ตอนที่ 349 สำนักศึกษาหงส์อมตะ (2) ตอนที่ 350 สำนักศึกษาหงส์อมตะ (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 349 สำนักศึกษาหงส์อมตะ (2)

บุรุษไว้เคราเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าทิ้งมันไว้ที่นี่ก็ไม่ตาย”

“ฮวาเหยาและเฉียวฉู่อยู่ที่ไหน” จวินอู๋เสียถาม

“เฟยเยียน เจ้าพานางไปที่นั่น” บุรุษไว้เคราพยักพเยิดหน้าให้เฟยเยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา

มองตามแผ่นหลังของจวินอู๋เสียที่เดินจากไป บุรุษไว้เคราก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นขมวดคิ้วคิดหนัก เขายกไหสุราขึ้น เงยหน้าแล้วซดสุราลงคออึกใหญ่ ดวงตาเลื่อนไปจับจ้องบัวหิมะซังอวี้ที่ลอยอยู่ในสระ

“ภูติวิญญาณประเภทพฤกษา ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้คนจากสิบสองตำหนักจะถูกมันดึงดูดความสนใจมา หากว่าเรื่องนี้ดังไปเข้าหูคนของสามโลกชั้นสูงอีกล่ะก็ เกรงว่าพายุฝนโลหิตคงจะพัดกระหน่ำทั้งสามโลกในอีกไม่ช้าแล้ว” เขาซดสุราต่ออีกหลายอึก จู่ๆ ก็พบว่ามันรู้สึกตลก

เฟยเยียนเดินนำจวินอู๋เสียกลับไปยังลานที่พัก และเดินไปที่ประตูบานหนึ่งซึ่งถูกลงกลอนเอาไว้ ขณะที่นางกำลังจะเคาะประตู ประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออกจากด้านใน

ชายหนุ่มรูปงามผู้มีใบหน้าคมคายหล่อเหลา และมีบรรยากาศรอบตัวที่อ่อนโยนยืนอยู่ด้านหลังประตูบานนั้น ดวงตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แข็งค้างไปครู่หนึ่งราวกับว่าทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นเฟยเยียนและจวินอู๋เสียมายืนอยู่ที่นอกประตู ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนเบาๆ แล้วถามออกไปว่า “เยียนเอ๋อร์มาแล้วหรือ คนผู้นี้คงเป็นสหายที่พวกพี่ฮวาพากลับมาด้วยกระมัง”

เฟยเยียนยิ้มและวิ่งไปยืนอยู่ด้านข้างของชายหนุ่มผู้นั้น เมื่อมองแวบแรก ทั้งสองมีความสูงเกือบเท่ากันเลย

“เป็นนางนั่นแหละ เพิ่งตื่นก็กระโดดลงจากเตียงแล้ว ข้าห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ ท่านอาจารย์เลยให้ข้าพานางมาเยี่ยมพี่ฮวาและเจ้าโง่เฉียว”

ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นกลับสว่างไสวและเจิดจ้า งดงามจนหมู่มวลบุปผาแทบจะสูญเสียเสน่ห์ของพวกมันไปทั้งหมด

ขณะที่ชายหนุ่มคนนั้นกำลังจะเปิดปากพูดต่อ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากด้านในห้อง

“น้องเสียมาแล้วหรือ! รอสักครู่นะ! ข้ายังไม่ได้ใส่กางเกงเลย!” เสียงของเฉียวฉู่เต็มไปด้วยความร้อนรนและตื่นตระหนก

เฟยเยียนที่ยังอยู่หน้าประตูหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “ดูความโง่เขลาของเจ้านั่นสิ ทำอย่างกับว่าใครอยากเห็นของเขาอย่างนั้นแหละ”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างหลุดขำตาม เขามองไปที่จวินอู๋เสียและพูดว่า “รอสักครู่ก็แล้วกันนะ ข้าชื่อหรงรั่ว ข้าได้ยินว่าเจ้าโง่เฉียวเรียกเจ้าว่าน้องเสียอย่างนั้นหรือ จะรังเกียจหรือไม่หากข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องเสียด้วยคน”

จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย

หรงรั่วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ทอดสายตาออกไปไกล

“วันนั้นที่พี่ฮวาและเจ้าโง่เฉียวพาเจ้ากลับมา พวกเราตกใจมากจริงๆ เจ้าอสรพิษทมิฬ…ภูติวิญญาณตัวนั้นที่พาพวกเจ้ากลับมาที่นี่ ตกตายลงไม่นานหลังจากที่มันทำภารกิจของมันสำเร็จลุล่วงแล้ว มันเหลือกระดูกงูทิ้งไว้กองหนึ่ง ข้าก็เลยนำมันไปฝังไว้ที่ภูเขาด้านหลังสำนักศึกษา”

จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไร ความทรงจำของนางหยุดลงที่ตรงฉากการระเบิดตัวเองของเยี่ยซาในวันนั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ หลังจากนั้น นางไม่รับรู้ ไม่มีความทรงจำอื่นใดหลงเหลืออยู่เลย

อสรพิษทมิฬตัวนั้น อาจจะเป็นวงแหวนภูติวิญญาณของชายชุดดำคนนั้น เมื่อเจ้านายของมันตายไป ปกติภูติวิญญาณจะสลายหายไป แต่นี่หรงรั่วกลับบอกว่ามันทิ้งกระดูกงูไว้กองหนึ่ง ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งนัก

หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เฉียวฉู่ที่อยู่ข้างในห้องก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง

“เสร็จแล้ว! เข้ามาได้เลย!”

