บทที่ 171 แม่นาง ข้าเป็นมนุษย์จริง ๆ!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 171 แม่นาง ข้าเป็นมนุษย์จริง ๆ!

หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานก็เดินออกมาจากป่าทีละคน ชายหนุ่มแสดงวิสัยปกติสามัญเดินนำหน้า ส่วนเจียงหลานเดินตามหลัง แววตาของนางว่างเปล่า มือข้างหนึ่งถือหนังสัตว์สีขาวสวยงาม อีกมือหนึ่งเอื้อมไปปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนอยู่บนไหล่

เมื่อมาถึงบริเวณหมู่บ้านและเห็นกำแพงสูงที่ทำขึ้นจากไม้ปลายแหลม ไป๋ชิวหรานก็หยุดชะงักฝีเท้าและหันไปถามว่า

“แม่นางเจียงหลาน ตัวตนของเจ้าค่อนข้างอ่อนไหวต่อพวกเขา ดังนั้นการติดตามข้ามาเช่นนี้จะไม่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกหรือ?”

“หืม?”

เจียงหลานสงวนท่าทีเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไป๋ชิวหรานด้วยแววตาที่ดูซับซ้อน พร้อมเอ่ยตอบ

“ไม่หรอก ในฐานะเทพเจ้า ข้ามีวิธีที่จะซ่อนตัวตนจากมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน”

“เช่นนั้นก็ดี”

ไป๋ชิวหรานเดินมายังประตูหมู่บ้าน อาศัยความรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของทหารยามทั้งสองและเข้าไปภายในหมู่บ้านได้สำเร็จ ขณะที่เจียงหลานเดินผ่านทหารยามตามปกติ ก่อนจะมาเดินเคียงข้างชายหนุ่มโดยไม่ทราบสาเหตุ ทหารยามกับผู้คนในหมู่บ้านต่างเพิกเฉยนาง

“อย่าแปลกใจไปเลย ข้าใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

เมื่อสังเกตเห็นชายหนุ่มจ้องมองมา เจียงหลานจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

จริงสิ ข้ายังมีขั้นวิญญาณแท้จริงอยู่ในร่างด้วยนี่นา หากกลับไปเมื่อไหร่ จะขุดคุ้ยเคล็ดวิชาลับที่ไม่อาจพบเห็นทั่วไปในหอตำราของสำนักกระบี่ชิงหมิงมาฝึกฝนจนสำเร็จให้จงได้!

ไป๋ชิวหรานขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดกับตนเอง

เขาเดินนำเจียงหลานไปยังกระท่อมหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณท้ายหมู่บ้าน ยามนี้เป็นเวลาบ่าย เจ้าเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่อยู่ที่กระท่อม ชายหนุ่มจึงถามไถ่จากคนสองสามคนในหมู่บ้านเดียวกัน คนเหล่านี้ไม่รู้จักมักคุ้นกับไป๋ชิวหรานมาก่อน แต่แน่นอนว่าเมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เป็นมนุษย์ของเขา… จึงยอมปริปากว่าอีกฝ่ายหายไปไหน

จากคำบอกเล่าของพวกเขา ลี่ที่ประสบความสำเร็จในฝึกฝนจนบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐาน ดูเหมือนจะได้รับการชื่นชมจากผู้นำของหมู่บ้านไม่น้อยทีเดียว เขาจึงได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มล่าสัตว์ของหมู่บ้าน และตอนนี้กำลังออกไปล่าสัตว์

“ข้าพอรู้อยู่บ้างว่ากลุ่มล่าสัตว์กำลังมุ่งหน้าไปที่ใด พวกเขาจะย้อนกลับมายังหมู่บ้านโดยใช้เส้นทางเดิมทุกครั้ง เราเพียงต้องไปที่นั่นและดักรอ”

หลังจากได้ยินคำตอบผ่านไป๋ชิวหราน เจียงหลานจึงเสนอแนะ

คราวนี้เจียงหลานกลายมาเป็นผู้นำทาง ทั้งสองเดินทางออกจากหมู่บ้าน และเดินตรงไปยังทางแยกแห่งหนึ่งที่กลุ่มล่าสัตว์กำลังเดินทางกลับ

ระหว่างรอคอย เจียงหลานที่นิ่งเงียบอยู่นานก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า

“เจ้าเป็นเทพเจ้าประเภทใดกันแน่? ข้าไม่เคยพบเห็นพลังเวทประหลาดเช่นนี้มาก่อน”

“นั่นไม่เรียกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่เรียกว่าพลังวิญญาณที่แท้จริง อืม… ควรเรียกว่าขั้นวิญญาณแท้จริงถึงจะถูก”

