บทที่ 182 ควรอยู่ให้ห่างเธอเอาไว้

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 182 ควรอยู่ให้ห่างเธอเอาไว้
บทที่ 182 ควรอยู่ให้ห่างเธอเอาไว้

ตอนนี้พวกเขากำลังวางแผนจะทุบตีเหลียงซิ่วเมื่อมีโอกาส

ถูกต้อง พวกเขาคิดจะทุบตีเธอ

ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากบ้านเหลียงไม่กล้าลงมือ แต่เหลียงซิ่วเป็นลูกสาวบ้านเรา ต่อให้ตบได้ก็ไม่มีแรงกดดันไปข่มเหงเขา

ออกเรือนแล้วอย่างไร?

ต่อให้ออกเรือนแล้วก็ยังเป็นลูกสาวบ้านเหลียงอยู่ดี!

“ได้ยินว่าคนบ้านซูมีมารยาท แต่คนมีมารยาทที่ไหนปล่อยให้ไอ้เด็กพวกนี้ปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้กัน?”

ยายเฒ่าเหลียงจ้องเขม็งไปที่คุณย่าซู ท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำเอาคนที่เห็นต่างก็อึดอัดจริง ๆ

คุณย่าซูกำลังอยู่ข้างหลาน ๆ “พวกเธอมาทุบตีคนเขาถึงบ้าน ถ้าพวกเรายังกลัวอยู่จะไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะจนตายหรอกหรือ?”

“พวกเราไม่ได้คิดจะมาตบตีเสียหน่อย แต่นังเหลียงซิ่วนั่นตั้งแต่ที่มันแต่งงานออกไปก็ลืมสิ้นไปเลยว่าพ่อแม่เลี้ยงมันมา พวกเราแก่ชราแล้ว แค่ขออะไรนิดหน่อยก็ดันเลี่ยง” แม่เฒ่าเหลียงพูดด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ

“ของอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ สิ่งนั้นมันนิดหน่อยหรือ?” คุณย่าซูหัวเราะด้วยความโกรธ

หนังหน้ายายแก่บ้านเหลียงนี่มันน่าสนใจจริง ๆ หนากว่ากำแพงเมืองเสียอีก เอามีดแทงยังไม่เข้าเลย!

“แม่ อย่าไปพูดกับพวกเขาสิว่ามีไม่มีอะไร เอานังเหลียงซิ่วนี่มัดไว้ ส่วนงานที่ทำวันนี้มันต้องมอบให้เรา ไม่อยากให้ก็ต้องให้!”

เหลียงเหล่าเอ้อร์ตะคอกเสียงเย็น ในมือถือเชือกตัดสินใจจะลงมือตรง ๆ

วันนี้เป็นวันดีจริง ๆ ที่พวกผู้ชายบ้านซูไม่อยู่!

“ฉันจะคอยดูว่าพวกแกตัวไหนมันกล้าลงมือกับสะใภ้ของฉัน!” คุณย่าซูยืนอยู่ตรงหน้าเหลียงซิ่วอย่างแข็งแกร่ง

เหลียงซิ่วไม่รู้ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร ไม่คิดเลยว่าพ่อแม่จะเป็นแบบนี้

คิดจะบีบบังคับให้เธอตายใช่ไหม?

“พ่อ แม่ ในใจพวกคุณ แค่งานตำแหน่งเดียวมันสำคัญกว่าลูกสาวอีกหรือ?”

ผู้เป็นมารดาเหมือนได้ยินเรื่องตลก นังเด็กสมควรตายคิดว่าตัวเองมีค่ามากกว่างาน?

ถ้ามีงานทำ หลานชายก็จะได้ไปทำงานในเมือง ไม่แน่ว่าอาจจะแต่งสะใภ้ที่มาจากเมืองก็ได้นะ ชีวิตจะรุ่งโรจน์ขนาดไหนกันนะ?

ทุกคนในเวิ้งน้ำจะต้องอิจฉาครอบครัวเรา!

