บทที่ 200 หน้ากากหนัง

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

“แม่นางเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง ทางเราได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว” หยวนเหวินตงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาหยิบหน้ากากที่บางพอๆ กับปีกของจั๊กจั่นออกมาแล้วพูดต่อ “นี่คือหน้ากากที่สร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญอักขระอันดับต้น ๆ ของอาณาจักร ทันทีที่ผู้อาวุโสอู๋สวมใส่มันเขาจะสามารถปลอมตัวเป็นชายหนุ่มที่มีอายุไม่เกิน25ได้อย่างสมบูรณ์แบบ…”

เหตุผลหลักที่ตระกูลหยวนกล้าที่จะท้าทายตระกูลฉู่ เป็นเพราะพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลอู๋

ทันทีที่ชายวัยกลางคนชื่อ อู๋ตี้ สวมหน้ากาก เขาก็กลายเป็นเด็กหนุ่มอายุราว20ที่มีหน้าตาเย็นชา บรรดาผู้คนต่างเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ ด้วยความสนใจ ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่มีใครจับผิดความแนบเนียนของหน้ากากอันนี้ได้เลย…

เสวี่ยเอ๋อร์ทั้งประหลาดใจและตกใจในเวลาเดียวกัน “ด้วยหน้ากากแบบนี้ มันไม่ใช่ว่าเจ้าจะสามารถแอบอ้างเป็นใครก็ได้ตามที่เจ้าต้องการเลยไม่ใช่เหรอ?”

ถ้ามีใครปลอมตัวเป็นนายน้อยของนาง นางจะแยกแยะออกได้ยังไง…?

หยวนเหวินตงส่ายหัวและตอบกลับ “การสวมรอยเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงมันจะง่ายดายแบบนั้นได้อย่างไรแม่นางเสวี่ยเอ๋อร์? ไม่ว่าหน้ากากนี้จะแนบเนียนเพียงใด มันก็สามารถทำได้แค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของบุคคลเท่านั้น มันไม่สามารถเลียนเสียง หรือเปลี่ยนกลิ่นอาย หรือท่าทาง หรืออย่างอื่นอีกมากมายที่คนใกล้ตัวของบุคลลนั้น ๆ จะต้องจับพิรุธได้แน่นอนในเวลาไม่นาน”

ในความเป็นจริงหยวนเหวินตงก็มีความคิดแบบเดียวกันเมื่อเห็นหน้ากากครั้งแรก เขาคิดว่าเขาสามารถเปลี่ยนเป็นใครก็ได้ที่เขาต้องการและเดินเข้าไปในบ้านอื่นและนอนกับภรรยาของชายอีกคนหนึ่ง

แต่มันจะมีสิ่งที่สะดวกขนาดนั้นในโลกนี้ได้อย่างไร?

เสวี่ยเอ๋อร์สงบลงหลังจากได้ยินคำอธิบาย จากนั้นนางหันเหความสนใจกลับไปที่ประเด็นของงานประลองระหว่างตระกูลอีกรอบ นางเอ่ยถามหยวนเหวินตง ย้ำอีกรอบว่ามีความมั่นใจเพียงใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ให้คำสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าอย่างน้อย ๆ ถ้าซูอันไม่ตายก็ต้องพิการไปตลอดชีวิตแน่นอน!

น่าเสียดายที่นางไม่ได้ลงมือเอง!

แค่คิดว่าร่างอันบริสุทธิ์ของนางเคยถูกไอ้ผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนั้นลูบไล้มันก็ทำให้นางโมโหจนแทบควันออกหูอีกรอบ!

“ฮัดชิ่ว…!”

ซูอันจาม คราวนี้สาวสวยคนไหนที่คิดถึงข้ากันนะ?

ในช่วงไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา ผู้เฒ่ามี่ ให้เขาฝึกวิชาร่างเก้าทานตะวันฉบับดัดแปลงและหลังจากแน่ใจว่าสิ่งที่เขาใช้มันกลายเป็นวิชาที่ไม่เหมือนกับต้นฉบับเลย ผู้เฒ่ามี่ก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจ…

หลังจากผู้เฒ่ามี่จากไป ซูอันจึงมีเวลาให้กับตัวเองในที่สุด เขานอนลงบนเตียงและตรวจสอบคะแนนความโกรธที่เขารวบรวมได้ก่อนหน้านี้

หืม 27,489 เหรอ? นี่น้อยกว่าที่ข้าคิด

แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นตัวเลขจำนวนมาก แต่อัตราความสำเร็จที่ต่ำเตี้ยของระบบสุ่มมันหมายความว่าเขาไม่น่าจะได้รับอะไรมากจากคะแนนเท่านี้

จากนั้นราวกับว่าสวรรค์ตั้งใจแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ว่าเขาคิดถูก สิ่งที่เขาได้รับในเวลาต่อมามีเพียง2อย่างซึ่งก็คือ ‘ขอบคุณที่ร่วมสนุก’ และ ผลไม้พลังชี่ 27 ผล ส่วนทักษะและของวิเศษนั้นไม่มีให้ได้ลุ้นเลย…!

“ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรคาดหวังอะไรมาก!” ซูอันคร่ำครวญอย่างขุ่นเคือง

จากนั้นเขากินผลไม้พลังชี่ทั้ง 27 ผลทันที…

อักขระที่สี่ต้องใช้ผลไม้พลังชี่ทั้งหมด 233 ผล ดังนั้นเขาจึงสามารถเติมเต็มมันขึ้นมาได้เพียงหนึ่งในสิบ จากนั้นในขณะที่เขาบ่มพึมพำอย่างไม่พอใจกับคีย์บอร์ด เขาก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป…

เมื่อเฉิงโซวผิงกลับมา ซูอันก็หลับสนิทแล้ว ดังนั้นเด็กน้อยหัวซาลาเปาจึงไม่กล้าขัดจังหวะการนอนของเจ้านายตัวเอง เขาตัดสินใจที่จะบอกซูอันเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากที่อีกฝ่ายพ่ายแพ้การต่อสู้ในวันพรุ่งนี้

ฮิฮิ…นายน้อยจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอนหลังจากแพ้การต่อสู้ แต่ถ้าข้าเอาตั๋วเดิมพันออกมาแล้วแสดงให้เขาเห็นว่าข้ายังรักษาเงินของเขาเอาไว้ได้และทำกำไรให้นิดหน่อย เขาจะต้องดีใจเป็นอย่างมากแน่นอนหรืออย่างน้อย ๆ ก็น่าจะช่วยปลอบประโลมจิตใจที่เจ็บปวดของเขาให้สงบลงได้บ้างไม่มากก็น้อย!

ว่าแต่ข้าสงสัยว่านายน้อยจะให้รางวัลข้าเป้นอะไรน้า…

ในที่สุดก็ถึงวันงานประลองระหว่างตระกูล เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งสองตระกูลจึงตัดสินใจจัดที่ลานกว้างใจกลางเมือง

รุ่นเยาว์ของตระกูลที่มีชื่อเสียงหลายคนในเมืองจันทร์กระจ่างต่างมารวมตัวกันรอบ ๆ บริเวณนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันเพื่อต้องการรับชมความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

มันไม่ใช่ทุกวันที่ทุกคนจะได้เห็นรุ่นเยาว์ของสองตระกูลที่มีชื่อเสียงฟาดฟันกันบนเวทีประลอง

และก็เหมือนเช่นเคยกับทุก ๆ ปี คนของตระกูลฉู่ และตระกูลหยวน ต่างก็มาถึงก่อนเวลาเริ่มงานประลองเนื่องจากรุ่นเยาว์ที่จะต้องขึ้นไปบนเวทีจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับเวทีที่พวกเขากำลังจะขึ้นไปเสียเลือดเสียเนื้อกันซะก่อน

สำหรับซูอันก็มาถึงแล้วเช่นกันแต่เขาไม่ได้เดินขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำความคุ้นเคยอะไรเพราะไม่มีใครบอกให้เขาขึ้นไป ทุกคนต่างคิดว่าการที่เขามาที่นี่ก็เพียงเพื่อเติมเต็มช่องว่างให้เต็มก็แค่นั้น ส่วนซูอันเองก็ไม่ได้คิดว่าเขาจำเป็นต้องขึ้นไปเช่นกัน เขานั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ เวทีพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจกับความยิ่งใหญ่ของงานประลองที่จัดขึ้นมานี้

ทางด้านของฉินหว่านหรูเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของซูอัน นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและก่นด่าในใจว่าลูกเขยของนางนี่มันไม่รักษาภาพลักษณ์เอาซะเลย แค่เห็นงานแค่นี้ก็ทำสีหน้าตื่นตาราวกับเป็นคนป่าเข้าเมืองยังไงยังงั้น!

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่สาธารณะดังนั้นจึงไม่เหมาะที่นางจะตำหนิเขาต่อหน้าคนอื่น นางจึงทำได้เพียงแค่พ่นลมหายใจอย่างเย็นชาและเบือนหน้าหนี

ทางด้านของ ซูอัน นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าฉู่ฮงไฉและฉู่อวี้เฉิง

ฉู่ฮงไฉ ลูกชายของฉู่เทียนเซิง ผู้นำตระกูลฉู่สาขาที่สอง เขาดูเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่น แทนที่จะสืบทอดรูปลักษณ์ที่มืดมนและเจ้าเล่ห์ของบิดา ฉู่ฮงไฉกลับดูเป็นคนที่เถรตรงและมีเกียรติ

ตามข่าวลือ เขาเคยเป็นคนที่ค่อนข้างโดดเด่นในตระกูลฉู่ แต่วันนี้เขาดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ บางทีเขายังคงโทษตัวเองที่ล้มเหลวในการป้องกันบ่อน้ำแห่งจิตวิญญาณ

