บทที่ 228 จดหมายเชิญเข้าร่วมสุดยอดการประชุมวารสารแห่งทวีปเอเชีย (1)
วันที่ 8 ธันวาคม ไป๋เยี่ยสรุปเนื้อหาชีววิทยาของจุลินทรีย์เสร็จแล้ว เหลือแค่รอให้อาจารย์คังและนักวิชาการเกานำไปรวบรวม
วันนี้ไป๋เยี่ยได้รับโทรศัพท์จากกองบรรณาธิการ สมาชิกที่ออกไปศึกษาดูงานเริ่มกลับมากันแล้ว
ทันทีที่ไป๋เยี่ยรู้ข่าวก็รีบรุดไปที่กองบรรณาธิการของโรงพยาบาลทันที ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบเขาก็ต้องวางมาดให้ดูเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็เพิ่งกลับมา มีหลายเรื่องที่ต้องประกาศและจัดการ แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ควรมีการต้อนรับกลับสักหน่อย
ไป๋เยี่ยขอให้ผู้ช่วยจองที่นั่งในร้านอาหารและพาทุกคนไปที่นั่นก่อน ส่วนไป๋เยี่ยจะตามไปหลังจากที่ทำงานเสร็จแล้ว
ปีนี้หยางลี่อายุสามสิบห้าปี เธอจบปริญญาเอกจากซีเอ็มยู[1] ปัจจุบันทำงานอยู่ในแผนกวิชาการของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง วิชาเอกของเธอคือการวิจัยขั้นพื้นฐาน เธอไม่ต้องการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย จึงทำงานเป็นบรรณาธิการที่ผู่เจ๋อแทน
โรงพยาบาลผู่เจ๋อก็เป็นโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศเช่นกัน ในฐานะที่เป็นสมาชิกกองบรรณาธิการ เธอมองว่าการจะผลักดันวารสารให้ไปสู่ระดับประเทศเป็นเรื่องยาก
เดิมทีเธอเข้ามาทำงานที่ผู่เจ๋อตามที่ใฝ่ฝันไว้ แต่หยางลี่กลับพบว่าที่นี่ไม่เป็นดั่งที่เธอวาดฝันไว้ ปัจจุบันวารสารของผู่เจ๋อกลับกลายเป็นวารสารที่อาศัยบารมีเก่าเท่านั้น
เธอต้องการความเปลี่ยนแปลงจึงใช้ความสามารถของในการทำให้นิตยสารกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ถึงอย่างนั้น เธอเองก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าคนเราล้วนมีขีดจำกัด หากต้องการความเปลี่ยนแปลง ลำพังกองบรรณาธิการคงทำอะไรไม่ได้
คนจำนวนมากมีความฝันและความทะเยอทะยานเหมือนกับหยางลี่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ค่อยๆ คุ้นชินกับชีวิตที่ผ่านเลยไปวันๆ
ผู้คนยังคงคุ้นเคยกับสถานะปัจจุบันของ ‘การแพทย์ผู่เจ๋อสมัยใหม่’ แม้ต้องการความเปลี่ยนแปลงแต่ก็เปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้ จนบางทีเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องจนปัญญาที่ใหญ่โตที่สุด
แต่เมื่อไป๋เยี่ยถูกย้ายเข้ามาที่นี่ในฐานะหัวหน้ากองบรรณาธิการ หยางลี่ก็รู้สึกทึ่งและไม่ค่อยอยากเชื่อสายตาตนเองเท่าไหร่ ผอ.คิดทำเรื่องเหลวไหลแบบนี้ด้วยเหรอ
ให้ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีที่เพิ่งจะเข้าเรียนป.โทมาเป็นหัวหน้าของบรรดาด็อกเตอร์ ให้เขาเข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบวารสารระดับประเทศเนี่ยนะ จะให้เขารับผิดชอบบทความนับพันที่หลั่งไหลมาจากผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ทั่วประเทศจริงเหรอ
ผอ.เห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
หยางลี่อดตั้งคำถามในใจไม่ได้ เขามีสิทธิ์อะไร
