ตอนที่ 161 ในที่สุดก็มาถึง

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 161 ในที่สุดก็มาถึง

หลี่จื่อฟานกลับรู้สึกมีความสุข เขาก้าวเท้ามาขวางตรงหน้านาง เมื่อเห็นนางยังปิดใบหน้าด้วยผ้า ทว่าดวงตาคู่นั้นยังคงเหมือนเดิม รอยยิ้มพลันปรากฎขึ้นที่มุมปาก

“ชิง…อาฮวา” ภายใต้สายตาของนาง หลี่จื่อฟานจึงได้สติกลับมาในทันที รีบเปลี่ยนคำพูดอย่างจนปัญญา

ทว่าฝีเท้าของเขากลับเดินตามนางไปด้านหน้า เสนาบดีคนเดิมที่มีความสงบมาโดยตลอด ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนที่มีท่าทางลืมตัวเพราะความปีติยินดีอย่างบ้าคลั่งในวันอีกครั้งแล้ว “อาฮวา คราก่อนเหตุใดถึงจากไปดื้อ ๆ แบบนั้น? ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่ใด ชีวิตเป็นเช่นไรบ้าง”

อวี้ชิงลั่วถึงกับกลอกตาอย่างห้ามไม่อยู่ ภายในใจแอบโวยวายไม่หยุดพัก สามวันติดกันแล้วนะ สามวันติดกันแล้วที่นางต้องมาเจอกับเขา นางมีความแค้นอะไรกับเขากันแน่ เหตุใดถึงดวงสมพงษ์กันปานนี้?

“เสนาบดีฝั่งขวา พวกเรารักษาระยะห่างสักหน่อยเถอะ ข้ายังมีธุระต้องไปทำ คงอยู่คุยด้วยไม่ได้”

อวี้ชิงลั่วกล่าวจบก็เร่งฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หลี่จื่อฟานจะได้เจอกับนาง เขาจะปล่อยให้นางออกไปง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ขาทั้งสองข้างจึงก้าวเร็วยิ่งขึ้นตาม

ระหว่างที่กำลังไล่เดินตาม ต่างก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าข้างกายของตนเองมีใครเดินผ่าน และไม่รู้ว่าตนเองเดินมาถึงที่ใด

“แม่นางชิง” จนกระทั่งได้ยินเสียงมีความสุขของอวี๋จั้วหลินดังเข้ามาในหูของพวกเขาทั้งคู่ อวี้ชิงลั่วถึงกับตบหน้าผากตัวเอง นางไม่อยากเจอสองคนนี้เลยจริง ๆ

“เสนาบดีฝั่งขวา?” อวี๋จั้วหลินขมวดคิ้ว เมื่ออยู่ใกล้กับอวี้ชิงลั่วจึงทำให้เขาค้นพบว่าข้างกายของนางมีหลี่จื่อฟานยืนอยู่ด้วย ในใจจึงเกิดความเกลียดชัง ทว่ายังคงเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม “คารวะเสนาบดีฝั่งขวา”

เมื่อมีบุคคลภายนอกเพิ่มเข้ามา รวมถึงคนคนนี้คืออวี๋จั้วหลินคนที่เขาเกลียด หลี่จื่อฟานจึงวางท่าทางเย่อหยิ่ง

แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ ดูเหมือนว่าอวี๋จั้วหลินจะไม่รู้จักชิงลั่ว หรือว่าเขาไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของชิงลั่วใต้ผ้าคลุมหน้า?

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาเข้าใจ ในเมื่ออวี้ชิงลั่วไม่เปิดปากพูดอะไร เขาก็จะไม่พูดออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

อวี๋จั้วหลินเม้มปาก มองหลี่จื่อฟานอีกครั้ง กระซิบถามอวี้ชิงลั่ว “แม่นางชิง เหตุใดท่านถึงได้อยู่กับเสนาบดีฝั่งขวา?”

