บทที่ 215 ลู่หยวนปะทะเสวียนหลี

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 215 ลู่หยวนปะทะเสวียนหลี

บทที่ 215 ลู่หยวนปะทะเสวียนหลี

เหนือความว่างเปล่า รายนามนับพันถูกวางเรียงคู่กันบนยันต์ขนาดใหญ่ สองรายชื่อในแถวแรกส่องแสงเจิดจ้า ขณะที่สองคนบนลานประลองเบื้องล่างกำลังต่อสู้กัน

ปราณกระบี่กระจายทุกหนแห่ง ดาบส่องแสงราวกับดวงจันทรา

อาวุธในมือของทั้งสองเปล่งประกายเจิดจ้า ผ่านไปอึดใจหนึ่ง พวกเขาก็เข้าปะทะกันในเสี้ยวพริบตาจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว

ควันพวยพุ่งดังพายุโหม ครั้นจางหาย บนลานประลองก็เหลือยอดฝีมือเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่

ส่วนอีกคน สภาพประหนึ่งสุนัขถูกปลิดชีพ แน่นิ่งอยู่กับพื้นโดยไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก

เฉิงไท่เห็นดังนี้ จึงเอ่ยเสียงดังว่า “รอบนี้ หม่าซิ่นชนะ!”

หลังจากสิ้นเสียง ใครบางคนก็ขึ้นไปบนลานประลอง ก่อนจะพาทั้งสองออกไป

ลานประลองขนาดใหญ่ว่างเปล่าอีกครั้ง ค่ายกลปรากฏขึ้นทีละน้อย รอยแตกร้าวที่เกิดจากการต่อสู้ได้รับการซ่อมแซมในเวลาไม่กี่อึดใจ

“รอบต่อไป เสวียนหลีปะทะลู่หยวน!”

เสียงของเจ้าสำนักดังขึ้นอีกครา

เมื่อทุกคนได้ยินสองชื่อนี้ พวกเขาล้วนส่งเสียงโห่ร้องดังสนั่น แต่ละคนเผยสีหน้าคาดหวัง

ลู่หยวนผู้นี้เป็นชายผู้มีประเด็นร้อน ในระหว่างที่เข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏการณ์ที่เขาสร้างนั้นไม่มีใครเทียบเคียงได้!

จริงอยู่ที่ชายหนุ่มเคยบังคับให้บรรพชนเสวียนคุกเข่า อีกทั้งเขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับความตายของบรรพชนดาบ

แต่การแสดงฝีมือในการต่อสู้จริงก็คือการฆ่าหยางอวิ๋น!

พละกำลังไปถึงขั้นไหนนั้น ยากที่ใครจะล่วงรู้!

วันนี้ลู่หยวนปะทะกับเสวียนหลีผู้อยู่อันดับสามในทำเนียบสวรรค์ ใครแข็งแกร่งกว่ากันนั้น หลายคนก็ยังไม่รู้สึกมั่นใจเท่าไหร่นัก

ยามเสวียนหลีผู้อยู่ข้างกายเฉิงไท่ได้ยินดังนั้น นางได้แต่เลิกคิ้ว ร่างวูบไหวก่อนเคลื่อนลงไปที่ลานประลอง

ศิษย์หญิงจากยอดเขาเร้นลับสะบัดมือ พลังดวงดาวปรากฏขึ้นพร้อมปราณกระบี่จำนวนมากเคลื่อนตามมา ไม่นานก็ก่อเกิดเป็นกระบี่ดาราในมือของนาง

หลังจากเสวียนหลียืนนิ่ง สายตากวาดมองออกไปรอบทิศ พบว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ในอัฒจันทร์ผู้ชม

อีกฝ่ายยืนเอามือไพล่หลัง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มยียวน เขากำลังมองนางราวกับมองมดตัวหนึ่งก็ไม่ปาน

ด้วยท่าทีดูแคลนของลู่หยวน ทำให้ฟันของเสวียนหลีเสียดสีกันด้วยความเดือดดาล

ปราณกระบี่ในมือของนางสั่นไหว พลังวิญญาณรอบข้างปั่นป่วนราวกับคลื่นยักษ์

“ลู่หยวน! เจ้ายังยืนอยู่กับที่อีก ไม่กล้ามาสู้กับข้าหรือ?!”