“นังเด็กเลี้ยงเสียข้าวสุก มีอะไรที่ต้องจริงจังขนาดนั้น? ถ้าบ้านเราได้งาน จากนี้ก็ไม่มีใครดูถูกแล้วใช่ไหมล่ะ?” แม่เฒ่าเหลียงพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “แกรีบๆ ส่งมาเลยนะ ไม่งั้นพวกพี่ชายได้ลงมือกับแกแน่”

ลงมือ?

เหลียงซิ่วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชีวิตก่อนแต่งงาน ตอนนั้นพวกพี่ ๆ ลงมือกับเธอไม่น้อยเลย และหลังจากที่แต่งงานออกไปชีวิตถึงได้ดีขึ้น!

ถ้าลงมืออีกจะเป็นอย่างไรนะ? จะเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วหรือเปล่า?

เมื่อก่อนเธอเป็นคนกตัญญูและอยากดูแลพ่อแม่อยู่เสมอ แล้วก็เป็นเพียงเด็กหัวอ่อน

แต่ตอนนี้เธอไม่คิดจะเป็นลูกกตัญญูต่อแล้ว และไม่คิดจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ที่ลำเอียงแบบนี้ด้วย

แล้วก็จะไม่ปล่อยให้พี่ชายทำอะไรตนเองอย่างแน่นอน

“ฉันไม่ให้ งานของฉัน และก็เป็นของบ้านซูด้วย! ถ้าพวกคุณคิดจะตบฉัน ก็ดูซิว่าฉันจะยินยอมหรือเปล่า!” เหลียงซิ่วพูดจาฉะฉาน “ทุกอย่างเป็นของบ้านฉัน อย่าแม้แต่จะคิดแย่ง!”

พ่อเฒ่าเหลียงมองด้วยลูกสาวที่ท่าทางดื้อรั้น จู่ ๆ ก็คิดว่าการกระทำแบบนี้มันผิดจริง ๆ

แต่ถ้าจะให้ปล่อยไปง่าย ๆ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้น “ซิ่วเอ๋อร์ ในฐานะพ่อ ฉันรู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับเธอ ขนาดเธอยังรู้สึกแบบนั้นแล้วเราสองคนที่แก่แล้วจะไม่เป็นเหมือนกันหรือ?”

สิ่งที่เขาพูดมีเหตุผลมาก ถ้าเหลียงซิ่วไม่ถูกพ่อตบในวันนี้ อาจจะโดนชักจูงก็ได้

แต่ตอนนี้เธอคิดได้ว่า ที่พ่อพูดมามันไม่น่าจะง่ายดายขนาดนั้น ใครจะรู้เล่าว่าในใจคิดอะไรอยู่

พอพ่อเฒ่าเหลียงเห็นบรรยากาศไม่ตึงเครียดดั่งก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยอีกครั้ง

“ไม่ส่งงานให้ก็ไม่เป็นไร ในฐานะพ่อแม่เราบังคับเธอไม่ได้”

ถึงสิ่งที่พูดจะฟังดูสวยงาม แต่เหลียงซิ่วกลับรู้สึกว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยเธอไปง่าย ๆ แน่

พ่อพูดอีกครั้ง และก็เป็นอย่างที่คิดไว้

“ซิ่วเอ๋อร์ ยุคสมัยไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้เป็นยุคใหม่ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ว่าผู้ชายและผู้หญิงเท่าเทียมกัน เพราะงั้นเธอต้องเลี้ยงดูฉันกับแม่ที่แก่เฒ่า”

คุณย่าซูไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้น จึงคิดจะประชดประชันอีกสองประโยค ทว่าก็อดทนไว้เพื่อรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมา

“งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราไม่ได้ต้องการอะไรมาก จากนี้ไปในหนึ่งปีเธอจะต้องเอาตั๋วอาหารร้อยจินและเงินห้าสิบหยวนส่งให้พวกเรา”

เหลียงซิ่วมองพ่อด้วยสายตาไม่เชื่อ ไม่รู้จริง ๆ เลยว่ากล้าพูดออกมาได้อย่างไร?