“อ๋อ เมื่อครู่เจอกันระหว่างทาง ข้าเดินชนเสนาบดีฝั่งขวาโดยไม่ทันได้ระวัง จึงทำให้เสนาบดีฝั่งขวาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่หัวเข่า ข้ารู้สึกผิด จึงอยากไปซื้อยาทาแผลให้ที่ร้านยา แต่เสนาบดีฝั่งขวาไม่ได้ใส่ใจจึงปฏิเสธข้า”

หลี่จื่อฟานเม้มปาก เมื่อเห็นอวี๋จั้วหลินเดินเข้ามา จึงพยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นอันเข้าใจว่าเห็นด้วยกับคำพูดของอวี้ชิงลั่ว ทว่าภายในใจกลับยิ่งมั่นใจได้ว่า อวี๋จั้วหลินมองไม่ออกจริง ๆ ว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือใคร ก็จริงอยู่ที่ตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่แต่งงานกัน เขาเพิ่งจะกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จก็ออกจากบ้านไปโดยไม่คิดจะเปิดผ้าคลุมหน้าขึ้น ไม่แปลกที่เขาจะจำชิงลั่วไม่ได้

อวี๋จั้วหลินไม่ชอบเสนาบดีฝั่งขวา และอยากตีตัวออกหากจากเขาด้วย ทว่าเขาก็ไม่อยากไปจากแม่นางชิงที่เจอตัวได้ยาก จึงแย้มยิ้มกล่าวเชิญว่า “แม่นางชิง คราวก่อนตอนที่ข้ากลับไปก็ไม่เห็นท่านแล้ว ข้ารู้สึกร้อนใจมาก ในเมื่อครั้งนี้ได้เจอหน้ากันอีกครั้ง ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับแม่นางชิงพอดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาการป่วยของคนในครอบครัว ข้าอยากคุยกับแม่นางชิงเป็นการส่วนตัว หากแม่นางชิงว่าง ช่วยไปจวนอวี๋กับข้าเพื่อรักษาอาการให้คนในครอบครัวข้าได้หรือไม่”

คำพูดนี้เป็นการขับไล่เสนาบดีฝั่งขวาแล้ว ทว่าหลี่จื่อฟานกลับไม่สนใจ เบือนหน้าไปทางอื่นราวกับไม่ได้ยิน

อวี้ชิงลั่วหัวเราะแห้ง ๆ สองเสียง เหตุใดจู่ ๆ นางถึงได้รู้สึกเสนบาดีฝั่งขวาก็มีช่วงเวลาทำตัวเป็นเด็กเหมือนกับเย่ซิวตู๋เลยนะ?

เพียงแต่อวี๋จั้วหลินพูดเช่นนี้แล้ว อีกอย่างนางเองก็อยากจะกำจัดบุคคลอันตรายอย่างหลี่จื่อฟานออกไปเร็ว ๆ จึงตกปากรับคำ “คุณชายอวี๋พูดถูก รักษาคนป่วยเป็นสิ่งสำคัญ ข้าจะไปที่จวนอวี๋พร้อมกับท่าน”

หลี่จื่อฟานชะงัก หันมองอวี้ชิงลั่วด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามีทักษะทางการแพทย์ด้วยรึ?”

“ใช่แล้ว เสนาบดีฝั่งขวา ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ วันนี้ข้ารู้สึกผิดต่อท่านมาก แต่ท่านเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย ต้องขอบคุณท่านมากที่ให้อภัย เช่นนั้นข้าขอตัวลา”

“ท่านเสนาบดี ขอตัวลา” อวี๋จั้วหลินรู้สึกมีความสุขอยู่ภายใน ก่อนจะเดินนำอวี้ชิงลั่วไปที่จวนอวี๋

หลี่จื่อฟานขมวดคิ้ว ทว่ากลับเดินตามหลังไปสองก้าว พูดเสียงเบา “เราเองก็มีเวลาพอดี เช่นนั้นข้าไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน เราเองก็สงสัยทักษะทางการแพทย์ของแม่นางชิง คราก่อนแม่นางที่ท่านอวี๋พูดว่ามีทักษะทางการแพทย์สูงผู้นั้น คงมิใช่แม่นางชิงผู้นี้หรอกกระมัง”

“เรื่องนี้…ท่านเสนาบดีติดตามไปด้วยคงไม่เหมาะเท่าไรกระมัง” อวี๋จั้วหลินหยุดฝีเท้า น้ำเสียงแฝงด้วยความเกลียดชัง

อวี้ชิงลั่วพยักหน้าตาม นั่นสิ ๆ จะตามไปทำไม? ตอนนี้นางไม่อยากใกล้ชิดกับเขาให้มากเกินไปด้วย

หลี่จื่อฟานเห็นการเคลื่อนไหวของนาง จึงอดเลิกคิ้วไม่ได้ กล่าวด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่น “ท่านอวี๋เกรงใจเกินไปแล้ว รถม้าของเราจอดอยู่ด้านหน้าพอดี เช่นนี้คงช่วยประหยัดเวลาให้แม่นางชิงด้วย อีกอย่างแม่นางชิงและท่านอวี๋ไปด้วยกันสองต่อสองบนถนนเช่นนี้เกรงว่าคงไม่สะดวก”