ไป๋ชิวหรานเน้นย้ำน้ำเสียงของเขาเป็นพิเศษ โดยเน้นที่ช่วงครึ่งหลังของประโยค

เมื่อชายหนุ่มเห็นเจียงหลานสอนวิชาปราณกระบี่ที่ตนชี้แนะให้ แล้วนางก็ส่งต่อให้คนของเผ่ามนุษย์อีกทอดหนึ่ง ไป๋ชิวหรานจึงมั่นใจว่าเขากับสตรีคนนี้เป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน

แม้ว่าจะไม่รู้จักสนิทสนมกันมากนักก็ตาม ทว่าไป๋ชิวหรานก็ยังไว้วางใจเจียงหลาน เป็นเพราะเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจบอกเล่าให้เจียงหลานรับทราบถึงเรื่องราวทั้งหมด

“ตอนที่เราสองคนพบกันครั้งแรก ข้าเคยบอกความจริงแก่เจ้าแล้วว่าข้าเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทพเจ้า”

ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเล่า?”

เจียงหลานถามต่อไป

“เผ่ามนุษย์ผู้อื่นมีสิทธิ์ที่จะแข็งแกร่งได้เทียบเท่าเจ้าหรือไม่?”

นางจำได้ว่าเมื่อไป๋ชิวหรานอยู่ในป่าเมื่อครู่ เขาถูกนางจงใจพ่นหมอกพิษใส่ใบหน้า จำได้แม้กระทั่งว่าเผลอสูดดมหมอกพิษเข้าไปในจมูก แต่แล้วท้ายที่สุด พิษเหล่านั้นที่เข้าไปร่างกาย… แม้แต่เทพยังมีอันเป็นไป แต่กลับทำให้ชายหนุ่มระคายจนจามออกมาเพียงสองครั้งเท่านั้น!

“แน่นอน… ข้าไม่รู้ว่าเผ่ามนุษย์จะทวีความแข็งแกร่งได้เทียบเท่าข้าหรือไม่ แต่แข็งแกร่งเทียบเท่าเผ่าเทพ หรือแม้แต่แข็งแกร่งราวกับจักรพรรดิสวรรค์… นั่นก็ไม่แน่”

ไป๋ชิวหรานตระหนักว่าคำพูดของเขาดูไม่เหมาะสม จึงกล่าวแก้ตัว

“แม้ว่าเผ่ามนุษย์เช่นเราจะเกิดมาอ่อนแอ แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว”

“ไป๋ชิวหราน” เจียงหลานครุ่นคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ายังไม่อยากปักใจเชื่อในทันที สตรีร่างเล็กจ้องมองชายหนุ่มพร้อมเอ่ยถาม “ในเมื่อกล่าวว่าเป็นคนของเผ่ามนุษย์ เช่นนั้นเจ้ามาจากที่แห่งใดกันแน่?”

ไป๋ชิวหรานก้มศีรษะลงเพื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ตอนนี้ข้ายังบอกไม่ได้ แต่จะบอกให้เจ้ารู้แน่หากถึงเวลา”

หากเขาเปิดปากบอกเจียงหลานตอนนี้ว่าตนมาจากยุคสมัยใหม่ในหลายพันปีต่อมา บางทีวิถีสวรรค์อาจจะทำให้เกิดปรากฏการณ์การปิดกั้นขึ้นมาอีกครั้ง!

ใช่ว่าไป๋ชิวหรานจะหวาดกลัว ทว่าเพียงรู้สึกว่ามันน่ารำคาญไม่น้อยที่ถูกวิถีสวรรค์คอยตามวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้ เนื่องจากอุตส่าห์พยายามต่อสู้เพื่อการฝึกตนมาอย่างยาวนาน ชายหนุ่มเพียงต้องการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อบรรลุขีดจำกัดของตนเอง และช่วยให้ขั้นวิญญาณแท้จริงในร่างปรากฏขึ้น ทว่าเมื่อใดก็ตามที่พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์… ไม่แน่ว่าวิถีสวรรค์อาจโยนเขาไปยังห้วงมิติอื่นที่แตกต่างจากโลกใบนี้ก็ได้

เคล็ดลับเปิดห้วงมิติของไป๋ชิวหรานยังทำการฝึกฝนไม่สำเร็จ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของวิถีสวรรค์ ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงปล่อยให้มันอยู่เหนือกว่าในห้วงมิติอื่นเท่านั้น

เจียงหลานคล้ายอยากตั้งคำถามต่อ ทว่าไป๋ชิวหรานกล่าวตัดบท

“ฟังสิ กลุ่มล่าสัตว์ย้อนกลับมาแล้ว ไว้ค่อยกล่าวเรื่องพวกนี้ในภายหลัง เจ้าคอยดูให้ดีว่าข้าจะทำอย่างไร”

เจียงหลานเงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียง แน่นอนว่ากลุ่มล่าสัตว์จากหมู่บ้านของเผ่ามนุษย์กลับมาแล้ว พวกเขาต่างกำลังพูดคุยกลั้วหัวเราะกันไปพลาง แบกเหยื่อไว้บนเปลหามหลายตัว ดูเหมือนว่าจะได้เหยื่อกลับมาไม่น้อย

คนที่นำหน้าทุกคนคือผู้นำของเผ่ามนุษย์ และชายอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ชายคนนี้เอาแต่แตะลูบศีรษะเผยรอยยิ้มจริงใจต่อผู้นำหมู่บ้านด้วยท่าทางเขินอาย

ชายผู้นั้นที่เดินเคียงข้างผู้นำหมู่บ้านคือลี่ ไป๋ชิวหรานไม่ได้พบเจออีกฝ่ายมาระยะหนึ่งแล้ว และพบว่าพลังวิญญาณที่แท้จริงในร่างกายของเขาก็พัฒนาขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอิจฉาริษยา…

เมื่อเห็นว่าพวกเขาล้วนมีความสุข ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดหาวิธีพักหนึ่ง ก่อนจะส่งสารถึงลี่โดยตรงผ่านสัมผัสเทวะ

“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เดิม”

เมื่อได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังก้องขึ้นมาภายในภวังค์ความคิด ลี่ถึงกับตกตะลึง ทว่าไป๋ชิวหรานไม่ได้สนใจท่าทีของเด็กหนุ่ม ทว่าพาเจียงหลานเดินเลี่ยงออกไปยังแอ่งน้ำ หวังให้สถานที่ช่วยให้เขาระลึกถึงการฝึกฝนในวันนั้น

หลังจากรีรออยู่เพียงครู่เดียว ลี่ก็รีบตามมาพบเขาทันที ก่อนจะโค้งกายคำนับด้วยความเคารพยิ่ง

“ท่านอาจารย์ ข้ามาแล้วขอรับ”

“อืม”

ไป๋ชิวหรานหันหน้ากลับมา พยักหน้าให้

“ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้าจะมีช่วงชีวิตที่ดีไม่น้อย”

ลี่ยืดหลังตรงขึ้นทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นเจียงหลานผู้มีสีหน้าเย็นชาที่ยืนอยู่เคียงข้างไป๋ชิวหราน แน่นอนว่าเขาจำได้ว่านางเป็นเทพโรคระบาด ทว่าไม่อาจล่วงรู้ว่าอาจารย์ของตนไปรู้จักกับเทพโรคระบาดได้อย่างไร

“อย่ากังวลไป แม่นางเจียงหลานไม่มีทางทำอันตรายเจ้า”

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม

“ข้าขอถามตามตรง… เจ้าได้สอนวิธีบางอย่างให้ผู้คนร่วมหมู่บ้านแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่? การที่เจ้าไม่เก็บงำยอดเขาขุมทรัพย์ของตนไว้เพียงผู้เดียว นับว่าจิตใจไม่มืดมิด”

“แน่นอน ข้าแบ่งปันความรู้ให้พวกเขา หากไม่แล้วท่านผู้นำคงไม่ยอมให้เข้าร่วมกลุ่มล่าสัตว์เป็นแน่”

ลี่ยกมือขึ้นลูบศีรษะพร้อมส่งยิ้มกว้าง

“ทหารยามในหมู่บ้านของเราสามคนแล้วที่กำลังฝึกฝนเพื่อบรรลุการฝึกตน แต่สิ่งน่าฉงนคือบรรลุผ่านได้เชื่องช้านัก ท่านผู้นำจึงสั่งให้พวกเขาฝึกฝนในห้องที่เงียบสงัดอย่างช้า ๆ”

ไม่น่าฉงนสักนิดเลย เจ้าลูกศิษย์… เจ้ากล่าวถูกต้องทั้งหมด

ไป๋ชิวหรานลอบพร่ำบ่นในใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย

การที่ลี่เผยแพร่วิธีการบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานนั้น คาดการณ์ได้ว่าอาจมีเผ่ามนุษย์หลายคนที่บรรลุขั้นสร้างรากฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงเวลานั้น ภายในแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ทุกคนอาจมีสิทธิ์ได้ครอบครองขั้นวิญญาณแท้จริง…

สังคมเสมอภาคถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของข้าเองจนได้

ไป๋ชิวหรานเกิดความรู้สึกรำคาญในใจ แต่เขาก็รีบระงับอารมณ์ลง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตรงกันข้าม

“วันนี้ข้าจะชี้แนะเคล็ดลับใหม่ให้เจ้า มานี่เถิด”