เธอทำงานในโรงงานขนมไข่ได้ตั๋วอาหารต่อเดือนแค่ยี่สิบห้าจินเท่านั้น รวมกับเงินอีกสิบสี่หยวน แต่พ่อขอตั๋วอาหารหนึ่งร้อยจินและเงินห้าสิบหยวนเนี่ยนะ

ไม่ทันได้ตอบก็ได้ยินพี่รองพูดขึ้น “พ่อ แบบนี้จะดีหรือ? อย่างน้อยต่อเดือนก็ต้องได้ตั๋วสิบห้าจินกับเงินสิบหยวนสิ! พ่อแม่บากบั่นเลี้ยงมันมา จะให้มันลืมบุญคุณไม่ได้นะ!”

มันแค่งานเดียวและจะต้องเอามาให้ได้ ถึงจะไม่ถึงตาของครอบครัวเรา แต่ไม่ดีเท่าการขอตั๋วขอเงินตรง ๆ หรอก ถึงตอนนี้เราสามพี่น้องแบ่งกันก็ไม่ลำบากด้วย

เหลียงซิ่วไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่รู้สึกละอายใจ

นี่คือครอบครัวของเธอเอง เปิดหูเปิดตาจริง ๆ ที่ได้ยินคำพูดพวกนี้

น้ำตาของเหลียงซิ่วร่วงเผาะอย่างกลั้นเอาไว้ไม่ได้

แม่เฒ่าเหลียงเห็นลูกสาวไม่ตอบไม่พอยังร้องไห้อีก ก็รู้สึกไม่มีความสุขอีกครั้ง

“นังลูกเลว ฉันไม่เอางานแกแล้ว ยังร้องไห้หาอะไรอีก?”

“ที่พี่รองพูดแกได้ยินแล้วใช่ไหม? จะต้องส่งเงินและตั๋วมาให้ในแต่ละเดือนตามที่พี่เขาบอก”

“โอ้ แกทำงานที่โรงงานขนมไข่ เดือนนึงอย่างน้อยก็ต้องได้ขนมไข่ห้าจินกลับมาบ้านแหละ แล้วก็เอาเนื้อให้พวกหลาน ๆ ฉันด้วย”

หลี่ชุ่ยฮวาไม่เต็มใจ เธอมาเพื่อมาเอางานนะ ทั้งยังคิดไว้ดิบดี แค่แย่งมาได้มันก็จะเป็นของเธอ

แต่ไม่คิดว่าไอ้แก่ตายยากกลับไม่เอางานแล้ว ดันขออาหารกับเงินแทน

ถึงสองอย่างนี้จะดี แต่ต่อให้ได้มากก็ต้องแบ่งกันสามครอบครัวในบ้าน ต่อให้แบ่งได้ก็ไม่ได้เยอะอะไร

มันไม่เหมือนกับงาน ถ้าได้มันมาไว้ในมือก็จะเป็นของเธอเอง ไม่มีใครคิดใช้ประโยชน์ได้

“จะเป็นไปได้อย่างไร? งานนี้มันควรเป็นของบ้านเหลียง…”

“ใครที่ไหนมันมากัน มาพูดเรื่องไร้สาระหน้าประตูบ้านอยู่ได้ ไม่กลัวลมเข้าปากหรือไง!” คุณปู่ซูเดินมาพอดี อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

เดิมทีไม่คิดจะยุ่งเรื่องของพวกลูกหลานที่เป็นผู้หญิงเลย แต่อดไม่ได้จริง ๆ!

คุณปู่ซูพอจะรู้มาก่อนแล้วพ่อแม่ของสะใภ้สามเป็นพวกสับสนมึนงง แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามีตรงไหนที่สับสนกัน!

ที่แท้ก็เป็นพวกสุนัขไล่งับเงาอยู่แล้ว… ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยสักนิด!

