ตอนที่ 160 ไม่มีอะไร
เย่ซิวตู๋ออกแรงกอดนางไว้ในอ้อมกอด นอนตะแคงข้างอยู่ด้านหลังของนาง
“เย่ซิวตู๋ ท่านคงจบไม่สวยแล้วจริง ๆ” อวี้ชิงลั่วหมดแรงแล้ว หลังจากผ่านมาหลายครั้ง นางจึงคุ้นชินกับพฤติกรรมของเขา และมีภูมิคุ้มกันแล้ว
“บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเถอะ”
“หา?” อวี้ชิงลั่วฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาไม่เหมือนกับทุกครั้ง ราวกับว่าจะทุ้มต่ำลง คล้ายกับกำลังข่มความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น นางอยากหันหน้ากลับมา แต่เอวของนางกลับถูกเขากอดไว้จนแน่น จึงมิอาจขยับตัวได้
เย่ซิวตู๋พูดซ้ำอีกครั้ง “เล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องในตอนนั้น เรื่องหลังจากที่เกิดฟ้าผ่า”
ฟ้าผ่า? เขาหมายถึงครั้งนั้นที่เกิดขึ้นในห้องเก็บฟืนของอวี๋จั้วหลินน่ะหรือ? อะไรกัน เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้มาถามนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ จู่ ๆ ถึงได้เกิดความสนใจต่อสิ่งนี้ขึ้นมา
เรื่องในตอนนั้นต่างเป็นประสบการณ์ที่อวี้ชิงลั่วคนเดิมพบเจอ ที่นางรู้สิ่งเหล่านั้นเป็นเพราะแม่นมเก๋อเล่าให้ฟังในภายหลัง
“อะไรกัน เล่าไม่ได้เชียวหรือ?” เย่ซิวตู๋เงียบลงในทันที จึงนึกขึ้นได้ว่าบางทีนางอาจไม่อยากพูดถึงเรื่องราวอันเจ็บปวด หลังจากลังเลครู่หนึ่ง จึงลอบถอนหายใจ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ช่างเถอะ ไม่คุยก็ได้”
“ไม่ใช่ว่าเล่าไม่ได้หรอก” อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด นางรู้สึกว่าหากไม่เอ่ยปากพูดแล้วเอาแต่กอดอยู่อย่างนี้ ดูเหมือนจะอึดอัดยิ่งกว่า “ครั้งนั้นเกิดฟ้าผ่าลงมาจริง ๆ ห้องเก็บฟืนจึงเกิดไฟไหม้ทั้งหลัง อวี๋จั้วหลินสั่งให้คนของเขาปิดตายประตูห้องเก็บฟืน ข้าอยู่ด้านในจึงออกมาไม่ได้”
หลังจากนั้น แม่นมเก๋อก็ฉวยโอกาสตอนที่คนของจวนอวี๋ไม่ทันได้สังเกต พังหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังห้องเก็บฟืน บุกฝ่าทะเลเพลิงเข้ามาและพาตัวอวี้ชิงลั่วที่เป็นลมหมดสติออกไป
ตอนนั้นเกิดเปลวเพลิงรุนแรงมาก แม่นมเก๋อบุกเข้ามาจึงได้รับบาดเจ็บ ทั้งหน้าและมือถูกไฟเผาอย่างหนัก ทำให้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส
อวี้ชิงลั่วไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตด้านนอกเพียงลำพังมาก่อน จึงไม่มีทางออกอื่น ทำได้เพียงแค่ตามหาบ้านของตนเอง คิดว่าพ่อและแม่เลี้ยงของนางรักนางขนาดนั้น คงต้องรับนางไว้เป็นแน่
แต่กลับคาดไม่ถึง บิดากลับรังเกียจนางเพราะทำให้เขาอับอายขายหน้า ไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้นางเข้าบ้าน แต่ยังสั่งให้คนทุบตีไล่นางออกไป ครั้งนั้นเกือบทำให้นางเลือดตกยางออกจนเสียลูกไป แม่เลี้ยงที่นางเห็นเป็นมารดาแท้ ๆ ที่รักลูกสาวมาโดยตลอดกลับหัวเราะเยาะนาง ทั้งยังต่อว่านางยกใหญ่ คำพูดเหล่านั้นช่างร้ายกาจย่ำแย่ แตกต่างจากความรักทะนุถนอมที่เคยมีให้ในอดีตราวฟ้ากับเหว แม้แต่ตอนที่อวี้ชิงลั่วคว้ากรอบประตูไม่ยอมปล่อยมือ นางก็ยังปิดประตูแรง ๆ กดนิ้วของนางจนเกือบหัก