“ท่าน…” อวี๋จั้วหลินขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าเสนาบดีฝั่งขวาดูมีท่าทางผิดปกติเป็นพิเศษต่อแม่นางชิง ราวกับว่าจะใส่ใจนางมากเกินไปแล้ว

ครั้นนึกถึงความเป็นไปได้นี้ อวี๋จั้วหลินก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา และรู้สึกไม่มีความสุขที่ทั้งสองคนนี้เข้ากันได้มากขึ้น

ทว่าเสนาบดีฝั่งขวาผู้นี้เป็นคนทะเยอทะยานสูงมาโดยตลอด ระหว่างที่พูดเขาก็นำอวี้ชิงลั่วเดินไปด้านหน้าแล้ว

อวี๋จั้วหลินแอบหงุดหงิด แต่ก็ทำได้เพียงแค่เดินตามไป

ภายในรถเงียบสงัดจนน่ากลัว หลี่จื่อฟานหลับตาลงเล็กน้อย เอนกายเข้ากับตัวรถโดยไม่พูดไม่จา

อวี๋จั้วหลินมองหน้าเขาด้วยความระมัดระวัง ราวกับเขาเป็นภัยพิบัติอันใหญ่หลวง

มีเพียงอวี้ชิงลั่วที่นั่งคลึงหว่างคิ้วอย่างหมดแรง นี่มันอะไรกันเนี่ย? บุรุษและสตรีเดินอยู่บนถนนสองต่อสองไม่เหมาะสม แต่ให้บุรุษสองคนและหนึ่งสตรีนั่งในรถม้าคันเดียวกัน เหมาะสมมากกระมัง?

หรือพวกเขาไม่คิดว่านี่จะยิ่งทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น?

ไม่เพียงแค่นางที่คิดเช่นนี้ ฉินซงที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดมาโดยตลอดก็ถึงกับเหงื่อตกเช่นกัน

หากท่านอ๋องรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะทำเช่นไร เขาควรจะวิ่งกลับตำหนักอ๋องเพื่อไปรายงานท่านอ๋องดีหรือไม่? แต่แม่นางอวี้กำลังจะไปจวนอวี๋แล้ว หากเขาไม่ตามไป อาจมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้

ช่างเถอะ ติดตามไปก่อนก็แล้วกัน

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดรถม้าที่โคลงเคลงก็หยุดลงตรงหน้าประตูจวนอวี๋ คนรับใช้ของตระกูลอวี๋มองนายน้อยของตนเองและเสนาบดีฝั่งขวาที่กระโดดลงจากรถม้าด้วยความตกตะลึง และรีบวิ่งเข้าไปด้านในจวนเพื่อรายงานต่อฮูหยิน

นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ท่านเสนาบดีและนายน้อยของเขาเป็นราวน้ำกับไฟที่เข้ากันได้ยากมาโดยตลอด เหตุใดวันนี้ถึงได้นั่งรถม้าคันเดียวกันมาที่นี่?

คนรับใช้ผู้นั้นวิ่งด้วยความรีบร้อน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทันได้เห็นอวี้ชิงลั่วที่เดินตามลงมาจากรถ และคิดไม่ถึงด้วยว่าสตรีผู้นี้ที่ติดตามนายน้อยกลับมา จะเป็นฮูหยินน้อยที่เกือบจะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าธุลีภายในจวนอวี๋เมื่อหกปีก่อน

อวี้ชิงลั่วช้อนสายตาเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายกวาดมองตัวอักษรขนาดใหญ่สองพยางค์ที่อยู่เหนือศีรษะอย่างเนิบช้า…จวนอวี๋

ห่างหายไปหกปี ในที่สุดนางก็กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้งแล้ว

อีกอย่าง อดีตสามีของนางที่คิดอยากจะฆ่านางให้ตายก็กำลังเชิญให้นางเข้าไปด้านในด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม

………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ปวดหัวแทนชิงลั่วเลยค่ะ อยู่ดี ๆ ก็มีผู้สองคนมาแย่งชิงตัว แถมเคยมีประวัติกับชิงลั่วคนเก่าอีกต่างหาก

ถ้ากระจั๊วแซ่อวี๋ได้รู้ว่าแม่นางชิงคืออดีตภรรยาที่ตนสั่งฆ่านี่จะมีท่าทางเป็นอย่างไรนะ

ไหหม่า(海馬)