บทที่ 169 ‘ตัณหา’ ของไป๋ชิวหราน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 169 ‘ตัณหา’ ของไป๋ชิวหราน

กองทัพเทพที่ดูแลดินแดนตะวันออกได้ปิดล้อมป้อมปราการของแคว้นเซอปี๋ซือในช่วงบ่าย

ไป๋ชิวหรานเข้าไปภายในฐานที่มั่นของกบฏตั้งแต่การล้อมเสร็จสิ้นในตอนเช้า หลังจากเกิดความขัดแย้งบางอย่างจนเกิดการต่อสู้และแรงระเบิดรุนแรง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าภายในเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างและได้รับเพียงความเงียบงันกลับมา

จนกระทั่งเทพอีกาสามขาพาดวงอาทิตย์คล้อยจมลงไปในซากปรักหักพัง เทพดวงจันทร์วั่งชูก็ปรากฏตัวขึ้นเหน่อท้องฟ้าพร้อมด้วยรถม้าของนาง กองทัพเทพได้เห็นผู้บัญชาการของพวกเขา… ไป๋ชิวหรานจึงค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านใน

ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ทั้งบนเกราะสีเงินที่สลักลวดลายวิจิตรเกินกว่าการใช้งานจริงยังไม่มีแม้แต่ฝุ่นที่เปรอะเปื้อน

เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินออกมา เหล่าทหารเทพจึงรีบตรงเข้าไปทักทายพร้อมเอ่ยถาม

“ท่านแม่ทัพเทพ พวกกบฏเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ผู้นำกองกำลังกบฏเซอปี๋ซือดื้อรั้นไม่ยอมประนีประนอม ข้าจัดการเขาไปเรียบร้อยแล้ว”

ไป๋ชิวหรานตอบขณะที่มือทั้งสองไพล่อยู่ด้านหลัง

“ส่วนกลุ่มเผ่าพันธุ์ทั้งหมดของแคว้นต้าเหริน แคว้นหงหง และแคว้นเซอปี๋ซือ ข้าเห็นว่าพวกเขาต่างต่อสู้ไม่เกรงกลัวความตาย จึงส่งให้ไปพบผู้นำของตนพร้อมกัน”

“เอ่อ… แต่นี่…”

เหล่าทหารเทพพลันเกิดความลังเลเล็กน้อย ในที่สุดผู้บัญชาการกองพลก็กัดฟันเอ่ย

“ท่านแม่ทัพเทพ ทว่านั่นเป็นเพียงคำพูดไร้หลักฐาน…”

ไป๋ชิวหรานเคลื่อนมือที่ไพล่อยู่ข้างหลังไปด้านหน้า เหล่าทหารเทพเห็นว่าเขาถือห่อผ้าสีขาวอันเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด ไป๋ชิวหรานเปิดผ้าฝ้ายอย่างหยาบสีขาวออก ภายในนั้นมีศีรษะที่มีหูสุนัขและงูเขียวพันอยู่รอบ พิจารณาจากหู ศีรษะที่ใหญ่โต ทั้งยังใบหน้าที่แดงก่ำ เป็นศีรษะของเทพเซอปี๋ซือไม่ผิดแน่!

“เจ้าเห็นหลักฐานรับรองของข้ากับตาแล้วหรือยัง?”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามพร้อมมองไปที่ทหารเทพเหล่านั้นด้วยสายตาอย่างเย็นชา

หยดเหงื่อของแม่ทัพกองผุดพรายขึ้นมาทันทีราวกับหยาดฝน ก่อนรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ท่านแม่ทัพเทพปรีชายิ่ง ข้าน้อยขออภัยที่ตัดสินวู่วาม”

“ไปเถอะ ภายในไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์หลงเหลืออยู่แล้ว”

ไป๋ชิวหรานสั่ง

“ข้ากำจัดฐานที่มั่นไปอย่างราบคาบแล้ว อีกทั้งพวกกบฏยังถูกสังหารทั้งหมด จงรับส่วนหัวนี้ขึ้นไปยังสวรรค์แล้วถวายแด่ฝ่าบาท วันนี้เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ข้าจะกลับไปพักผ่อนสักหน่อย”

“ขอแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพเทพ”

ทหารเทพหลายองค์หอบหิ้วศีรษะจากศพที่ชายหนุ่มทุ่มโยนทิ้งไปขึ้นมา ก่อนจะกล่าวสรรเสริญด้วยความเคารพ

ไป๋ชิวหรานหันหลังจากไป ละทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ไว้ ควบม้าไปตลอดทางเพื่อกลับไปยังวิหารของตนเอง จากนั้นก็ขับไล่สาวรับใช้ต่างเผ่าพันธุ์สองสามคนที่รอคอยช่วยเหลือให้อาบน้ำแล้วเตรียมตัวเข้านอน ไป๋ชิวหรานกลับไปที่ห้องส่วนตัวเพียงลำพัง ปลดปล่อยพลังวิญญาณที่แท้จริงปิดกั้นพื้นที่ แล้วหยิบภาพเขียนออกมาจากถุงเก็บสมบัติ

ภาพดังกล่าวเขียนขึ้นจากพู่กันด้วยมือเปล่า ลายเส้นหมึกเป็นรูปภูเขาและแม่น้ำ ทว่าระหว่างหุบเขามีป้อมปราการไม้แห่งหนึ่งซ่อนอยู่ มองเห็นผู้คนที่อาศัยอยู่ข้างในเพียงเลือนราง

“ช่วยเหลือพวกเขาออกมาได้แล้ว แต่ข้าควรเก็บมันไว้ที่ไหน…”

ขณะมองไปที่ม้วนภาพเขียน ไป๋ชิวหรานก็เริ่มครุ่นคิด

“เจ้าช่างไม่มีความคิดเอาเสียเลย”

จื้อเซียนพร่ำบ่นเสียงดัง

“ข้าเห็นว่าเจ้าดูมั่นใจเหลือเกิน จึงคิดไปว่าวางแผนการไว้พร้อมแล้ว”

“เดิมทีข้าต้องการพาพวกเขาไปยังดินแดนใต้ดิน เปิดพื้นที่ใต้ดินให้อาศัยอยู่ชั่วคราว แต่หลังจากมาคิดดูอีกครั้งแล้ว… กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“แม้ว่าเทพธรณีจะล่วงลับไปนานแล้ว ทว่าไม่อาจรับรองได้ว่ามีเผ่าเทพจากสวรรค์ที่สืบทอดฐานะทางปุโรหิตของนางจนสามารถตรวจสอบใต้พื้นดินได้หรือไม่”

“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าควรปล่อยให้พวกเขาอาศัยอยู่ในภาพเขียนนี้ชั่วคราวไปก่อน พลังปราณภายพื้นที่แห่งนั้นอาจอยู่ได้นานสองถึงสามเดือน ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ด้วยความสามารถของเจ้าแล้ว ข้าอาจชี้แนะเคล็ดลับการเปิดห้วงมิติซ้อนให้ได้”

จื้อเซียนแนะนำ

“เคล็ดลับห้วงมิติซ้อนงั้นหรือ? เช่นเดียวกับบริเวณที่อยู่อาศัยในถ้ำของเจ้า ที่เต็มไปด้วยห้วงมิติทับซ้อนกับห้วงมิติ ทั้งยังมีพื้นที่หลายแห่งในพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่เพียงแห่งเดียวน่ะหรือ?”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“ใช่ กล่าวกันตามตรง มันเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง แม้แต่ในยุคสมัยของเซียนปฐพี มีเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้เคล็ดลับนี้ได้ก็คือข้า ยกเว้นแต่ผู้อัจฉริยะที่ตายตกไปนานโขแล้วสองสามคน แต่ข้าเชื่อถือในพรสวรรค์ของเจ้า”

