บทที่ 170 สาวน้อย มาประลองกันสักสองกระบวนท่าดีหรือไม่

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 170 สาวน้อย มาประลองกันสักสองกระบวนท่าดีหรือไม่?

ภายในวิหาร ไป๋ชิวหรานใช้สัมผัสเทวะเพื่อลอบฟังการสนทนาระหว่างเทพเจ้าใบหน้าน้ำเงินสององค์นั้น หลังจากเห็นเทพเจ้าทั้งสองเหาะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาจึงถอนสัมผัสเทวะออก แล้วหันไปกล่าวกับเหล่าหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น “พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด”

ไป๋ชิวหรานสั่ง ก่อนจะเรียกสาวรับใช้ต่างเผ่าพันธุ์ให้เข้ามาภายในวิหาร และสั่งให้พวกนางดูแลหญิงสาวจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เหล่านี้ให้ดี

ตอนนี้ตราบใดที่พวกนางอาศัยอยู่ในวิหาร อย่างน้อยยังได้รับความปลอดภัยในชีวิต ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสัตว์ร้ายในดินแดนรกร้าง ส่วนสิ่งที่ควรทำต่อไปในอนาคตนั้น ค่อยเก็บไว้พิจารณาในภายหลัง

หลังจากจัดการเรื่องพวกนางแล้ว ไป๋ชิวหรานก็เดินกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวและเริ่มเรียนรู้เคล็ดลับจากจื้อเซียนราวกับไม่แยแสพวกนางเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เทพเจ้าทั้งสองพูดคุยกันและตั้งข้อสังเกต ไป๋ชิวหรานจึงจำเป็นต้องกระทำบางอย่างเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองสามวัน ชายหนุ่มจึงเรียกหาหญิงสาวที่งามสุดมาอยู่ในห้องส่วนตัวในวันที่สาม ซึ่งนางไม่ได้ถูกปล่อยตัวออกมาจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานไม่ได้ล่วงเกินนางแต่อย่างใด เพราะหากทำเรื่องเช่นนั้นจริง อาจไม่สามารถรักษาพลังวิญญาณในร่างกายไว้ได้

ชายหนุ่มเพียงขอให้หญิงสาวเผ่ามนุษย์ร่วมมือกับเขาเพื่อทำการบางอย่าง เขาพยายามชี้แนะสตรีเผ่ามนุษย์ถึงวิธีการฝึกตนสู่การบรรลุขั้นกลั่นลมปราณ ไปจนถึงขั้นสร้างรากฐานโดยใช้การเขียนเรียบเรียงแทนการบอกกล่าว

ดังนั้นจึงเป็นผลให้ในกระบวนการลงโทษจากวิถีแห่งสวรรค์ไม่ได้มาก้าวก่ายกับเขาแต่อย่างใด

“ข้าคาดเดาว่า อาจเป็นเพราะมันไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อประวัติศาสตร์”

จื้อเซียนกล่าว

“หากหญิงสาวเหล่านี้มีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์เก่าแก่จริง คาดว่าพวกนางคงมีวิถีชีวิตเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของเผ่าเทพ หรือไม่ก็อาจโชคร้ายไปกว่านั้น หากพบเจอผู้มีรสนิยมรุนแรงสองสามคนและถูกเล่นสนุกจนตายตกไป ต่อให้เจ้าจะสั่งสอนพวกนาง หรือสามารถบรรลุขั้นสร้างรากฐาน พวกนางก็ไม่ใช่คนสำคัญในยุคสมัยนี้แต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเผ่ามนุษย์ภายนอก”

“แล้วหากใช้ให้พวกนางชี้แนะวิธีการฝึกตนในนามของข้าแทนล่ะ?”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม

“หากยังไม่อยากตายก็อย่าทำเสียจะดีกว่า”

จื้อเซียนตอบกลับ

“วิถีสวรรค์ไม่ได้สังหารเจ้า ทว่าทำได้เพียงปิดกั้นเท่านั้น นั่นเป็นเพราะมันทำอะไรไม่ได้ เพียงเผ่ามนุษย์ธรรมดาสามัญสองสามคน เผ่าเทพจะควบคุมพวกนางไม่ได้เชียวหรือ? ข้าคาดเดาว่าหากพวกนางออกไปจากที่นี่และพูดพล่ามไร้สาระ เกรงว่าอาจเป็นฝ่ายถูกวิถีสวรรค์จัดการสังหารทันทีที่เอื้อนเอ่ย”

หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่ มันจึงเอ่ยอีกครั้งว่า

“อันที่จริง เมื่อใช้วิธีทางอ้อมสร้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเพื่อนำทางศิษย์ไปสู่การบรรลุการฝึกตน ข้าคิดว่าเขาคงได้รับแรงบันดาลใจจากเจ้าให้ตระหนักถึงวิธีการบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐาน แต่ในเมื่อไม่ได้รับการลงโทษจากวิถีสวรรค์แต่อย่างใด เกรงว่า… ลูกศิษย์ผู้นั้น ในประวัติศาสตร์ดั้งเดิม… อาจมีภูมิหลังยิ่งใหญ่พอควร”

ครั้นกล่าวถึงเรื่องนี้ ไป๋ชิวหรานจดจำได้ว่ามีศิษย์คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยของเผ่ามนุษย์ เมื่อนึกถึงความสามารถของเขาที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแค้นในโชคชะตาตนเอง เกรงว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การฝึกตนของเด็กหนุ่มในขั้นสร้างรากฐานก็อาจเลือนหายไปเช่นกัน หากละทิ้งความพยายามไปเพียงเล็กน้อย

“ไม่สำคัญหรอก ไม่ว่าภูมิหลังของเขาจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เผ่ามนุษย์ประสบกับความสูญเสียน้อยลงก็ถือเป็นเรื่องดี”

ชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า

“อีกสองวันข้างหน้า ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยียนเสียหน่อยว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง บางทีอาจชี้แนะให้เข้าใจเวทคาถาหรือกระบวนท่าบางอย่าง ขณะเดียวกัน ข้าตั้งใจจะไปพบเจียงหลานและคนอื่น ๆ ด้วย”

ไป๋ชิวหรานทำตามสิ่งที่ได้ลั่นวาจาไว้ หลังจากนั้นสองหรือสามวัน ชายหนุ่มก็เดินทางออกจากวิหาร ไปทางกระท่อมของเจียงหลานหลังจากฝึกเวทห้วงอวกาศจนสำเร็จ

ภายในวิหารของเขา มีแผนที่ที่ถูกเขียนขึ้นเป็นภูมิประเทศทั้งหมด ด้วยแผนที่นี้ชายหนุ่มจึงประสบความสำเร็จในการบ่งบอกทิศใต้ ทิศเหนือ ทิศตะวันออก และตะวันตกของโลก ทั้งยังสามารถรู้ได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ใด

เมื่อครั้งเทพเจ้าทั้งสองพาเหาะทะยานมายังวิหารแห่งนี้เหนือท้องฟ้า กลุ่มเมฆหมอกไม่ได้ปิดบังวิสัยทัศน์เบื้องล่างทั้งหมดแต่อย่างใด อีกทั้งยังสามารถมองเห็นจากมุมสูง นั่นทำให้ไป๋ชิวหรานสามารถจดจำทางได้อย่างง่ายดาย

ผ่านไปครึ่งทาง เขาก็ตระหนักได้ว่าตนไม่ได้นำของกำนัลติดมือมามอบให้กับเจียงหลานแต่อย่างใด เมื่อคิดว่าสตรีร่างเล็กผู้คลุกคลีอยู่กับพิษร้ายแรงตลอดทั้งชีวิตอาจไม่พึงใจกับสิ่งที่ฉาบฉวยเช่นเงินทองหรือผ้าไหมชั้นดี ดังนั้นเขาจึงเดินไปรอบบริเวณดินแดนรกร้างใกล้เคียงสองแห่ง ลงมือล่าสุนัขจิ้งจอกขาวตัวใหญ่ที่มีเขางอกออกมาจากหลัง ก่อนจะลอกผิวหนังของมันออกแล้วทำความสะอาดให้ดี และห่อเป็นของกำนัลแทน

ไป๋ชิวหรานเสาะหากระท่อมของเจียงหลานที่รายล้อมไปด้วยปราการเวทพบในเวลาไม่นานนัก ทว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่กระท่อม และไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าไปที่ใด

หลังจากรีรอครู่หนึ่งก็ไร้วี่แววว่าอีกฝ่ายจะกลับมา ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจไปยังหมู่บ้านของเผ่ามนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อเยี่ยมเยียนลูกศิษย์ผู้ยากไร้

เผอิญว่าหลังจากเดินลงมาจากภูเขา ไป๋ชิวหรานกลับเหลือบไปเห็นเจียงหลานอยู่ในป่าอันเงียบสงบถัดจากหมู่บ้าน

ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าพลังงานบางอย่างถูกใช้เพื่อสร้างปราการขึ้นในป่า ข้างกายเจียงหลานมีเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่สวมกระโปรงยาวตัดเย็บจากหนังสัตว์ ผิวกายดูเปล่งปลั่งสุขภาพดียิ่ง เด็กผู้หญิงคนนั้นรับคำชี้แนะบางอย่างจากเจียงหลาน ยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งของมือข้างหนึ่งขึ้น หันหน้าไปยังหินก้อนหนึ่งในป่า

นางหลับตาลงขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน พลังปราณสีขาวพลันพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเล้ก ๆนั่น ทิ้งรูลึกเสมือนถูกเจาะด้วยนิ้วไว้กลางก้อนหินตรงหน้า!