“ไม่กล้าหรือ?” ลู่หยวนคิ้วขมวดพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้ากำลังให้โอกาสเจ้ายอมจำนนต่างหาก”

“เสวียนหลี ขยะอย่างเจ้า รับการโจมตีของข้าครั้งเดียวยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ข้าแนะนำให้เจ้าคุกเข่า เพื่อก้มกราบข้าแต่โดยดี พูดว่าเจ้าเทียบข้าไม่ได้ จากนั้นค่อยไสหัวไป”

ทันทีที่สิ้นคำ เสวียนหลีพลันเดือดดาลขึ้นมา “ลู่หยวน! จะให้ข้ายอมจำนนงั้นหรือ?! เหอะ ถ้าเจ้ายังกล้าพูดอีก ข้าจะทำให้รู้เองว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมันเป็นอย่างไร!”

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ้มกว้าง ความดูถูกในแววตาของเขาหนักข้อมากขึ้น “ถ้าอย่างนั้น เจ้ากล้าร่างสัญญาความเป็นความตายหรือไม่ ห้ามใครเข้ามาก้าวก่ายในการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้า เป็นตายตัดสินกันเอง?”

ทันทีที่สิ้นคำ เฉิงไท่ผู้ยังคงสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มในวันนี้ถึงยังทำตัวอวดดีอยู่ก็พลันเข้าใจขึ้นมา

ลู่หยวนอยากใช้โอกาสนี้เพื่อฆ่าเสวียนหลี!

เฉิงไท่มองศิษย์หญิงจากยอดเขาวิถีเร้นลับโดยไม่รู้ตัว ก่อนพบว่ามุมปากของอีกฝ่ายยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม สภาพความคลุ้มคลั่งหายไปทีละน้อย

เจ้าสำนักรู้สึกโล่งอก ดูท่าเสวียนหลีจะมองความคิดของคู่ต่อสู้ออก และไม่มีทางร่างสัญญาความเป็นความตายกับเขาเป็นแน่

ใช่แล้ว…

ลู่หยวนเป็นคนเหี้ยมโหดอย่างไม่ปิดบัง เรื่องนี้ทุกคนเข้าใจได้ และปกติเสวียนหลีก็ไม่ใช่คนโง่ นางต้องทราบเรื่องนี้ และไม่มีทางร่างสัญญาความเป็นความตายกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน!

บนลานประลอง สีหน้าของสตรีผู้ใช้วิถีเร้นลับเปลี่ยนจากคลุ้มคลั่งเป็นสงบ

“ร่างสัญญาความเป็นความตายกับข้าหรือ?”

เสวียนหลีมองคู่กรณี ดวงตาสงบพลันลุกโชนขึ้นมา “ก็เอาสิ!”

เฉิงไท่เบิกตาโพลง… นางว่าอะไรนะ!?

สิ้นคำ กระบี่ดาราในมือของนางก็ถูกโยนลงกับพื้นและส่งเสียงร่ำร้องออกมา

มือของเสวียนหลีกำลังร่างบางสิ่งอย่างต่อเนื่อง เพียงเสี้ยวอึดใจ ค่ายกลแปลกประหลาดปรากฏขึ้นตรงหน้า บนค่ายกลดังกล่าว อักขระสีม่วงดำยังคงร่ายรำ กลิ่นอายแห่งความตายแผ่ออกมา ก่อนแทรกซึมไปทั่วทั้งลานประลอง

เสวียนหลีกรีดนิ้ว หยดโลหิตลงบนค่ายกล

วิ้ง!

