บทที่ 201 เจ้าคิดว่าข้าจะจำเจ้าไม่ได้เพียงเพราะเจ้าสวมหมวก

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

เมื่อได้ยินคำถามของซูอัน นางตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ข้าไม่คิดว่าพวกเขามีภูมิหลังอะไรเป็นพิเศษ ตระกูลหวางก็แค่เป็นพันธมิตรที่ดีกับเรามานานแล้วก็แค่นั้น”

ฉู่ชูเหยียนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลาได้ลืมตาขึ้นและอธิบายว่า “ตระกูลหวางเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และพวกเขายังเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมส่วนใหญ่ในเมืองจันทร์กระจ่าง ตระกูลฉู่ของเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาเพราะกิจการหลายอย่างของเรามีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา ยกตัวอย่างเช่นตระกูลของเราต้องการใบอนุญาตจากราชสำนักเพื่อค้าเกลือ ซึ่งราชสำนักจะจ่ายใบอนุญาตตามสัดส่วนใบสั่งซื้อที่เราได้รับจากพวกพ่อค้าที่จะนำเกลือไปค้ายังชายแดน ตระกูลฉู่ของเราไม่ได้เชี่ยวชาญด้านสินค้าเกษตรเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงต้องให้ตระกูลหวางช่วยจัดการในเรื่องค้าเกลือนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพ่อและแม่ของข้าถึงให้เกียรติพวกเขามากกว่าตระกูลอื่น ๆ ฮวนเจา…เจ้าควรหยุดทำตัวไร้สาระแล้วเอาเวลาว่างมาศึกษาเรื่องของตระกูลบ้าง เรื่องพื้นฐานแบบนี้เจ้าไม่รู้เลยได้ยังไง?”

ฉู่ฮวนเจาแลบลิ้นของนางขณะที่นางคว้าแขนพี่สาวของนางและพูดอย่างเขินอายว่า “ก็ข้ามีท่านพี่อยู่ด้วยทั้งคนนี่นา~”

ฉู่ชูเหยียนมองดูน้องสาวตัวน้อยของนางอย่างจนใจก่อนจะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

ในขณะเดียวกัน ซูอัน มองไปที่ฉู่ฮวนเจาด้วยสายตาขบขัน ฮ่าๆ…ดูเหมือนว่าน้องภรรยาของข้าก็ไร้ความสามารถเหมือนกัน แต่ทำไมข้าถึงเป็น ‘ขยะ’ เพียงคนเดียวที่นี่ด้วยล่ะ?

“ผู้นำตระกูลเจิ้งมาแล้ว!”

เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลหวางแล้ว ฉู่จงเทียนมีความเป็นมิตรกับตระกูลเจิ้งน้อยกว่ามาก พวกเขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อรับทราบการมีอยู่ของกันและกัน เจิ้งอวี้ถัง ผู้นำของตระกูลเจิ้งไม่สนใจแม้แต่จะพยักหน้าตอบ เขาเดินตรงไปยังพื้นที่ของตระกูลหยวนและเริ่มพูดคุยกันอย่างสนิทสนมทันที…

ซูอันประเมินเจิ้งอวี้ถังอย่างใกล้ชิดและพบว่าเขาค่อนข้างดูหล่อเหลาแม้จะเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว เขาดูเป็นคนมีเสน่ห์ที่สามารถทำให้คนอื่นรอบ ๆ ประทับใจได้ไม่ยาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมีลูกสาวที่สวยเช่นเจิ้งตาน

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่ามีหญิงสาวสวยสวมชุดจีนแบบดั้งเดิม มองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเจิ้งตาน…?

ซูอันกระพริบตาตอบนาง และนั่นทำให้ใบหน้าของเจิ้งตานเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันทีและหันหน้าหนี…

“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่! ท่านเห็นรึเปล่าว่าเมื่อครู่พี่เขยกับเจิ้งตานกำลังแลกเปลี่ยนสายตาเจ้าชู้ให้กัน!” ฉู่ฮวนเจาเอ่ยขึ้นพร้อมกับแยกเขี้ยวให้ซูอัน

“เปล่าซะหน่อยข้าไม่ได้แลกเปลี่ยนสายตาอะไรทั้งนั้น! เจ้าหยุดพูดโกหกพี่สาวเจ้าได้แล้ว!” แม้จะถูกจับได้คาหนังคาเขา แต่ซูอันก็ยังปฏิเสธโดยไม่ลังเล

“แต่ข้าเห็นกับตา! เมื่อครู่ท่านขยิบตาให้นาง!” ฉู่ฮวนเจาตะโกนอย่างโกรธเคือง

ฉู่ชูเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฮวนเจา เจ้าเงียบเดี๋ยวนี้! เจ้าอยากทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่เสียหน้าหรือไง?”