หลังจากนั้น ข้างกายของนางก็ยังมีนักฆ่าที่อวี๋จั้วหลินส่งตัวมา คิดหาวิธีเพื่อที่จะฆ่านางให้ตาย
หากไม่ใช่เพราะมีแม่นมเก๋ออยู่ข้างกาย เกรงว่าอวี้ชิงลั่วคงทนได้ไม่นานขนาดนั้น เพียงแต่ยิ่งท้องของนางโตขึ้น การหลบหลีกก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น นางพยายามไปหลบซ่อนตัวอยู่ในวัดทรุดโทรมที่ชานเมือง แต่ก็ยังถูกคนของอวี๋จั้วหลินตามหาจนเจอ แม่นมเก๋อปกป้องนางอย่างสุดชีวิต ทำให้มีบาดแผลทั่วทั้งร่างกาย แต่ก็ยังพยุงร่างของตัวเองเพื่อล่อคนพวกนั้นออกไป ทำให้นางคลอดลูกออกมาได้อย่างราบรื่น
น่าเสียดาย ท้ายที่สุดอวี้ชิงลั่วคนเดิมก็ทนต่อโศกนาฎกรรมของการถูกไล่ฆ่าและสภาวะคลอดยากที่กินระยะเวลายาวนานไม่ไหว จึงลาโลกนี้ไป
แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนี้อวี้ชิงลั่วไม่มีทางบอกใคร แม้แต่แม่นมเก๋อก็ไม่รู้ว่าสตรีที่คลอดลูกในตอนนั้นได้กลายเป็นวิญญาณไปแล้ว นางจึงใช้ข้ออ้างว่าหลังจากที่นางคลอดลูกอารมณ์ก็เปลี่ยนไป ทั้งยังสูญเสียความทรงจำ ทำให้แม่นมเก๋อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟัง
เพียงแต่แม่นมเก๋ออยู่ดูแลข้างกายนางได้ไม่นานก็หายตัวไป นางเป็นแม่เฒ่าคนหนึ่งที่คอยช่วยเหลืออวี้ชิงลั่วหลังจากแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนอวี๋ แม้แต่ประวัติความเป็นมาของนางก็ไม่ทราบอย่างแน่ชัด
ดังนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลอวี้ จนกระทั่งตอนนี้อวี้ชิงลั่วก็รู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น
อย่างน้อย ๆ เรื่องที่เสนาบดีฝั่งขวาและอวี้ชิงลั่วรู้จักกัน แม่นมเก๋อก็ยังไม่รู้
เย่ซิวตู๋ฟังอย่างเงียบ ๆ เมื่อได้ยินนางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ภายในใจของเขาพลันเกิดคลื่นปั่นป่วนและความรู้สึกหวาดกลัว เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ถึงระดับอันตรายในตอนนั้น โดยเฉพาะตอนที่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายคลอดบุตรอยู่ในวัดทรุดโทรม มันทำให้หัวใจของเขาบีบรัดจนกลายเป็นก้อน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าการหายใจยังยากลำบาก
“ลำบากเจ้าแล้ว” หลังจากนี้เขาจะปกป้องนาง จะไม่ให้นางต้องทรมานเช่นนี้อีก
อวี้ชิงลั่วรู้สึกจักจี้ที่ใบหู คำพูดของเย่ซิวตู๋ทำให้นางรู้สึกใจเต้นแรงในทันที รู้สึกได้ว่าแขนที่อยู่บริเวณข้างเอวจับแน่นขึ้น นางเม้มปากไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ปัดมือของเขาออก
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงได้ถามเรื่องนี้? เหตุใดวันนี้ท่านถึงทำตัวแปลกเช่นนี้?”