วงการวิชาการมักประเมินคนจากผลงาน หากไม่มีผลงานก็ดูจากวุฒิการศึกษา เรซูเม่ที่ส่องแสงแวววาวเหล่านั้นล้วนเป็นข้อความที่ทรงพลังไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นใด แม้แต่กองบรรณาธิการของโรงพยาบาลผู่เจ๋อยังมีคนจบปริญญาเอกตั้งเจ็ดคนจากมหาวิทยาลัยชื่อดังตั้งหกแห่ง มีคนจบปริญญาโทอีกสี่คน ส่วนคนอื่นๆ ก็มาจากมหาวิทยาลัยท็อปยี่สิบของประเทศ
เขาเก่งขนาดนั้นจริงๆ เหรอ
แม้ว่าบทความของเขาจะมีคะแนนไอเอฟสูงถึง 258 คะแนน แต่เขาจะเป็นผู้นำการเผยแพร่สารสารระดับประเทศได้จริงๆ เหรอ
หยางลี่เห็นคนในกองบรรณาธิการดูตื่นเต้นก็พลันไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา…
แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่บรรณาธิการธรรมดาๆ อย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ลึกๆ ในใจของเธอก็มองว่าไป๋เยี่นเป็นคนที่มีประวัติน่าสนใจมาก
หลังจากที่ไป๋เยี่ยได้รับตำแหน่งก็ขอให้สมาชิกแต่ละคนออกไปศึกษาดูงาน และสั่งระงับการตีพิมพ์วารสารชั่วคราว
เมื่อหยางลี่เห็นว่าสถานที่ที่เธอต้องไปคือกองบรรณาธิการของ ‘เซลล์’ ก็ตกตะลึง ‘เซลล์’ เป็นถึงหนึ่งในวารสารชั้นนำของโลก เธอไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มีโอกาสได้มาดูงานที่นี่
แต่ไป๋เยี่ยกลับให้สมาชิกเกือบครึ่งหนึ่งไปดูงานที่ ‘เซลล์’ ล้อกันเล่นหรือเปล่า
ยิ่งไปกว่านั้น นอกจาก ‘เซลล์’ แล้ว ยังมีสถาบันวิจัยเอ็มไอโอซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลกและมีอิทธิพลในสายตาของนักวิจัยแทบทุกคนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่เอ็มไอโอรับผิดชอบมักจะเกี่ยวกับสัตว์ทดลอง การทดลองใดๆ ล้วนอาศัยสัตว์ทดลอง
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่หยางลี่เห็นจาก ‘เซลล์’ ก็เปลี่ยนทัศนคติของเธอที่มีต่อไป๋เยี่ยไปทันที เมื่อหัวหน้าบรรณาธิการของ ‘เซลล์’ รู้ว่าไป๋เยี่ยส่งคนมาศึกษาดูงาน เขาก็มอบหมายให้บรรณาธิการอาวุโสที่มีประสบการณ์เข้าไปให้ความรู้กับเหล่าสมาชิกแบบตัวต่อตัว ส่วนรองบรรณาธิการอย่างคาร์ลก็สอนพวกเขาถึงวิธีตัดสินการพัฒนาขององค์ความรู้และแนวโน้มของบทความเป็นต้น
บรรดาสมาชิกได้รับการยกระดับวิสัยทัศน์และความรู้อย่างครอบคลุม
สำคัญที่สุดคือ ชื่อของไป๋เยี่ยมีประโยชน์ต่อสถานที่นั้นมาก!
ยิ่งไปกว่านั้น หยางลี่ได้ข่าวมาจากคนที่ไปดูงานที่เอ็มไอโอว่าชื่อไป๋เยี่ยมีอิทธิพลมากในสถาบันวิจัยเอ็มไอโอ เมื่อคนที่นั่นรู้ว่าพวกเขาทำงานกับไป๋เยี่ยก็ปรี่เข้ามาถามถึงความเป็นอัจฉริยะของไป๋เยี่ย
ถามว่า ‘คนชื่อ ‘เยี่ย’ ที่มาจากจีนทำงานอะไร สาขาไหน ทำไมเขาถึงวิจัยอะไรใหม่ๆ ออกมาได้ตลอด’
ดูเหมือนว่าทุกคนจะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับไป๋เยี่ย
ในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ทุกคนก็ต้องยอมรับว่าไป๋เยี่ยคือบุคคลสุดอัศจรรย์ในสายตาของหน่วยงานยิ่งใหญ่อย่าง ‘เซลล์’ และสถาบันเอ็มไอโอ
ในสายตาของบรรดาสมาชิกมองว่าบรรณาธิการของ ‘เซลล์’ มีแต่อัจฉริยะ ทว่าในสายตาของคนพวกนั้นกลับมองว่าไป๋เยี่ยคือตำนาน!