โชคดีที่ในเวลานี้รอบข้างมีแต่เสียงพูดคุยกันอย่างอื้ออึง ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจเสียงตะโกนของฉู่ฮวนเจาเลย

หลังจากตำหนิฉู่ฮวนเจาแล้ว ฉู่ชูเหยียนก็หันไปมองซูอันด้วยสายตาที่สงบนิ่งราวกับน้ำในทะเลสาบและถามว่า “เจ้าสนิทกับเจิ้งตานงั้นเหรอ?”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดวงตาที่สงบนิ่งของฉู่ชูเหยียน ก็ทำให้ซูอันรู้สึกผิดเล็กน้อย “ข้าไม่สามารถพูดได้ว่าเราสนิทกัน ข้ากับนางรู้จักกันเพราะเร็ว ๆ นี้ข้าเพิ่งช่วยนางไป”

เขารีบอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขากับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านพักอาจารย์ของเขาแน่นอน

“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำหน้าตื่นตระหนก ข้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าเจ้าที่นี่” ฉู่ชูเหยียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าสามารถกุมหัวใจของเจิ้งตานและดึงตระกูลเจิ้งมาอยู่ฝั่งเราได้ มันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่า”

ซูอันกระพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงง นี่นางกำลังวางกับดักให้ข้ากระโดดลงไปรึเปล่าเนี่ย?

“พี่ใหญ่!” ฉู่ฮวนเจาประท้วงทันที พี่สาวของนางไม่สนใจเรื่องนี้ได้ยังไง? ทำไมนางถึงกระวนกระวายน้อยกว่าข้า ซูอันเป็นสามีของท่านนะท่านไม่เข้าใจรึไง!?

อย่างไรก็ตามฉู่ชูเหยียนไม่สนใจท่าทีน้องสาวของนาง นางยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “น่าเสียดายที่เจิ้งตานและซ่างเชียนหมั้นหมายกันแล้ว หากเจ้าคิดแย่งชิงนางไปข้างกาย ตระกูลซ่างจะเป็นปฏิปักษ์กับเราโดยสิ้นเชิงและนั่นมันดูเป็นผลเสียมากกว่าผลดี…”

ซูอันพูดไม่ออกอย่างสมบูรณ์ เดี๋ยวนะ นี่เจ้ากำลังคิดจริงจังให้ข้าไปจีบเจิ้งตานอยู่อย่างงั้นเหรอ?!?!

“อาจารย์ใหญ่เจียงแห่งสถาบันจันทร์กระจ่างมาแล้ว!”

เมื่อได้ยินคำประกาศนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลฉู่หรือตระกูลหยวน ทุกคนต่างก็หยุดพูดคุยกันทันทีและหันหน้าไปต้อนรับเจียงลั่วฝู

นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจียงลั่วฝูมีสถานะสูงแค่ไหนในเมืองจันทร์กระจ่าง

อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเสียงอุทานที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็ก้องกังวานท่ามกลางฝูงชน…

“โว้ว ๆ เรียวขานั่น! ข้าสามารถลูบพวกมันได้หลายวันโดยไม่ต้องหลับต้องนอนได้แน่นอน!”

“นางซื้อถุงน่องมาจากไหน? ข้าจะหาให้เมียของข้าใส่สักคู่หนึ่ง!”

“ฮ่าๆ…เจ้าคิดว่าผู้หญิงหน้าเหลืองที่เจ้ามีที่บ้านเมื่อใส่ทุ่งน่องแล้วจะสามารถอยู่ในระดับเดียวกับอาจารย์ใหญ่เจียงได้งั้นเหรอ? น่าขำสิ้นดี!”

“ปั้ดโธ่เว๊ย! ข้าก็แค่เอาอะไรปิดหน้าเมียของข้าเอาไว้ชั่วคราวก่อนก็ได้นี่หว่าจริงไหม? แค่ถุงน่องอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มจินตนาการของข้า!”

“ชู่ววว…เบื่อชีวิตนักรึไงพวกแก? กล้านินทาอาจารย์เจียงเสียงดังแบบนี้ได้ยังไง?”

ซูอันสังเกตเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็วท่ามกลางฝูงชน จี้เติ้งถูกำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน สายตาของเขาจับจ้องไปที่เหล่าสาวสวยที่มาร่วมงานอย่างหื่นกระหาย

หึ…คิดว่าข้าจะจำเจ้าไม่ได้เพราะเจ้าสวมหมวกงั้นเหรอ? เจ้าควรจะทำอะไรบางอย่างกับหน้าตาที่โรคจิตของเจ้าซะก่อน!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจี้เติ้งถูมาที่นี่เพื่อหาอาหารตาของเขา แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้มองไปที่อาจารย์ใหญ่เจียงเลย…?

ดวงตาของจี้เติ้งถูกวาดมองไปทั่วสถานที่ ทุกครั้งที่เขาเห็นสาวสวย ริมฝีปากของเขาจะขดขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูโรคจิตเป็นอย่างมาก…

เมื่อมองตามสายตาของตาแก่โรคจิต ซูอัน ก็สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าคนส่วนใหญ่ที่จี้เติ้งถูมักจะหยุดมองล้วนแล้วแต่เป็นหญิงที่โตเต็มวัยโดยเฉพาะคนที่แต่งงานแล้ว เขาไม่ลังเลเลยที่จะจ้องมองไปที่ภรรยาของชาวบ้านที่มาร่วมงาน…

และคนที่เขาจ้องมองมากที่สุดจนตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉินหว่านหรู!