“เปล่าหรอก นอนเถอะ” เย่ซิวตู๋ห่มผ้าให้นาง ยังคงนอนกอดนางเช่นนี้และค่อย ๆ หลับตาลง
อวี้ชิงลั่วถึงกับมุมปากกระตุกวูบ นางอยากผลักเขาออกไป แต่ก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศเช่นนี้ช่างเงียบสงบและงดงามเกินไปแล้ว ทำให้นางทำไม่ลง แต่ถ้าไม่ผลักออกไป พวกเขาทั้งคู่ก็คงต้องนอนกอดกันทั้งคืน
อวี้ชิงลั่วเกิดความสับสนภายในใจ คิดไปคิดมาก็หลับไปพร้อมกับลมหายใจที่นิ่งสงบของเย่ซิวตู๋
เพียงแค่ภายในใจของนางก็ยังเกิดความสงสัย นางรู้สึกได้ว่าเย่ซิวตู๋ในวันนี้ ผิดปกติมากจริง ๆ
และความสงสัยนี้เอง เมื่อจินหลิวหลีมาถึงในวันรุ่งขึ้น นางจึงเข้าใจได้อย่างกระจ่าง
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” อวี้ชิงลั่วไม่รู้ว่าระหว่างนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ด้วย และไม่รู้ด้วยว่าหลังจากอวี๋จั้วหลินส่งคนมาไล่ฆ่านาง ที่แท้ก็เป็นเพราะเฉินจีซินแอบไปบอก ช่างเป็นมารดาที่ดีของนางจริง ๆ
อันที่จริงนางไม่ได้รู้สึกอะไรกับตระกูลอวี้หรอก ไม่ถึงกับชอบและไม่ถึงขั้นเกลียด ถึงอย่างไรประสบการณ์ทุกข์และสุขเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่อวี้ชิงลั่วคนเก่าพบเจอ ส่วนประสบการณ์ที่นางได้เจอคือฉากไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่อวี๋จั้วหลินทำไว้และภาวะคลอดยาก ดังนั้นนางจึงรู้สึกเกลียดบุรุษที่ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลแสนไร้ยางอายและน่าดูหมิ่นขนาดนี้
จินหลิวหลีนั่งอยู่กลางห้อง ดื่มน้ำชาสองคำทอดมองออกไปด้านนอก นางไม่เห็นคนเมื่อวาน จึงแอบรู้สึกโล่งใจเบา ๆ
“ชิงลั่ว เกี่ยวกับอวี้เป่าเอ๋อร์…”
อวี้ชิงลั่วเม้มปากไม่พูดไม่จา อวี้เป่าเอ๋อร์ เดิมทีนางยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน เป็นน้องชายจากพ่อแม่เดียวกัน
“ซวยแล้ว เย่ฮ่าวหรานมาแล้ว ชิงลั่ว ข้าไปก่อนนะ อีกสองวันข้าจะกลับมาใหม่” จินหลิวหลีลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้โดยพลัน เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากด้านนอก จึงรีบกระโดดออกนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว และหายไปภายในวินาทีเดียว
ตอนที่เย่ฮ่าวหรานมาถึงก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว เขาเคาะกับกับกรอบประตูด้วยความหงุดหงิด พูดอย่างโกรธเคืองว่า “หนีอีกแล้ว เห็นข้าเป็นคนโฉดชั่วหรืออย่างไรกัน? มีอะไรให้นางต้องหนีนักหนา? อวี้ชิงลั่ว คราหน้าตอนที่เจอหลีเอ๋อร์ เจ้าช่วยจับนางให้ข้าแล้วรอให้ข้ามาถึงก่อน เข้าใจหรือไม่?”
“……”
“หืม อวี้ชิงลั่ว?” เย่ฮ่าวหรานก้าวเท้ามาด้านหน้าสองก้าวด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นนางไม่พูดไม่จาราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา มุมปากพลันกระตุกวูบอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะกระโดดออกนอกหน้าต่าง
ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง อวี้ชิงลั่วคลึงหว่างคิ้ว นางไม่มีกะจิตกะใจจะอยู่ในตำหนักแล้ว หลังจากเก็บของเรียบร้อยจึงเดินออกจากตำหนักอ๋องซิว
ทว่าตอนที่นางออกจากตำหนักอ๋องซิวได้ไม่นาน จู่ ๆ เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฝีเท้าของนางถึงกับชะงัก แอบลอบถอนหายใจ เมื่อครู่ตอนที่ก้าวเท้าออกมาดูเหมือนจะลืมดูปฏิทินหวงลี่ [1] ไปเสียสนิทเลย
………………………………………………………………………………….
[1] ออกจากบ้านไม่ดูปฏิทินหวงลี่ (出门没看黄历) หมายถึง ดวงซวย
สารจากผู้แปล
เลวมากทั้งตระกูลอวี๋กับตระกูลอวี้เลย เลวสุดคืออวี๋กระจั๊วหลิน ไม่มีมันคนเดียวก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก
ชิงลั่วเจอใครอีกนะ ชีวิตสู้กลับที่แท้ทรู
ไหหม่า(海馬)