“อะไรกัน?”

ไป๋ชิวหรานตกตะลึงเล็กน้อย

“นั่นปราณกระบี่ที่ข้าเคยสอนนางไม่ใช่หรือ?”

“ท่านเทพเจ้า!”

หลังจากประสบความสำเร็จ เด็กผู้หญิงเผ่ามนุษย์ยิ้มแย้มอย่างปีติยินดียิ่งให้กับเจียงหลาน

“ข้าทำสำเร็จ!”

“อืม ทำได้ดีมาก”

แม้ว่าสีหน้าของเจียงหลานยังคงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ทว่าแววตาและน้ำเสียงกลับอ่อนโยนลงหลายส่วน

“ด้วยสิ่งนี้ หลังจากขั้นสร้างรากฐานเริ่มแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้หอกหินหยาบหรือมีดหินเพื่อตัดแบ่งชิ้นส่วนของเหยื่ออีกต่อไป”

“เจ้าค่ะ”

เด็กผู้หญิงเผ่ารมนุษย์แย้มยิ้มอย่างมีความสุข

“หากกลับไปยังหมู่บ้านเมื่อใด ข้าจะสอนเคล็ดลับนี้ให้กับทุกคน ขอบคุณท่านเทพเจ้าแล้ว”

“อืม”

เจียงหลานชี้ไปที่ตะกร้าไม้ไผ่ที่อยู่ไม่ไกลพร้อมกล่าว

“พ่อของเจ้าสั่งให้ออกไปเก็บผลไม้กลับไปยังหมู่บ้านมิใช่หรือ? ข้าเก็บผลไม้ไว้ให้แล้ว นำผลไม้เหล่านั้นกลับไปเร็วเข้าเถิด”

“เจ้าค่ะ!”

เด็กผู้หญิงเผ่ามนุษย์ยกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นสะพายไว้บนแผ่นหลัง ก่อนจะออกวิ่งจากไปพร้อมกระโดดโลดเต้นราวกับกวาง ก่อนจะหยุดเดินอีกครั้งแล้วหันกลับมาโบกมือให้เจียงหลาน

“ลาก่อน ท่านเทพเจ้า”

เจียงหลานโบกมือตอบนาง พลางมองดูจนอีกฝ่ายลับสายตาไป

เมื่อเด็กหญิงมนุษย์เดินจากไปไกลแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงออกมาจากหลังพุ่มไม้ พลางกล่าวทักทายเจียงหลาน

“เป็นอย่างไรบ้าง แม่นางเจียงหลาน”

“หืม?”

เมื่อเจียงหลานเห็นไป๋ชิวหราน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางรีบก้าวถอยหลัง งูพิษบนไหล่ชูคอสูงขึ้น แมงมุมสีสด ตะขาบ รวมไปถึงแมลงพิษอื่น ๆ คืบคลานออกมาจากแขนเสื้อ ส่งจิตสังหารคุกคามไปยังไป๋ชิวหราน!

“เจ้าเห็นทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่?”

เจียงหลานเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นชา

“ข้าเห็นทั้งหมดแล้ว ฮ่า ๆๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะ…”

จู่ ๆ ไป๋ชิวหรานกลับถูกงูบนบ่าของนางพ่นพิษออกมา พิษละลายพื้นผิวของต้นไม้ที่อยู่ข้างหลัง ก่อนจะกัดเซาะอย่างรุนแรง ในไม่ช้าต้นไม้ก็ถูกพิษกัดกร่อนจนกลายเป็นวัตถุย่อส่วนรูปทรงแปลกประหลาด

เมื่อเห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงยกมือทั้งสองขึ้นเพื่อยอมแพ้ พร้อมกล่าวว่า

“แม่นางเจียงหลาน ข้าจะไม่รายงานการกระทำของเจ้า เราทั้งสองต่างมีบางสิ่งที่เหมือนกัน”

“มีเหตุผลใดที่ข้าต้องเชื่อใจเจ้า?”

เจียงหลานถามกลับ

ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง นอกเหนือจากการยืนยันตัวตนผ่านความแข็งแกร่งเป็นเลิศของตนแล้ว ดูเหมือนว่าไม่มีทางใดเลยที่จะทำให้ผู้คนที่ไม่รู้จักสนิทสนมเชื่อใจในตัวเขาในสถานการณ์เช่นนี้

ดังนั้นชายหนุ่มจึงแสร้งสวมบทบาทให้คล้ายคลึงกับหวงเฟยหง ก่อนจะโต้ตอบเจียงหลานไปว่า

“เอาล่ะ สาวน้อย เช่นนั้นมาประลองกันสักสองกระบวนท่าดีหรือไม่?”