ซูอันรู้สึกเครียดเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาสงสัยว่าเขาควรบอกพ่อตาเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่? ไม่ว่ายังไงฉู่จงเทียนก็ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี

แต่พอมาคิดดูอีกทีจี้เติ้งถูก็ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากจ้องมองผู้หญิงทั้งหลายด้วยสายตาน่าขนลุก จี้เติ้งถูไม่เคยเข้าใกล้พวกผู้หญิงเหล่านั้นให้อึดอัดใจ

สรุปก็คือในเมื่อจี้เติ้งถูไม่ได้ทำตัวเป็นอันตรายกับใครและนอกจากนี้เขายังคงต้องพึ่งพาจี้เติ้งถูเพื่อรักษา ‘ซูอัน ตัวน้อย’ มันจึงไม่ฉลาดเลยที่เขาจะเล่นงานจี้เติ้งถูในตอนนี้

สิ่งนี้นำมาสู่คำถามเดิมที่ซูอันสงสัยเมื่อครู่ เมื่อพิจารณาว่าจี้เติ้งถูเป็นคนโรคจิตแบบนี้ แต่ทำไมเขาถึงไม่จ้องมองไปที่อาจารย์ใหญ่เจียงเลยแม้แต่น้อย? ไม่ต้องพูดถึงรูปร่างและหน้าตาที่เย้ายวนของเจียงลั่วฝู แค่ขาคู่นั้นของนางก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้ชายทั้งหลายบ้าคลั่ง แต่จี้เติ้งถูกลับมองข้ามนางราวกับไม่เห็นว่านางมีตัวตนซะอย่างนั้น?

นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ซางหลิวอวี้ก็เป็นของสถาบันจันทร์กระจ่างเช่นกันแต่ก็ยังไม่รอดที่จี้เติ้งถูจะคิดอกุศลด้วย ดังนั้นหากพูดกันอย่างมีเหตุผล ตาแก่โรคจิตคนนี้ไม่ควรจะไม่ข้ามเจียงลั่วฝู นี่มันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งจนเขาคิดไม่ถึงแน่นอน!

“ข้ารู้สึกขอบคุณท่านจริง ๆ ที่ท่านเต็มใจสละเวลามาเป็นผู้ตัดสินการประลองในปีนี้ ด้วยการตัดสินของท่าน ความเที่ยงธรรมของคำตัดสินในปีนี้จะต้องไม่มีใครกล้ากังขาอย่างแน่นอน!”

เจียงลั่วฝูเย็นชาเหมือนปกติ แต่สิ่งนี้มันยิ่งทำให้เหล่าผู้ชายลุ่มหลงนางมากขึ้น บรรดาพวกผู้ชายที่อยู่รอบตัวนางต่างจ้องนางด้วยสายตาร้อนรุ่มโดยเฉพาเมื่อพวกเขามองต่ำไปที่เรียวขาอันเรียบเนียนของนาง

อย่างไรก็ตามคนเดียวที่ยังคงมีสายตาที่ชัดเจนไร้ตัณหาก็คือ ฉู่จงเทียน ด้วยเหตุนี้ เจียงลั่วฝูจึงรู้สึกประทับใจกับท่าทางสุภาพบุรุษของเขามากขึ้น นางตอบกลับอย่างสุภาพว่า “ท่านเยินยอข้าเกินไปแล้ว ลูกหลานตระกูลฉู่ของท่านและตระกูลหยวน ต่างร่ำเรียนกันอยู่ในสถาบันของข้ามากมาย ข้าแค่มาทำหน้าที่นี้เพื่อนักศึกษาของข้าก็แค่นั้น”

ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร ซูอันกลับคิดเยาะเย้ยอยู่ในใจ “ชิ…ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาพ่อตาของข้าถูกทำให้เชื่องไปอย่างสมบูรณ์เรียบร้อย เขาไม่มีอาการอย่างชายชาตรีเลยสักนิดแค่มีฉินหว่านหรูจ้องอยู่ข้าง ๆ ก็ทำตัวกลายเป็นลูกแมวโดยไม่สนใจสายตาของใครเลย!”

อ่อนแอ!

ซูอันรู้สึกว่าพ่อตาของเขาควรเรียนรู้จากเขาบ้างสักอย่างหรือสองอย่าง ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าชูเหยียนจะไม่สนใจจริง ๆ งั้นเหรอถ้าข้าพาผู้หญิงคนอื่นเข้าบ้าน!

แน่นอนว่าไม่มีทางที่เขาจะพูดความคิดของตัวเองออกมาดัง ๆ ถ้าฉู่จงเทียนรู้ว่าเขาวางแผนจะ ‘กลั่นแกล้ง’ ฉู่ชูเหยียนแบบนี้ ฉู่จงเทียนคงจะถลกหนังหัวของเขาทั้งเป็นแน่นอน!

“ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว!”