“นายน้อย…คุณหนู!”
ผู้ดูแลบ่อนที่รับแทงเดิมพันคำนับให้ทั้งคู่ ถ้าซูอันอยู่ที่นี่ เขาคงจำได้ทันทีว่าทั้งสองคนเป็นคนที่คุ้นเคย
ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ซ่างเชียน ส่วนผู้หญิงก็คือ เจิ้งตาน
“เจ้าแน่ใจเหรอว่าไอ้เด็กนั่นคือคนรับใช้ของซูอัน?” ซ่างเชียน ถามขึ้นในขณะที่มองไปยังหลังของ เฉิงโซวผิง ซึ่งกำลังค่อย ๆ เดินห่างไป
หลังจากเหตุการณ์ที่บ่อนโกยเงิน เขาได้แอบสนับสนุนตระกูลเจิ้ง ให้เปิดบ่อนใหม่ในเมือง ตระกูลเจิ้งเองก็เคยเปิดบ่อนมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเมื่อได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซ่าง บ่อนของพวกเขาจึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา
“ใช่ ผู้น้อยแน่ใจ…” ผู้ดูแลบ่อนโค้งตัวพลางตอบกลับ “ชื่อของเด็กคนนั้นคือ เฉิงโซวผิง เขาเป็นคนรับใช้เพียงคนเดียวของ ซูอัน”
“เมื่อครู่เขามาเดิมพันว่าซูอันจะแพ้จริงเหรอ?” ซ่างเชียนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน
“ใช่…เขาเดิมพัน 10,000 ตำลึงเงิน” ผู้ดูแลบ่อนรายงาน
เจิ้งตานขมวดคิ้ว “ คนรับใช้อย่างเขาจะมีเงิน 10,000 ตำลึงเงินได้อย่างไร? จะต้องเป็นซูอันแน่นอนที่ใช้ให้เขามาเดิมพันที่บ่อนแต่ไม่นึกเลยว่าซูอันจะเดิมพันว่าตัวเองจะแพ้เช่นนี้…”
ซ่างเชียนหัวเราะอย่างเต็มที่ “เห็นยั่วยุหยวนเหวินตง อยู่เรื่อย ๆ ข้าก็นึกว่าเขาจะมีไพ่เด็ดอยู่ในมือ ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วเขามันก็แค่คนไร้ค่าที่มีแต่ราคาคุย…ฮ่าฮ่า…แต่ก็อย่างว่า เราจะไปคาดหวังอะไรได้มากจากคนที่มาจากข้างถนนแบบมัน!”
เจิ้งตาน ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางมีความคิดขัดแย้งกับคำพูดของ ซ่างเชียน ชายหนุ่มผู้เป็นสุภาพบุรุษถึงขนาดไม่คิดเอาเปรียบนางทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีโอกาสอย่างคน ๆ นั้นและสามารถสร้างความเจ็บแสบให้กับคนทุกคนที่ยืนขวางทางเขาได้อย่างง่ายดายมีหรือจะเป็นคนที่ไร้ค่าอย่างที่ซ่างเชียนคิด?
“ส่งคนไปแจ้งซือคุนว่าความกังวลของเขาไม่มีมูล ซูอันไม่ใช่ภัยคุกคามที่จำเป็นต้องกังวลอะไร!” ซ่างเชียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ ถ้าเป็นไปได้เจ้าจงเปลี่ยนข้างเดิมพันที่ไอ้เด็กนั่นมันเดิมพันเอาไว้ให้กลับเป็นแทงฝั่งของไอ้ซูอันซะด้วย”
ผู้ดูแลบ่อนพยักหน้า “ไม่ต้องกังวลหรอกนายน้อย เรื่องนี้ข้าจัดการตั้งแต่ต้นแล้ว กระดาษเดิมพันที่เมื่อครู่ไอ้เด็กนั่นมันเขียนมันเป็นแผ่นที่ข้าทำขึ้นมาเตรียมเอาไว้ก่อนที่จะส่งให้มัน บนกระดาษถูกประทับตราแทงฝั่งของซูอันเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วยหมึกล่องหนซึ่งจะเข้มขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจนในวันพรุ่งนี้ ส่วนตราประทับที่ไอ้เด็กเฉิงโซวผิงนั่นมันถูกทาเอาไว้ด้วยหมึกแบบพิเศษที่จะจางหายไปในวันพรุ่งนี้เช่นกัน ส่วนหมึกที่มันใช้กับพู่กันเพื่อเอาไว้ลงชื่ออันนั้นเป็นของแท้ที่ไม่มีวันถูกลบออกตามปกติ!”