หรงรั่วทำท่าทางผายมือเชิญ บุคลิกของเขาช่างดูสุภาพและอ่อนโยนราวกับหยก

จวินอู๋เสียก้าวเข้าไปในห้อง เมื่อนางเห็นฮวาเหยาและเฉียวฉู่นอนอยู่บนเตียงด้านซ้ายและด้านขวาภายในห้อง ร่างเล็กก็รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้

บนใบหน้าของเฉียวฉู่ครึ่งหนึ่งถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลหนา เขาสวมเสื้อคลุมตัวโคร่งดูไม่พอดีตัว เมื่อจวินอู๋เสียเดินเข้ามา เขาก็ยิ้มโง่ๆ ให้กับนางทีหนึ่ง จวินอู๋เสียมองไปที่ฮวาเหยาที่นั่งเงียบอยู่บนเตียงข้างๆ กัน หลังจากขมวดคิ้วเล็กน้อย นางก็พยักหน้าเบาๆ ตอบรับคำทักทายของทั้งคู่

“ช่วยข้าอุ้มมันไว้หน่อย” จู่ๆ จวินอู๋เสียก็หันหน้ากลับมาแล้วยื่นเจ้าแมวดำตัวน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของนางให้กับหรงรั่ว สีหน้าของหรงรั่วฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย เขามองไปที่เฟยเยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ต่างฝ่ายต่างก็เห็นความสงสัยในดวงตาของกันและกัน

เจ้าแมวดำตัวนี้ดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญอย่างมากต่อจวินอู๋เสีย แล้วทำไมนางถึงส่งมันให้หรงรั่ว แทนที่จะเป็นเฟยเยียนที่นางได้เห็นเป็นคนแรกหลังจากที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาเล่า

ทั้งสองคนไม่เข้าใจจริงๆ

“น้องเสีย เจ้านี่ก็นอนเก่งจริงๆ นะ หลับไปตั้งสามวันสามคืนกว่าจะตื่น” เฉียวฉู่มองไปที่จวินอู๋เสียที่เดินเข้ามาหาเขาทีละก้าวๆ ด้วยรอยยิ้มครึ่งหน้าที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์ด้านนอก

ตอนที่ 350 สำนักศึกษาหงส์อมตะ (3)

จวินอู๋เสียเดินตรงไปที่เตียงของเฉียวฉู่และเลิกผ้าห่มที่เฉียวฉู่คลุมไว้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงสักคำ

เฉียวฉู่สั่นสะท้านไปในทันที

ใต้ผ้าห่ม ผ้าพันแผลเปื้อนเลือดและขวดยามากมายกองซ้อนกันอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าเพิ่งรีบเก็บกวาดก่อนที่นางจะเข้ามา เพราะสภาพของมันช่างยุ่งเหยิงและขัดตาเกินทน

ดวงตาของจวินอู๋เสียฉับพลันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง

เฉียวฉู่กลืนน้ำลายดังอึก รีบดึงผ้าห่มกลับมาเพื่อปิดบังหลักฐานเหล่านั้น

“นี่…ของพวกนี้ ข้าว่าจะทิ้งมันไปตั้งหลายวันแล้ว แต่ไม่มีเวลาเก็บกวาดสักที ฮ่าฮ่า…ฮา…” เสียงหัวเราะของเฉียวฉู่ยิ่งมาก็ยิ่งเจื่อนลงทุกที

จวินอู๋เสียยกมือขึ้น กระชากเสื้อคลุมตัวโคร่งของเฉียวฉู่ออก ใต้เสื้อลุมตัวนั้น ผ้าพันแผลเปื้อนเลือดยังคงพันอยู่รอบร่างของเขาหลายชั้น เลือดสีแดงสดที่ซึมผ่านผ้าพันแผลขึ้นมา ย้อมสีของผ้าพันแผลเดิมให้กลายเป็นสีโลหิตทั้งผืน ดูน่าตกใจเป็นอย่างมาก

เฉียวฉู่อ้าปากค้าง เขาสูดลมเย็นเข้าปอด มันสายเกินไปแล้วที่จะปกปิด ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำได้เพียงทำให้ร่างกายแข็งทื่อ และมองไปที่ใบหน้าที่เย็นชาและซีดขาวของจวินอู๋เสีย

“คือว่า…นั่น…จริงๆ แล้ว…มันกำลังจะดีขึ้นในไม่ช้านี้แหละ”

จวินอู๋เสียไม่สนใจเขาอีกต่อไป เงยหน้าขึ้นมองไปที่ฮวาเหยา ฮวาเหยาก็ถอนหายใจออกอย่างช่วยไม่ได้ เขาทำได้เพียงปลดเสื้อคลุมของตัวเองลงเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนของเขาที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลเปื้อนเลือดไม่ต่างกับของเฉียวฉู่