สำหรับฉู่อวี้เฉิง…เขาเป็นคนอ้วนที่ดูไร้พิษภัย เขามีดวงตาเล็ก ๆ และมีหน้าท้องที่กลมมน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือลูกชายแท้ ๆ ของฉู่เยว่พั่ว ผู้นำตระกูลฉู่สาขาที่สาม

เมื่อเทียบกับฉู่ฮงไฉ เขาดูเป็นมิตรมากกว่า แม้กระทั่งซูอันที่มีแต่คนเบือนหน้าหนีเขายังเดินเข้ามาพูดทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร…

หลังจากการสังเกตและโต้ตอบ ซูอันรู้สึกว่าลูกชายของผู้นำตระกูลสาขาที่สองและสาขาที่สามนั้นน่าคบหามากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพ่อของพวกเขา ซูอันยังคงจำได้ว่าฉู่เทียนเซิงและฉู่เยว่พั่วเยาะเย้ยเขาเมื่อตอนที่เจอกันในห้องโถงบรรพบุรุษในตอนนั้น…

เดี๋ยวนะ? เป็นไปได้ไหมที่ไอ้เจ้าอ้วนตัวน้อยนี้จะสืบทอดสายเลือดของบิดาตัวเองมาไม่ต่างกัน? บางทีภายใต้ภายนอกที่อบอุ่นมันอาจแฝความชั่วร้ายเอาไว้ข้างในก็ได้?

ในขณะที่ซูอันกำลังรู้สึกกังวลเล็กน้อยกับฉู่ฮงไฉ เขาชำเลืองมองฉู่เยว่พั่วและฉู่เทียนเซิงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันทำให้เห็นว่า ฉู่เทียนเซิง กำลังเหลือบมองใครบางคนด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่…

หืม…เขากำลังจ้องมองที่ฉินหว่านหรูใช่ไหมน่ะ?

เนื่องจากนี่เป็นงานแสดงสถานะของตระกูล ดังนั้นจึงไม่ต้องบอกว่าวันนี้ฉินหว่านหรู แต่งตัวมาแบบครบเครื่องเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นทั้งเครื่องประดับราคาแพงมากมายเพื่อเน้นถึงบุคลิกอันสูงส่งและชุดผ้าไหมของนางที่เข้ารูปสวยงามซึ่งเน้นให้เห็นทรวดทรงอันสมบูรณ์แบบถึงแม้ว่านางจะอายุไม่น้อยแล้วก็ตาม

เฮ้อ…ทำไมฉู่ฮวนเจาถึงไม่สืบทอดสายเลือดที่ยั่วยวนของแม่นางมาบ้างนะ?

แต่แล้วแค่เพียงชั่วครู่เดียวหลังจากที่ซูอันกำลังคิดเหม่อ เขาก็รู้สึกได้ถึงการจ้องมองของฉินหว่านหรู เขาหันศีรษะไปมองนางและมันก็ทำให้เขาได้เห็นสายตาอันแข็งกร้าว

ท่านยั่วยุฉินหว่านหรูสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +69!

ซูอันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้าสักหน่อย…ทำไมเจ้าถึงโกรธข้า?

หลังจากนั้นเมื่อเขาหันกลับไปมองฉู่เทียนเซิงอีกรอบ อีกฝ่ายก็หันไปพูดคุยกับคนอื่น ๆ รอบตัวเขาแล้ว

เมื่อเห็นแบบนี้ซูอันก็สงสัยว่าเมื่อครู่ตาของเขาฝาดไปเองรึเปล่า?

“ผู้นำตระกูลหวางมาถึงแล้ว!”

ซูอันหันไปมองและเห็นชายวัยกลางคนร่างผอมบางนำกลุ่มคนเข้าสู่สนาม…

เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าในเมืองจันทร์กระจ่างมี 4ตระกูลที่โดดเด่น ได้แก่ ตระกูลฉู่ ตระกูลหยวน ตระกูลเจิ้ง และตระกูลหวาง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนของตระกูลหวาง

ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรู ยืนขึ้นและแสดงท่าทีต้อนรับผู้ที่มาจากตระกูลหวาง ด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มพูดคุยกันอย่างสนิทสนม

ซูอันรู้สึกประหลาดใจกับภาพนี้ เขาหันไปหาฉู่ฮวนเจาและถามทันที “ภูมิหลังของตระกูลหวางเป็นยังไงกันทำไมพ่อและแม่ของเจ้าถึงดูสนิทสนมแบบนั้น?”

นอกเหนือจากซูอันที่คนอื่นต่างรู้กันดีว่ามาที่นี่เพื่อเติมเต็มช่องว่างคนประลองให้ครบก็มีฉู่ฮวนเขาอีกคนที่ทุกคนต่างก็คิดว่านางมาที่นี่เพื่อเติมเต็มช่องว่างเช่นกันดังนั้นจึงไม่มีใครบอกให้นางขึ้นไปทำความคุ้นเคยกับลานประลองและนางเองก็ไม่สนใจที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน กลับกันนางกลับมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าตื่นเต้นแทน…