่รู้เลยว่าชื่อของบุคคลที่ยอมเสียสละตนเพื่อนางนั้น มีว่าชื่ออะไร…
จวินอู๋เสียที่บาดเจ็บสาหัสไปจนถึงแก่นจิตวิญญาณ ไม่อาจครองสติไว้ได้อีก ร่างบางปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ห้วงนิทราลึก
……
…
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ในที่สุดจวินอู๋เสียก็ตื่นขึ้นจากความฝัน
ในความฝันนั้น ภาพของหมอกโลหิตยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของนาง คล้ายกลับจะพานางย้อนกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นที่เต็มไปด้วยความตาย
“เจ้าตื่นแล้ว!” ทันใดนั้นเสียงนุ่มนวลสายหนึ่งก็ดังเข้ามาในหูของจวินอู๋เสีย จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้น และก็ได้พบกับเด็กสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มนางหนึ่ง ดวงตาที่กลมโตฉ่ำน้ำเป็นประกายของนาง กำลังมองมาที่นางด้วยความดีใจ
จวินอู๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อย นางสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้ายใดๆ จากร่างของเด็กสาวคนนี้ นางหลุบตาลง และก็ได้พบกับร่างเล็กๆ ที่คุ้นเคยนอนอยู่ข้างๆ นาง
เจ้าแมวดำตัวน้อยผล็อยหลับไปอย่างสนิท โดยมีผ้าพันแผลพันร่างของมันเป็นชั้นๆ ร่างเล็กๆ ของมันขดตัวเป็นลูกบอลนอนพิงอยู่ที่ข้างหมอนของจวินอู๋เสีย
“เดิมทีท่านอาจารย์ต้องการนำมันไปรักษา แต่ไม่ว่าทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมออกห่างจากเจ้าเลย แต่เจ้าวางใจเถิด อาจารย์ได้ช่วยทำให้จิตวิญญาณของมันเสถียรแล้ว ผ่านไปช่วงหนึ่งอาการของมันก็จะดีขึ้นเอง” น้ำเสียงเล็กๆ ที่น่ารักนั้น ยิ้มและกล่าวปลอบโยนหลังจากสังเกตเห็นว่าจวินอู๋เสียจ้องไปที่เจ้าแมวดำตัวน้อยตาไม่กะพริบ
ตอนที่ 348 สำนักศึกษาหงส์อมตะ (1)
จวินอู๋เสียหลุบตาลง อุ้มเจ้าแมวดำตัวน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนของนาง จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินลงจากเตียง
เฟยเยียนตกใจมาก รีบเข้าไปหยุดนางไว้ “เจ้ายังลุกจากเตียงไม่ได้นะ!”
อย่างไรก็ตาม จวินอู๋เสียก็ยังยืนกรานที่จะลุกขึ้น มื่อเท้าทั้งสองข้างของนางแตะพื้น อาการวิงเวียนศีรษะรุนแรงก็เข้าจู่โจมนางทันที เฟยเยียนรีบเข้าไปช่วยประคองนางไว้ด้วยความตื่นตระหนก แต่จวินอู๋เสียก็สามารถประคองตัวเองไว้ได้อย่างมั่นคงก่อน นางเดินไปที่ประตู…
ทิวทัศน์ด้านนอกประตูนั้นค่อนข้างทรุดโทรมเล็กน้อย ลานฝึกอันว่างเปล่า ลานเรือนพักที่ชำรุดทรุดโทรมไปบ้างบางส่วนแล้ว กับวัชพืชที่ขึ้นแทรกระหว่างแผ่นหินที่ปูอยู่บนพื้น ลานเรือนพักนี้ดูอย่างไรก็เหมือนเรือนที่ร้างไปนานแล้วเลย ไม่เหมือนสำนักศึกษาสักนิด
‘สำนักศึกษา’ สามคำนี้จวินอู๋เสียเคยได้ยินหลายคนพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เด็กหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยหลังจากปลุกภูติวิญญาณของพวกเขาให้ตื่นขึ้นมาแล้ว มีจำนวนไม่น้อยที่เลือกเข้าสู่สำนักศึกษาและกราบอาจารย์ เพื่อเรียนรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับภูติวิญญาณและพลังวิญญาณ
จวินอู๋เสียเองก็ควรจะได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาตามวัยของนาง แต่ดันล่าช้าเพราะเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นในรัฐชีเสียก่อน
สายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาในลานเรือนพักพร้อมกับกลิ่นของสุรา จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเดินไปตามกลิ่นนั้นไป