คุณย่าซูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงของสามี

ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจจริง ๆ ถ้ารู้ก่อนจะไม่ปล่อยให้สะใภ้สามกลับบ้านหรอก

กลับไปทีไรก็มีแต่เรื่อง

ใบหน้าของพ่อเฒ่าเหลียงมีรอยยิ้มเสแสร้งปรากฏขึ้น แล้วยื่นหน้าไปคุยกับคุณปู่ซู

“พ่อเฒ่าซู มาแล้วหรือ?”

“ถ้าผมไม่กลับมา ครอบครัวของผมก็โดนพวกคุณทำลายสินะ?” คุณปู่ซูยิ้มเยาะ

“ที่พ่อเฒ่าซูพูดแบบนี้ คิดว่าเราเป็นคนอย่างไรกัน!” พ่อเฒ่าเหลียงแสร้งหัวเราะ

“พวกคุณจะเป็นคนอย่างไรผมไม่รู้ แต่การที่พวกคุณมาสร้างปัญหาถึงบ้านกับการบุกมาปล้นมีอะไรที่ต่างกันด้วยหรือ?”

แค่ประโยคเดียวทำเอาใบหน้าพ่อเฒ่าเหลียงปั้นยาก เขาฝืนยิ้มไม่ได้อีกต่อไป

“พ่อเฒ่าซูพูดแบบนี้ได้อย่างไร? ผมแค่อยากให้ลูกสาวให้เกียรติพวกเราสองคน มันผิดหรือไง?”

คุณปู่ซูรังเกียจจนไม่อยากคุยด้วย หน้าใหญ่จนแทบควบม้าวิ่งได้แล้ว!

คนที่ตามบ้านซูมาคือพวกหงซิน พวกเขาคอยล้อมอยู่รอบ ๆ เช่นกัน

หลังจากที่รู้ว่าบ้านเหลียงถ่อมาถึงที่นี่ก็เพื่อมาของานจากเหลียงซิ่ว แต่ละคนก็ซุบซิบนินทาว่าพวกบ้านเหลียงมันหน้าด้าน

“ชีวิตต้องขนาดไหนกันเนี่ยถึงได้มาเลียหน้าลูกสาวถึงที่นี่เพื่อขอข้าวขอเงิน?”

“ไม่ใช่ว่าไม่มีลูกชายเสียหน่อย ทำไมถึงให้ลูกสาวเลี้ยงเสียล่ะ? หน้าด้านจริง ๆ!”

“ฉันเห็นพวกบ้านเหลียงเป็นคนประเภทปากบนแตะผืนฟ้า ปากล่างแตะผืนดิน หน้าด้านเสียจริงนะ!”

ไม่ว่าใครก็อยากได้งานกันทั้งนั้น แต่ต้องได้มาด้วยความสามารถสิ ถ้ามีปากที่อ้ากว้างขนาดนี้ แถมยังเป็นสองปากชนกันเข้าไปอีก หน้าจะใหญ่ขนาดไหนกัน?

บ้านซูได้ทำงานรวดเดียวเลยสองคน พวกเขาอิจฉา แต่ถึงจะอิจฉาก็ไม่ได้มันมาด้วยความสามารถตัวเองใช่ไหมล่ะ?

“ป้าฉาง ป้าใช้ชีวิตมาจนอายุปูนนี้แล้ว เคยเห็นคนนี้แบบนี้มาก่อนไหม?”

ยายฉางส่ายหัว “ไม่เคยหรอก ไม่เคยเลย! ฉันคิดมาตลอดเลยว่า อยู่มาจนครึ่งค่อนชีวิตแล้ว เจอคนมาทุกประเภท แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าฉันไม่ได้รู้ลึกอะไรเลย!”

ก่อนหน้านี้เธอคิดเสมอว่าชีวิตบ้านซูสะดวกสบายนัก มีทั้งลูกชายและหลานชาย แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่าอาจไม่ได้ดีอย่างที่คิด!

“ป้าฉาง ไม่ใช่ว่าป้าไม่รู้ลึกหรอก แต่เพราะบ้านนี้มันถอดกางเกงมาแขวนคอต่างหาก พอตายก็เลยไม่มีหน้า”

“ใช่ ๆ ว่าก็ว่าเถอะ หงซินเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย!”