ต่อมาหลังจากที่ทุกคนได้พูดคุยกันอย่างลึกซึ้งแล้ว ก็พอจะเข้าใจในตัวบรรณาธิการหนุ่มคนนี้ขึ้นบ้างแล้ว
ไป๋เยี่ยที่มีอายุเพียงยี่สิบสี่ปีได้ลงมือทำสิ่งที่หลายคนทำไม่ได้สำเร็จแล้ว
แม้จะรู้ว่าไป๋เยี่ยทำงานในกองบรรณาธิการของผู่เจ๋อ แต่ก็ยังมีบางคนที่หวังจะได้ทำงานกับไป๋เยี่ยอยู่เช่นกัน
จากคำพูดของคนเหล่านั้นล้วนบอกว่าไป๋เยี่ยคือ ‘ปาฏิหาริย์แห่งแดนบูรพา’ เป็น ‘ยอดอัจฉริยะผู้อัศจรรย์’!
ภายใต้การนำของเขา ทุกคนย่อมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายแน่นอน สำคัญที่สุดคือการทำลายกรอบความคิดเดิมๆ ลง ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการทำวิจัย!
แม้แต่ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเอ็มไอโออย่างเอ็นเดอร์สยังบอกบรรดาสมาชิกเสมอว่าให้เรียนรู้จากไป๋เยี่ย นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก ไม่นานความรู้ของไป๋เยี่ยก็จะยิ่งสูงเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ ถึงตอนนั้นแล้วการจะได้เจอหน้าไป๋เยี่ยก็คงเป็นเรื่องยาก
คำพูดของเอ็นเดอร์สทำให้ทุกคนนิ่งงันไป ไม่มีใครคาดคิดว่าประธานสถาบันวิจัยชั้นนำของโลกจะประเมินบุคคลได้สูงเช่นนี้
แม้จะทราบข่าวการตีพิมพ์วารสารของไป๋เยี่ยแล้ว วารสาร ‘ส่งเสริมการใช้สัตว์ทดลอง’ ซึ่งเป็นวารสารในเครือของสถาบันเอ็มไอโอก็ยังให้ความร่วมมือกับวารสาร ‘การแพทย์ผู่เจ๋อสมัยใหม่’ ด้วย
หนึ่งเดือนผ่านไป บรรดาสมาชิกต่างออกจากหน่วยที่พวกเขาไปดูงานแล้วกลับมายังผู่เจ๋อด้วยความคาดหวังอันเต็มเปี่ยมต่อตัวหัวหน้ากองบรรณาธิการคนใหม่
ไป๋เยี่ยรอรถแท็กซี่อยู่หน้าซอยชุมชนอยู่นานเสียจนเริ่มมีความคิดอยากจะซื้อรถยนต์บ้าง คนเราก็เป็นเสียแบบนี้ ครั้นเกิดกิเลสก็มีความรู้สึกอยากได้อยากมีขึ้นมาเสียดื้อๆ
เขาโทรหาคนขับรถด้วยความจนปัญญา ไม่นานนักก็มีรถไมบัคคันหนึ่งมาจอดเทียบที่หน้าซอย
ทันทีที่ไป๋เยี่ยมาถึงโรงแรม เขาก็รีบเดินเข้าไปในห้องที่จองไว้ ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือต้อนรับอันอบอุ่นดังขึ้นมา
“ยินดีต้อนรับหัวหน้า!”
“ยินดีต้อนรับ!”
[1] ซีเอ็มยู (CMU/Central Medical University) เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงปักกิ่ง