จื้อเซียนยิ้มก่อนกล่าวต่อไป

“ยังไม่สายเกินไป วันนี้ข้าจะชี้แนะกฎเกณฑ์ให้ฟังโดยคร่าว จงรับฟังให้ดี…”

ไป๋ชิวหรานติดตามจื้อเซียนเพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชานี้และทำการฝึกฝนในสถานที่ปลอดภัยเป็นเวลาหลายวัน นอกจากนี้ เวทเชิงพื้นที่ของเขายังมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังพัฒนาด้วยความเร็วที่แม้แต่จื้อเซียนยังไม่สามารถจินตนาการได้

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา ผลของการปราบปรามกลุ่มกบฏของไป๋ชิวหรานเริ่มสนองผลลัพธ์เช่นกัน หลังจากที่ได้เห็นส่วนหัวจากซากศพของผู้นำกลุ่มกบฏที่เป็นถึงเทพเจ้าแล้ว จักรพรรดิสวรรค์ทรงโสมนัสยิ่ง รีบประทานรางวัลมากมายให้กับไป๋ชิวหราน

ทั้งทองคำ เงิน ผ้าไหม หรือทรัพย์สมบัติล้ำค่านานาชนิด สำหรับไป๋ชิวหรานแล้วพวกมันล้วนไร้ประโยชน์ ดังนั้นชายหนุ่มจึงมอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้กับเทพเจ้าที่เข้าร่วมในการปราบปรามกลุ่มกบฏในครั้งนั้นด้วยกันเพื่อเป็นการซื้อใจในระยะยาว หากเหตุการณ์ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นดีเช่นนี้ ต่อให้ไป๋ชิวหรานกระทำผิดกฎเป็นบางครั้ง เชื่อว่าเหล่าสหายพี่น้องเหล่านี้คงไม่เคี้ยวลิ้นตนเองเป็นแน่!

แต่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ จักรพรรดิสวรรค์ยังส่งมนุษย์ส่วนหนึ่งมาให้

“คนเหล่านี้เป็นสตรีงามผู้รูปโฉมงดงามที่สุดที่ได้รับการคัดเลือกจากแหล่งที่ตั้งถิ่นฐานหลายแห่งของเผ่ามนุษย์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”

เทพเจ้าใบหน้าน้ำเงินผู้รับมอบหมายพระราชกฤษฎีกา ชี้ไปยังกลุ่มสตรีที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกห้องโถง ก่อนจะกล่าวต่อไป

“จักรพรรดิสวรรค์ตรัสว่า ท่านเทพเจ้า ท่านยังไม่ได้แต่งงาน อาจต้องการเทพธิดาที่เหมาะสมสำหรับฐานะ เพราะตอนนี้ถึงแม้จะมีชีวิตที่เปี่ยมสุขเพียงใด ทว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงจากความโดดเดี่ยว จึงทรงมอบสาวงามเหล่านี้ให้กับท่าน ไม่ว่าจะแต่งนางเป็นภรรยาเอก ภรรยารอง หรือใช้นางเป็นเพียงของเล่นชั่วคราวก็ย่อมได้”

ไป๋ชิวหรานเหลือบมองสตรีที่อยู่นอกห้องโถง เทพเจ้าส่วนใหญ่มีรูปลักษณ์ทั่วไปที่แปลกประหลาดไม่เหมือนมนุษย์ แต่เนื่องจากจักรพรรดิตะวันออกไท่อีมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ดังนั้นจึงเสาะหามนุษย์ที่รูปโฉมงดงามมาสนองตนเองเช่นกัน

เผ่าเทพได้ชื่อว่าปกป้องเผ่ามนุษย์ ทว่าอีกด้านหนึ่ง ในฐานะจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิสวรรค์ เขาอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งในโลก ในทางกลับกัน พวกเขาเก็บเผ่ามนุษย์ไว้เพราะเห็นคุณค่าเป็นเพียงปศุสัตว์หรือเชลย ฉะนั้นตราบใดที่มีสตรีหน้าตางดงามก็จะให้พวกนางมาปรนเปรอความสุข