แต่ท่ามกลางเสียงเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมา

“พ่อแม่ของเหลียงซิ่วเลี้ยงมันมาจนโตแต่งงานออกเรือนไม่ง่ายเลยนะ แค่งานเดียวให้สักหน่อยจะเป็นไรไป”

ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิวซิ่วอิงที่พูดขึ้น

หลิวซิ่วอิงไม่คิดว่าบ้านเหลียงทำถูก เธอแค่คิดว่าจะให้พวกบ้านซูมันมีชีวิตที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

สะใภ้รองกับสะใภ้สามได้ทำงาน ส่วนสะใภ้ใหญ่ทำที่ฟาร์มไก่ ทั้งสามคนมีงานทำหมดเลย

พอเทียบแบบนี้แล้ว หากจะให้ทัดเทียมด้วยก็ต้องให้บ้านเหลียงแย่งไปถึงจะดี ดีที่สุดเลยให้คนบ้านผู้เฒ่าฉีมาแย่งไป

ให้ยายแก่ซูมันโดนเหยียดหยามอีก!

พวกสมาชิกมองไปที่หลิวซิ่วอิงราวกับเห็นคนโง่

เธอยืดคอ “ทำไม ทำไม? ฉันก็พูดความจริงไม่ใช่หรือไง?”

“ความจริงหรือ? ฉันว่า พ่อแม่ของสะใภ้บ้านแกก็เลี้ยงดูพวกเธอไม่ง่ายเหมือนกันนะ ถ้างั้นธัญพืชปีนี้ก็ส่งให้ไปบ้านพวกเขาซะสิ!” ยายฉางร้องเหอะ

ทำไมคนนี้มันโง่นัก?

ปกติก็พูดจากระทบกระทั่งกันอยู่แล้ว เลยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ทำไมยังไปช่วยคนอื่นที่มาทำร้ายคนของตัวเองอีก?

ยายฉางมองคนที่มีความคิดปิตาธิปไตยหนักเอาการ ยิ่งไปกว่านั้นคือมองเห็นได้ชัดมาก

หลังจากฟังที่ยายฉางว่าจบ หลิวซิ่วอิงก็ไม่คิดจะทำต่อแล้ว

“แกหมายความว่าอย่างไร? เอาธัญพืชบ้านเราไปให้บ้านสะใภ้ แกยังไม่ให้ด้วยซ้ำ แล้วทำไมฉันต้องให้ด้วย?”

“ก็แกเพิ่งอ้าปากกว้าง ๆ ของแกบอกเองไม่ใช่หรือว่าให้บ้านซูมันส่งงานไปให้คนอื่นเขาน่ะ” ยายฉางรู้สึกขยะแขยงจนไม่อยากมองหลิวซิ่วอิงตรง ๆ

ปกติก็หน้าตาท่าทางเหมือนหมาอยู่แล้ว พอถึงคราวคับขันแทบจะไม่ใช่คนเลย!

ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินมาว่า ซูเสี่ยวฉินเป็นคนไปรายงานบ้านซูถึงชุมชนใหญ่ด้วย เป็นพวกเจ้าวัดไม่ดี หลวงชีสกปรกจริง ๆ ด้วย*[1]

หงซินเราไม่มีคนแบบนี้หรอก!

คนประเภทนี้ควรอยู่ให้ห่างเอาไว้ ไม่แน่ว่าสักวันอาจจะเป็นครอบครัวเราที่โดนรายงานก็ได้

ถึงซูชวนและซูซานจะเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ ยังทำกันได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวโยงกันล่ะ?

หลิวซิ่วอิงยังสังเกตเห็นอีกว่า สมาชิกคนอื่น ๆ ของชุมชนเริ่มถอยห่างจากเธออย่างกะทันหัน

*[1] ผู้ใหญ่ประพฤติมิชอบ ผู้น้อยก็จะเลียนแบบในทางที่เสีย