อักขระพลันปั่นป่วน ก่อนค่ายกลจะปิดผนึก ผ่านไปสักพัก มันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าลู่หยวนอีกครา

เสวียนหลีจับกระบี่ดาราอีกครั้ง “ลู่หยวน นี่คือร่างสัญญาความเป็นความตาย เจ้ากล้าลงนามหรือไม่?!”

ก่อนบุตรศักดิ์สิทธิ์จะทันได้กล่าวอะไร เฉิงไท่ก็โพล่งออกมาทันทีว่า “ไม่ได้! พวกเจ้าสองคนเหลวไหลเกินไปแล้ว! นี่คือการแข่งขันภายในของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้ากล้ามาร่างสัญญาความเป็นความตายตามใจชอบได้อย่างไร?!”

ลู่หยวนเพียงหันหน้ามองเจ้าสำนัก จากนั้นลงมือขัดคำสั่งต่อหน้าต่อตาอีกฝ่าย ชายหนุ่มหลั่งโลหิตไหลอาบปลายนิ้วหยดลงไปเบื้องล่าง เลือดนี้หลอมรวมเข้ากับค่ายกล แผ่กลิ่นอายสีม่วงดำปกคลุมไปทั่ว

ค่ายกลหายไป กลายเป็นกลุ่มควันสีม่วงที่ตรงขึ้นสู่ท้องนภา

วิ้ง!

สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน เมฆสีม่วงปกคลุมทั่วสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์พร้อมเสียงฟ้าร้องกัมปนาท อสนีบาตสีม่วงเลี้อยผ่านเมฆาราวกับอสรพิษ

เมื่อเมฆสีม่วงมาเยือน คำสาบานย่อมได้รับการเติมเต็ม!

ร่างสัญญาความเป็นความตายระหว่างลู่หยวนและเสวียนหลีได้รับการลงนามอย่างสมบูรณ์ มันได้รับการยืนยันจากวิถีแห่งสวรรค์แล้ว!

ไม่มีใครสามารถหยุดได้!

ใบหน้าของเฉิงไท่กระตุก

นังเสวียนหลี เจ้าโง่หรืออย่างไร!

ทำไมถึงลงนามในร่างสัญญาความเป็นความตายง่ายดายเช่นนี้?!

เขารีบผนึกร่างสัญญาความเป็นความตายด้วยตัวเองทันที!

ทว่าสายเกินไป… สัญญาความเป็นความตายอยู่ในสภาพสมบูรณ์แล้ว ผลการต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคน มีเพียงคนหนึ่งตายคนหนึ่งรอดเท่านั้น!

นอกจากทั้งสองแล้ว ไม่มีใครสามารถก้าวก่ายได้ ไม่อย่างนั้นจะได้รับการลงทัณฑ์จากวิถีแห่งสวรรค์!

เฉิงไท่ขยี้ยันต์ในมือ พลางส่งเสียงคร่ำครวญอยู่ในใจอย่างเย็นชา

บรรพชนเสวียนหนอบรรพชนเสวียน ต่อให้เป็นศิษย์ของเจ้า ข้าก็ช่วยไว้ไม่ได้แล้ว!

ข้าเพิ่งช่วยนางให้รอดจากพลังมังกรของลู่หยวนไปคราก่อน ถือว่าข้าให้เกียรติเจ้าแล้ว!

นางเป็นผู้รนหาที่ตายเอง!