“ทำได้ดี!” ซ่างเชียนระเบิดเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้เงินจากผลการประลองของเจ้างั้นเหรอไอ้โง่ซูอัน? ฝันไปเถอะ ข้าไม่อนุญาต!”
ทันใดนั้น เขาจำบางอย่างได้และขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อนนะ…ทำไมไอ้ซูอันมันถึงเดิมพันแค่ 10,000 ตำลึงเงิน? มันมีเงินมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
เจิ้งตานยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “พี่ซ่าง…ท่านลืมไปแล้วงั้นหรือ? รางวัลส่วนใหญ่ที่เขาได้รับจากบ่อนโกยเงินเป็นเพียงตั๋วหนี้ซึ่งมันไม่สามารถเอามาเล่นพนันได้”
“นั่นก็จริง” ซ่างเชียนพยักหน้า “แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ควรจะมีเงินสด 40,000 ถึง 50,000 ตำลึงกับเขาในตอนนี้นี่นา? แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงเอาออกมาแทงแค่ 10,000 ตำลึงเงิน? หรือว่าจะเป็นเพราะไอ้คนผู้นี้มันยังไม่ลืมกำพืดตัวเองว่าต่ำต้อยแค่ไหนมันเลยไม่กล้าใช้เงินก้อนใหญ่?”
เจิ้งตานรู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของซ่างเชียน แต่อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถให้กับซูอันตรง ๆ ได้ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เป็นไปได้ไหมที่เขากระจายเงินเดิมพันไปหลายบ่อน?”
ซ่างเชียนพยักหน้าครุ่นคิด “มันอาจจะเป็นไปได้ หลังจากนี้เราต้องส่งคนไปดูที่บ่อนอื่นสักหน่อย อาจเป็นไปได้ว่าเขามาเดิมพันฝั่งตรงข้ามตัวเองที่บ่อนเราน้อยหน่อยแต่พอไปบ่อนอื่นเขาอาจใช้เงินที่เหลือทั้งหมดเดิมพันเข้าข้างตัวเองก็ได้”
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะมีสายข่าวที่ดีถึงขนาดรู้ว่าเรามีความเชื่อมโยงกับบ่อนแห่งนี้หรอกนะพี่ซ่าง” เจิ้งตานกล่าว
“แม้ความเป็นไปได้จะน้อย แต่เราก็ควรจะรอบคอบเอาไว้ดีกว่าเสียใจทีหลัง” ซ่างเชียนเอ่ยขึ้น “ว่าแต่ความคืบหน้าของเจ้ากับเขาจนถึงตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว?”
ใบหน้าของเจิ้งตานแดงขึ้นเล็กน้อย นางส่ายหัวและพูดว่า “นับตั้งแต่วันที่เราเริ่มแผนการข้าเจอเขาสองครั้งแล้ว แต่น่าเสียดายที่ข้าก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเขาซ่อนตั๋วหนี้เอาไว้ที่ไหน”
นางค้นหาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่นางไม่พบตั๋วหนี้ที่ไหนเลย เขาซ่อนมันไว้ที่ไหนกันแน่? หรือว่าอยู่ในตระกูลฉู่?