ตอนนี้สตรีที่คุกเข่าอยู่นอกวิหาร คาดว่าเป็นสตรีผู้งดงามที่สุดจากหลาย ๆ หมู่บ้าน บางคนถึงวัยพร้อมที่จะแต่งงานแล้วก็ไม่ได้รับการยกเว้น ตราบใดที่ได้รับการคัดเลือก… จะถูกเทพเจ้าส่งตัวขึ้นมายังสวรรค์

เมื่อขึ้นมาอยู่บนสวรรค์ พวกนางจะถูก ‘สลักเสลา’ โดยเทพเจ้าเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้รูปลักษณ์มีความสวยงามยิ่งขึ้น จากนั้นจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม ‘สตรีงาม’ บนสรวงสวรรค์ กระทั่งกลายเป็นรางวัลสำหรับแจกจ่ายเทพเจ้าที่ทำคุณงามความดีเยี่ยงวัตถุ

“ข้าไม่สนใจพวกนาง…”

ไป๋ชิวหรานเลิกคิ้ว

เมื่อเทพเจ้าหน้าน้ำเงินได้ยินคำกล่าว จึงก้มศีรษะลงต่ำทันทีพร้อมเอ่ย

“เช่นนั้นข้าน้อยยินดีช่วยท่านเทพเจ้าแก้ไขปัญหานี้เอง”

ไป๋ชิวหรานเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนหันมองไปยังหญิงสาวเผ่ามนุษย์ด้านนอกอีกครั้ง แม้ว่าเทพเจ้าผู้ที่มีใบหน้าสีน้ำเงินผู้นี้จะย่อร่างให้เล็กแล้ว ทว่าส่วนสูงยังมากกว่าหนึ่งจั้ง ความแตกต่างด้านสรีระของเขาและพวกนางห่างกันเกินไป

หากมอบหญิงสาวเหล่านี้ให้เขา เกรงว่าพวกนางอาจถูกเล่นสนุกจนตายตกคามือในเวลาเพียงไม่กี่วัน

“ช่างเถอะ ข้าจะรับหญิงสาวเหล่านี้ไว้ ข้าอาจเรียก ‘ใช้’ นางบ้างเมื่อมีเวลา”

ไป๋ชิวหรานกระแอมไอ

“ฝากขอบพระทัยจักรพรรดิสวรรค์สำหรับรางวัลที่ทรงมอบให้”

“แน่นอน แน่นอน”

เทพเจ้าใบหน้าสีน้ำเงินแสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะถอยห่างออกไปจากห้องโถง

เขากลับลงมาถึงบริเวณตีนเขา มีเทพเจ้าใบหน้าน้ำเงินอีกองค์กำลังรออยู่ที่นี่ ครั้นเห็นอีกฝ่ายลงมาจึงเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เขาไม่ต้องการเงินทองหรือผ้าไหม แต่กลับรับคนงามเหล่านั้นไว้ ดูเหมือนว่าเพียงพึงใจจะสงวนบางอย่างไว้เท่านั้น ไม่มีแผนการอื่นแอบแฝง”

เทพองค์นั้นเผยสีหน้าบูดบึ้งขณะเอ่ยตอบ

“แสร้งทำว่ามีน้ำใจสูงส่ง คาดว่าเบื้องหลังคงอดใจรอเล่นสนุกกับแม่นางเหล่านั้นไม่ได้”

“เช่นนั้นก็กลับไปทูลรายงานฝ่าบาทเถิด พระองค์จะได้ไม่เป็นกังวล”

เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งยกยิ้ม ก่อนกล่าวต่อไป

“เขาอาจไม่ต้องการเงินทองใด ๆ เพียงแค่รู้สึกประทับใจกับความงดงามหยดย้อยเท่านั้น แม่ทัพเทพดินแดนตะวันออกไม่มีเจตนาร้ายใดแอบแฝงมากกว่าไปกว่านั้น”