ภายหลัง ยันต์ปรากฏขึ้นในมือของเฉิงไท่ ภายในแขนเสื้อกว้าง เขาขยับมือไปมา ตัวอักษรจำนวนมากถูกประทับลงไปบนยันต์ผืนนั้น

เมื่อยันต์ถูกเขียนเสร็จสรรพ มันก็หายไปทีละน้อย พริบตาต่อมาจึงปรากฏขึ้นในส่วนลึกของถ้ำบนยอดเขาวิถีเร้นลับ

บนอัฒจันทร์

ลู่หยวนเงยหน้ามองร่างสัญญาความเป็นความตายบนท้องนภา จิตสังหารในดวงตาพลันพลุ่งพล่าน ร่างของเขาวูบไหว เพียงเสี้ยวอึดใจก็ย้ายจากอัฒจันทร์มาที่ลานประลอง

ฉากดังกล่าว หากไม่ใช่ผู้ที่มีรากฐานการบ่มเพาะแข็งแกร่งแล้ว ย่อมไม่มีศิษย์คนใดที่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของบุตรศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่ได้!

ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน เสียงกลองและเสียงโห่ร้องดังมาจากแท่นผู้ชม

เมื่อเสวียนหลีเห็นอีกฝ่ายยอมมาเผชิญหน้า นางก็รู้สึกเปรมปรีขึ้นมา

“ลู่หยวน วันนี้เป็นวันตายของเจ้า! เจ้าบอกว่าจะจัดการข้าในหนึ่งกระบวนท่าใช่หรือไม่? ขอบอกให้รู้ไว้เลยว่า ต่อให้วันนี้เจ้าพยายามสุดความสามารถก็เปล่าประโยชน์!”

นางชูกระบี่ดาราขึ้นสูง ผนึกแปลกประหลาดพลันก่อตัวขึ้น

เหนือสวรรค์ทั้งเก้าเกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ดวงแสงมากมายส่องสว่างเจิดจ้าทะลวงผ่านหมู่เมฆสีม่วงกะพริบแวววามยามเคลื่อนลงสู่ลานประลอง มันมีทั้งหมดเจ็ดสาย ก่อเกิดเป็นรูปลักษณ์ของดาวกระบวยใหญ่*[1]

รอบข้างปั่นป่วน สายลมพัดพาอย่างแรงกล้า พลังวิญญาณทั่วทั้งลานประลองถูกดูดกลืนไปทางเสวียนหลี

“กองทัพจงปรากฏ!”

นางตะโกนออกมา ลำแสงทั้งเจ็ดดับลงในพริบตา กระบี่ใหญ่เจ็ดดาราเริ่มปรากฏขึ้นบนลานประลอง

แต่ที่น่าแปลกคือ กระบี่ดาราที่เป็นของพลังวิถีแห่งสวรรค์ ถึงกับมีเถาวัลย์ควันสีม่วงพันเกี่ยวไปมา

กลิ่นอายแปลกประหลาดแผ่ออกมา

เถาวัลย์จำนวนมากยังคงขยับไปมา ราวกับนางมารร้ายที่คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด

ทันทีที่เถาวัลย์ปรากฏขึ้น พลังวิญญาณทั่วทั้งพื้นที่ถูกใช้จนแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณเกือบทั้งหมดเคลื่อนมาอยู่ข้างเสวียนหลี แสงสว่างของดวงดาวบนกระบี่ใหญ่ดาราเริ่มหมองหม่นลง มันถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายสีม่วงแปลกประหลาด

วิ้ง!

เสียงแผ่วเบาดังขึ้น อักขระสีม่วงร่ายรำทั่วทั้งลานประลอง ผ่านไปหลายอึดใจ ค่ายกลก็ก่อตัวขึ้นมา

กลิ่นอายชั่วร้ายพลันพวยพุ่ง เถาวัลย์สีม่วงเหล่านั้นคล้ายกับพบแหล่งพลังงานหล่อเลี้ยง จึงเคลื่อนออกจากกระบี่ใหญ่ดาราทีละน้อย และคืบคลานไปตามพื้น

เถาวัลย์มากมายสำรวจพลังชีวิตในตัวลู่หยวน ทันทีที่เถาวัลย์ขยับ พวกมันก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่ม

เมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์เห็นเถาวัลย์กำลังพุ่งเข้ามา เขาก็เผยรอยยิ้มเย็นชา พลังมังกรทั่วท้องนภาพลันเคลื่อนลงมา ก่อนบดขยี้เถาวัลย์สีม่วงเหล่านั้น

ลู่หยวนมองพวกมันที่กำลังถอยห่างด้วยสายตาเหยียดหยัน “นี่หรือ ‘ค่ายกลต้องห้ามวิญญาณสวรรค์’? ทั้งที่ค่ายกลเล็กแค่นี้ แต่เจ้ากล้าพูดจาโอ้อวดเสียงดังว่าอยากให้ข้ารู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำงั้นหรือ?!”

“คนเป็นขยะอย่างไร ค่ายกลก็เป็นขยะอย่างนั้น!”

ขณะบุตรศักดิ์สิทธิ์เย้ยหยัน เสวียนหลีกลับไม่โกรธแต่อย่างใด มือซ้ายของนางยังคงสร้างผนึกใหม่ พลังดวงดาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ารวมตัวในมืออย่างต่อเนื่อง

“เหอะ ลู่หยวน ความอวดดีก็คือจุดอ่อนอันร้ายแรงของเจ้า!”

สิ้นคำของสตรีผู้นี้ สายตาของนางดูชั่วร้ายขึ้นมา กระบี่ดาราในมือขวาพลันฟาดฟันไปยังอีกฝ่าย

เปรี้ยง!

โลหิตทอประกาย มีหนึ่งแขนถูกสะบั้น!

หน้าผากของเสวียนหลีหลั่งเหงื่อเย็นออกมา นางฝืนทนความเจ็บปวดเอาไว้ ก่อนถ่ายเทพลังดวงดาวในมือเข้าไปในแขนที่หัก

“พุ่งไปเสีย!”

“ค่ายกลต้องห้ามวิญญาณสวรรค์ ทำงาน!”

สิ้นเสียงอันเกรี้ยวกราดของเสวียนหลี กลิ่นอายสีม่วงทะยานออกจากแขนที่หักของนาง

ค่ายกลสีม่วงที่ปกคลุมทั่วลานประลองทำงาน ตาข่ายสวรรค์พุ่งขึ้นจากค่ายกล มุ่งตรงเข้าหาลู่หยวน!

ร่างของชายหนุ่มวูบไหว หมายจะหลบตาข่ายขนาดใหญ่นี้ให้ได้

ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!

เถาวัลย์นับร้อยกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะเข้าไปยึดแขนขาของลู่หยวนเอาไว้

ชายหนุ่มลดเท้าลง และเตรียมหลบอีกครั้ง

เหนือความว่างเปล่า หมู่เมฆสีม่วงหายไป จากนั้นจึงถูกแทนที่ด้วยพลังแปลกประหลาดที่ปกคลุมท้องนภา

แรงกดดันหนักอึ้งพลันเคลื่อนลงมา

ตูม!

พลังแก่กล้าแผ่ไปโดยรอบ ความว่างเปล่าทั้งหมดบนลานประลองถูกบดขยี้

เมื่อเต่ายักษ์ที่แบกลานประลองเอาไว้เจอแรงกดดันของกลิ่นอายนี้เข้าไป มันถึงกับต้องย่อขาลง

โฮก!

เต่ายักษ์แผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ราวกับกำลังแสดงความเจ็บปวด

ลู่หยวนตัวแข็งทื่อเมื่อตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เขาไม่สามารถหลบเลี่ยงได้จนเถาวัลย์นับร้อยฉวยโอกาสเข้าโจมตี ตรึงแขนขาของชายหนุ่มเอาไว้ได้

พวกมันยื่นหนามขนาดใหญ่ออกมา แทงเข้าไปในร่างของเขา!

[1] ดาวฤกษ์ทั้งเจ็ดในกลุ่มดาวหมีใหญ่