เขาเคยบอกกับคนอื่นๆ ไปแล้วว่าปิดไว้ไม่มิดหรอก

“กรรไกร” จวินอู๋เสียพูดอย่างเย็นชา

เฉียวฉู่ก็หยิบกรรไกรจากใต้ผ้าห่มส่งให้นางอย่างว่าง่ายทันที

จวินอู๋เสียรับกรรไกรมาและตัดผ้าพันแผลบนตัวของเฉียวฉู่ออก พริบตาบาดแผลที่มีเลือดไหล มีสภาพบวมและเริ่มอักเสบเล็กน้อยทั่วตัวของเฉียวฉู่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง

ดวงตาของจวินอู๋เสียหรี่ลง

“ไม่เป็นไรจริงๆ…” เฉียวฉู่ยังคงไม่ละความตั้งใจเดิม ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของจวินอู๋เสียที่ค่อนข้างตึงเครียด เขาจึงพูดออกไปเพื่อคลายความอึดอัด

“ผิวของข้าน่ะทั้งหนาทั้งหยาบ บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก”

ใบหน้าของเฉียวฉู่ บัดนี้ปูดโปนและเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว เลือดยังคงจับตัวเป็นก้อนอยู่ที่ครึ่งหน้าของเขาและยังไม่สลายไป ทำให้บาดแผลเหล่านี้ยิ่งดูรุนแรงมากขึ้นกว่าเก่า

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด อาการบาดเจ็บของเฉียวฉู่ ไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่เขาอ้างสักนิด

หรงรั่วและเฟยเยียนถอยออกมายืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความจนใจ เมื่อทั้งสองคนกลับมาในวันนั้น อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ร้ายแรงไม่ได้ด้อยไปกว่าของจวินอู๋เสียเลย เพียงแต่จวินอู๋เสียบาดเจ็บหนักที่แกนจิตวิญญาณ ซึ่งรักษาได้ค่อนข้างลำบาก ส่วนพวกเขาทั้งสองคน ก็สภาพอย่างที่เห็น บาดแผลน้อยใหญ่ตามตัวสาหัสเป็นอย่างมาก หลังจากที่ทั้งคู่ทิ้งประโยคนั้นไว้ก่อนแล้ว ก็หมดสติไปจนเมื่อไม่นานมานี้ถึงเพิ่งฟื้น

พวกเขาพูดว่า…

ช่วยจวินเสียด้วย

พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้หรอกว่าใครคือจวินเสีย แต่มันก็ชัดเจนเมื่อพวกเขาเห็นจวินอู๋เสียถูกทั้งสองคนกอดเอาไว้แน่น

ไม่มีใครคาดคิดว่าฮวาเหยาและเฉียวฉู่ จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเดินทางไปยังสำนักชิงอวิ๋นเช่นนี้

จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หยิบเม็ดยาที่กองสุมๆ กันออกมา เปิดปากของเฉียวฉู่แล้วเทมันลงไปในปากของเขา

เฉียวฉู่เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้วในเวลานี้ เขาอยากจะประท้วงสักหนึ่งหรือสองคำ แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของจวินอู๋เสีย ความกล้านั้นก็พลันมลายหายไป และคำพูดทั้งหมดก็ถูกกลืนกลับลงไปในท้องของเขา เขาได้แต่ส่งเสียงฮึมฮัมกับตัวเองอย่างเงียบๆ

หลังจากที่เฉียวฉู่กลืนยาเสร็จ จวินอู๋เสียก็เริ่มลงมือจัดการกับบาดแผลบนร่างของเขา

เฟยเยียนและหรงรั่วยืนดูอยู่เงียบๆ จากทางด้านข้าง ในตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรนัก แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าอาการบาดเจ็บของเฉียวฉู่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การรักษาของจวินอู๋เสีย พวกเขาก็ตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์

“นี่…ค่อนข้างเก่งกาจเกินไปหน่อยหรือไม่”เฟยเยียนกะพริบตาปริบๆ ดวงตาที่มองไปทางจวินอู๋เสียเต็มไปด้วยความเทิดทูนและเลื่อมใส

ฝีมือขนาดนี้ โหดยิ่งกว่าอาจารย์ของพวกเขาเสียอีก!

หรงรั่วเองก็พยักหน้าเช่นกัน ฝีมือการรักษาของจวินอู๋เสีย เรียกได้ว่าเป็นทักษะทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย!

รอจนกระทั่งจัดการบาดแผลบนตัวเฉียวฉู่ทั้งหมดเสร็จ จวินอู๋เสียก็พันผ้าพันแผลกลับเข้าไปให้เฉียวฉู่อีกครั้ง และหันไปหาฮวาเหยาที่นั่งอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม

มองดูขวดยาในมือของจวินอู๋เสีย ฮวาเหยาก็รีบพูดขึ้นอย่างรู้ตัวเองดีว่า “ข้าจะกินยาเอง”