ที่มุมหนึ่งของลานเรือนพัก ด้านข้างสระบัว บุรุษผู้ที่ไว้หนวดเคราเต็มหน้านั่งอยู่บนม้านั่งหิน เขาถือไหสุราไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วยกดื่ม ใบหน้าที่มีหนวดเคราของเขาขึ้นสีแดงก่ำ ดวงตาของเขาปรือคล้ายคนเมา แต่สิ่งที่ทำให้จวินอู๋เสียสนใจจริงๆ กลับเป็นดอกบัวที่เหี่ยวแห้งดอกหนึ่งในสระบัวที่เต็มไปด้วยแหนที่อยู่ข้างหลังเขา
“นี่! เจ้าเคลื่อนไหวมากแบบนั้นไม่ได้จริงๆ นะ! อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีเลย!” เฟยเยียนรีบวิ่งเข้ามา และเมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียหยุดยืนที่ริมสระบัว ดวงตาของเฟยเยียนก็กวาดมองไปทางบุรุษไว้เคราที่อยู่ข้างๆ นางรีบฟ้องไปว่า “ท่านอาจารย์! ท่านดูนางสิ บาดแผลยังไม่หายดีเลยก็วิ่งไปทั่วแบบนี้”
บุรุษไว้เคราที่เฟยเยียนเรียกว่าอาจารย์ เงยหน้ามองจวินอู๋เสียและโบกมือให้เฟยเยียนเบาๆ “ให้นางดู ถึงอย่างไรนี่ก็คือวงแหวนภูติวิญญาณของนาง กลายเป็นสภาพเช่นนี้ไปแล้ว เป็นเรื่องปกติที่นางจะเป็นกังวล”
ดอกบัวเพียงดอกเดียวที่ลอยอยู่ในสระ ก็คือบัวหิมะซังอวี้ หลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของบุรุษชุดขาว บัวหิมะซังอวี้ก็สูญเสียพลังชีวิตส่วนใหญ่ไปและไม่สามารถแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์ได้อีก ความงามในอดีตของมัน ก็โรยราและถูกแทนที่ด้วยความเหี่ยวเฉา
จวินอู๋เสียมองไปที่บัวหิมะซังอวี้อย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ บนใบหน้าของนาง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางถึงหันศีรษะไปมองบุรุษไว้เคราที่กำลังหรี่ตาลงมองมาทางนี้ด้วยความสนใจ
“มันยังพอจะช่วยชีวิตได้หรือไม่”
“เป็นเพียงการถูกทำลายแก่นจิตวิญญาณเท่านั้น ปล่อยให้มันฟื้นฟูอยู่ในสระนี้สักระยะหนึ่งก็น่าจะยังพอมีความเป็นไปได้ แต่หากเจ้าย้ายมันไปที่อื่น ภายในครึ่งเดือนจิตวิญญาณของมันก็จะกลายเป็นขี้เถ้า ปลิดปลิวหายไปทันที” บุรุษไว้เคราตอบนางอย่างตรงไปตรงมา
คิ้วของจวินอู๋เสียตึงขึ้น นางหลุบตาลง มองไปที่เจ้าแมวดำตัวน้อยที่นอนอ่อนแรงอยู่ในอ้อมแขนของนางและไม่พูดอะไรอีก
“แทนที่จะมัวแต่ไปสนใจมัน ไม่สู้เจ้าเอาเวลามาดูแลตัวเองดีกว่า ร่างกายของเจ้าในยามนี้แม้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอันใด แต่จิตวิญญาณของเจ้านั้นกลับเสียหายอย่างรุนแรง ข้าได้ยินเฉียวฉู่บอกว่า เจ้าพบผู้คนจากสามโลกชั้นกลางและได้ใช้วิธีพิเศษบางอย่างเพื่อโจมตีเขาใช่หรือไม่” บุรุษไว้เคราชะงักไปครู่หนึ่งและพูดว่า “อย่าเพิ่งตกใจไป ข้าเป็นอาจารย์ของพวกฮวาเหยาและคนอื่นๆ”
จวินอู๋เสียมองไปที่บุรุษที่ไว้เคราแต่ไม่ได้พูดอะไร
บุรุษไว้เครามองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ที่เย็นชาของจวินอู๋เสียอย่างจนปัญญา ก่อนจะหลุดยิ้มอย่างอดไม่ได้แล้วพูดว่า “ลืมมันไปเถอะ หากเจ้าไม่ต้องการพูดก็ไม่ต้องพูด จิตวิญญาณที่บาดเจ็บไม่ง่ายต่อการรักษา คราวหน้าจำไว้ว่าเจ้าต้องระวังให้มากกว่านี้”
จวินอู๋เสียหันกลับไปมองบัวหิมะซังอวี้อีกครั้ง “ท่านสามารถช่วยมันได้ใช่หรือไม่” แม้ว่านางจะไม่รู้สึกถึงจิตวิญญาณของเจ้าดอกบัวขาวน้อยและบัวหิมะมัวเมาอีกแล้ว แต่นางก็สัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าบัวหิมะซังอวี้ในสระ ดูเหมือนจะโมโหมากกว่าวันนั้นเสียอีก