“เจ้าต้องรีบขึ้นหน่อย ตราบใดที่เรามีตั๋วหนี้ใบนั้นอยู่ในครอบครอง บ่อนโกยเงินและ สำนักดอกบ๊วยจะถูกยึดมาอยู่ภายใต้การควบคุมของเราได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ” ซ่างเชียนพูดขึ้น
“ข้ารู้แล้ว” เจิ้งตานสงสัยว่านางควรหาโอกาสที่จะแวะไปที่ตระกูลฉู่ดีหรือไม่ แต่นางรู้ว่าการเคลื่อนไหวเช่นนั้นอาจสร้างความสงสัยให้กับตระกูลฉู่
“จริงสิไอ้ซูอันมันเอาเปรียบเจ้ารึเปล่า?” ซ่างเชียนถามขึ้นด้วยสีหน้าประหม่า
เมื่อถูกถามเช่นนี้ เจิ้งตานก็นึกขึ้นได้ถึงความรู้สึกของมืออันหยาบกร้านของซูอันที่เคยลูบไล้บนต้นขาของนางในทันทีซึ่งมันมันทำให้หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะ อย่างไรก็
ตาม นางรีบเก็บอารมณ์อย่างรวดเร็วและตอบกลับอย่างใจเย็น “วางใจเถอะ ข้าไม่ยอมให้ชายผู้นั้นเอาเปรียบข้าได้ง่าย ๆ หรอก”
“ดีแล้วๆ” ซ่างเชียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
…
ในขณะเดียวกันในตระกูลหยวน กลุ่มคนกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมลับพร้อมใบหน้าที่เคร่งขรึม มีคนมาเคาะประตูและหยวนเหวินตง ก็ออกไปคุยกับผู้ที่เคาะประตูอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินกลับมาด้วยใบหน้าที่พึงพอใจ
“ซ่างเชียนเพิ่งส่งข่าวว่าซูอันไม่มีไพ่ตายเลย ไอ้ขยะนั่นมันเพิ่งส่งคนรับใช้ของตัวเองไปวางเดิมพันที่บ่อนในเมืองให้กับฝั่งตรงข้ามของตัวมัน”
ผู้คนในห้องต่างพากันหัวเราะคิกคัก พวกเขาหันไปมองหญิงสาวสวยที่มัดผมหางม้าและพูดว่า “อย่างที่ข้าบอกท่านแล้วยังไงล่ะแม่นางเสวี่ยเอ๋อร์ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก!”
เนื่องจากซือคุนไม่สะดวกที่จะมาพูดคุยกับตระกูลเล็ก ๆ พวกนี้ด้วยตัวเองดังนั้นเขาจึงส่งเสวี่ยเอ๋อร์มาที่นี่แทนตัวเองเพื่อวางแผนการจัดการกับ ซูอัน และตระกูลฉู่
“เขาเดิมพันฝั่งตรงข้ามของตัวเองงั้นเหรอ?” เสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกสับสน
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นางรู้ดีว่าซูอันได้ซ่อนความสามารถที่แท้จริงของเขาเอาไว้…
“นายน้อยหยวน พรุ่งนี้ท่านควรระวังตัวด้วย แม้ว่าซูอันจะเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับสาม แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นเหนือกว่านั้นมาก ท่านต้องไม่ประมาทในระหว่างที่เผชิญหน้ากับเขา…”
เสวี่ยเอ๋อร์ยังจำภาพที่นางล้มเหลวในการลอบสังหารซูอันทั้ง ๆ ที่นางทุ่มสุดตัวได้ไม่ลืม การที่นางปวดท้องขึ้นมาอย่างกระทันหันและความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าประหลาดใจของ ซูอันนั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
ในทางกลับกัน หยวนเหวินตง กลับยักไหล่แสดงท่าทีดูเหมือนว่าจะไม่ใส่ใจกับคำเตือนของนางสักเท่าไหร่และพูดว่า “ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็เป็นแค่ผู้บ่มเพาะระดับ 3 ไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าเขาจะมีไพ่ตายอะไรซ่อนอยู่ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะระดับ 5 อย่างข้าได้!”
คนอื่นๆ เห็นด้วยกับคำพูดของ หยวนเหวินตง ในมุมมองของพวกเขา ไม่มีทางที่ผู้บ่มเพาะระดับ3จะแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะระดับ5ได้อย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสคนหนึ่งในห้องประชุมลับพูดขึ้นว่า “ถ้าซูอันไม่ได้มีไพ่ตายอะไรจริง ๆ งั้นการที่นายน้อยรอประลองคู่เดียวกับมันจะไม่เท่ากับว่าพวกเราเสียโอกาสงั้นหรือ? นี่มันเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมหันต์!”
“ไม่ได้! ไอ้สารเลวซูอันมันทำให้ข้าขายหน้าหลายครั้งแล้ว ข้าต้องคิดบัญชีแค้นกับมันด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าไอ้สารเลวซูอันจะดูเหมือนคนไร้ค่า แต่ความสามารถจริง ๆ ของมันนั้นเหนือกว่าสิ่งที่คนอื่นเข้าใจ อันที่จริงบางทีมันอาจมีแผนอื่นซ่อนอยู่ก็ได้ ไม่เช่นนั้นแม่นางเสวี่ยเอ๋อร์คงไม่มาถึงที่นี่เพื่อเตือนเราว่าเขาไม่ธรรมดาอย่างที่เราคิด ดังนั้นการที่ให้ข้าลงประลองกับมันถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด!”
“แต่ถ้านายน้อยลงประลองกับเขา รุ่นเยาว์ที่เหลือของเราอาจไม่เพียงพอที่จะจัดการกับคนของฝั่งตระกูลฉู่ได้หมด” ใครบางคนเอ่ยขึ้นอย่างกังวล
“วางใจเถอะ ข้าเตรียมคนที่จะจัดการกับฉู่ชูเหยียนเอาไว้แล้ว ผู้อาวุโสอู๋…ข้าขอเรียนเชิญให้ท่านเข้ามาสักหน่อย!” หยวนเหวินตง ยืนขึ้นขณะที่เขาหันไปมองที่กำแพงด้านข้าง
ประตูลับที่แนบเนียนไปกับกำแพงค่อย ๆ เปิดออก และจากนั้นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ค่อย ๆ เดินออกมา แม้แต่เสวี่ยเอ๋อร์ที่สงบสติอารมณ์ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีดด้วยความประหลาดใจ ความกดดันนี้… ชายคนนี้เป็นผู้บ่มเพาะระดับ6?!
หยวนเหวินตง คำนับชายวัยกลางคนก่อนที่จะแนะนำให้ทุกคนในห้องได้รู้จัก “ข้าขอแนะนำทุกคนให้รู้จักกับผู้อาวุโสอู๋ตี้ จากตระกูลอู๋ เขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับ6 ไม่ว่า ฉู่ชูเหยียนจะแข็งแกร่งแค่ไหน นางก็ยังเป็นผู้บ่มเพาะระดับที่ 5 อย่างที่เราทุกคนทราบ ช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างระดับที่ 5 และระดับที่ 6 นั้นกว้างใหญ่มาก และด้วยความช่วยเหลือของผู้อาวุโสอู๋ตี้ เราจะสามารถชนะการประลองในวันพรุ่งนี้ได้อย่างแน่นอน!”
ผู้บ่มเพาะระดับที่ 5 จะสามารถยืมพลังธาตุของโลกมาใช้โจมตีได้ แต่ผู้บ่มเพาะระดับ6สามารถแปรเปลี่ยนพลังธาตุพวกนั้นมาสร้างเป็นชั้นเกราะป้องกันรอบตัวซึ่งความสามารถนี้มันมากเกินพอที่ผู้บ่มเพาะระดับ6คนใดก็ตามจะสามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะระดับ5คนใดก็ได้อย่างไม่ยากเย็น…
บรรดาคนของตระกูลหยวนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นว่าผู้บ่มเพาะระดับ6กำลังจะเข้าร่วมฝ่ายพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมั่นใจในชัยชนะ
อย่างไรก็ตามเสวี่ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสงสัย “ถ้าข้าจำไม่ผิดกฎของงานประลองระหว่างตระกูลก็คือทั้งสองฝ่ายจะส่งได้แค่รุ่นเยาว์ของตระกูลตัวเองลงไปประลองได้เท่านั้น แต่อายุของผู้อาวุโสผู้นี้แน่นอนว่าเกินเกณฑ์แน่ ๆ ฉะนั้นข้ามั่นใจว่าตระกูลฉู่จะต้องไม่ยินยอมให้เขาลงประลองแน่นอน หรือแม้แต่เจ้าเมืองก็คงไม่มีทางเห็นด้วย…”