ฮูหยินผู้เฒ่าทนฟังถ้อยคำนี้ได้ที่ไหนกัน!
สีหน้านางเปลี่ยนเป็นเขียวครึ้ม
ไม่นาน โหวฮูหยินก็มาถึง พอมาถึงนางก็กล่าวออกมาอย่างเป็นทุกข์ทันทีว่า “ท่านแม่ เรื่องที่คุณชายใหญ่สกุลหวังเดินทางมาจิงเฉิงนั้น อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่ท่านโหวของพวกเราก็ไม่ทราบเรื่องเช่นกัน ส่วนเรื่องไปเจอครอบครัวว่าที่ภรรยาอะไรที่ท่านกล่าวมานั้น ข้ายิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
เห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูไม่ดีมากจริงๆ นางยังกล่าวปลอบโยนอีกว่า “ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย บางทีอาจมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันก็ได้ ข้าจะให้คนไปสอบถามเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ซึ่งเกิดความเข้าใจผิดจริงๆ
เดิมหวังเฉินตั้งใจว่ารอให้จัดการเรื่องตรวจสมุดบัญชีใกล้เสร็จแล้วค่อยเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มาเยี่ยมเยียนจวนหย่งเฉิงโหว แต่การเปลี่ยนแปลงมาเร็วกว่าแผนการที่วางเอาไว้ จ่างกงจู่ส่งเทียบมาเชิญเขาไปรับประทานอาหารที่หอสายลมวสันต์ด้วยตัวเอง เขาจะไม่ไปได้อย่างไร
ถัดจากนั้นเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าก็มาเยี่ยมถึงบ้าน ยังมีบรรดานายหน้าในจิงเฉิงที่ข่าวสารไวเหล่านั้นอีก หลังจากทราบข่าวแล้วก็ชวนพวกหลงจู๊ใหญ่และเจ้าของกิจการต่างๆ ที่ทำการค้าขายกับตระกูลหวังมาเยี่ยมเยียนเขา พอมีเวลาว่างเขาก็ต้องหาทางส่งคนไปจัดเตรียมสินเจ้าสาวให้หวังซีอีก ไปๆ มาๆ เรื่องไปเยี่ยมจวนหย่งเฉิงโหวจึงล่าช้าออกไป
ส่วนหย่งเฉิงโหว ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้จริงๆ ว่าหวังเฉินมาถึงจิงเฉิงแล้ว ภายหลังจ่างกงจู่ทั้งไปคำนวณอักษรแปดชะตาที่วัดต้าเจวี๋ย ทั้งไปถามเรื่องมงคลที่สำนักโหราศาสตร์ และไม่ว่าจะเป็นจ่างกงจู่หรือตระกูลหวังล้วนไม่ปิดบังเรื่องนี้จากผู้คน ข่าวที่ตระหวังกำลังจะเกี่ยวดองกับเฉินลั่วจึงแพร่กระจายออกมา หย่งเฉิงโหวจึงได้รู้เรื่องนี้ไปโดยปริยายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพียงแต่ว่าจากที่เขาเป็นคนทะเยอทะยาน จึงคิดว่าการที่หวังซีได้แต่งงานกับเฉินลั่วนั้น ไม่รู้ว่าชาติก่อนหวังซีทำความดีมากมายเพียงใดถึงปีนได้สูงขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่ตระกูลหวังจะไม่รีบคว้าโอกาสเอาไว้ ย่อมต้องเค้นสมองไปประจบประแจงจ่างกงจู่อยู่แล้ว ที่ไม่มีเวลามาหาเขาก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
รอให้คุยเรื่องสมรสของหวังซีกับเฉินลั่วใกล้แล้วเสร็จ หวังเฉินย่อมมาแจ้งให้เขาทราบสักคำหนึ่งอย่างแน่นอน
เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
ด้านโหวฮูหยินก็ได้ยินมาแต่เนิ่นๆ แล้วเช่นกัน แต่เนื่องจากตระกูลหวังกับตระกูลฉังหาใช่ญาติที่สนิทสนมกันประเภทนั้น จนถึงบัดนี้ตระกูลฉังยังไม่ยอมรับว่ามารดาของหวังซีคือบุตรสาวที่หายตัวไปในปีนั้นเลย แล้วจะให้คนตระกูลหวังรู้สึกสนิทสนมกับตระกูลฉังได้อย่างไร
ตระกูลหวังย่อมไม่มีทางวิ่งแจ้นมาบอกเรื่องนี้ในขณะที่ทั้งสองครอบครัวยังไม่มีการหมั้นหมายกันอย่างแน่นอน
รอจนตระกูลหวังกับตระกูลเฉินตกลงเรื่องงานแต่งเรียบร้อยแล้ว ย่อมมาแจ้งให้พวกเขาทราบสักคำหนึ่ง
นางก็เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจเช่นกัน
ผู้ใดจะรู้ว่ากลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเดือดดาลขึ้นมา
โหวฮูหยินทราบความเป็นไปของเรื่องราวมาตั้งแต่ระหว่างเดินทางมาแล้ว นางอดมองฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวครั้งหนึ่งไม่ได้
ทุกครั้งที่เจอฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ ครอบครัวพวกนางต้องมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเสมอ
ถึงเวลาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้อยู่ให้ห่างจากครอบครัวของพวกนางแล้ว
โหวฮูหยินคิดคำนวณอยู่ในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า ยังคงแย้มยิ้มดังเดิมพลางกล่าวขึ้นว่า “งานแต่งของบุตรชายหญิงนี้ หากยังไม่ได้หมั้นหมาย ผู้ใดจะกล้าเอามาพูดให้มากความ? หากไม่ประสบผลสำเร็จดังที่คาดจะทำเช่นไร ให้ผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องขบขันถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าชื่อเสียงเสียหาย หาคู่ครองดีๆ ไม่ได้อีกจะทำอย่างไร”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็ยังไม่พอใจ เหน็บแนมฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวต่ออีกสองสามประโยคว่า “เหมือนอย่างคราวก่อน พวกผู้อาวุโสคุยกันเอาไว้เสียดิบดี แต่พอไปถึงคุณชายเจ็ดป๋อกลับผิดคำพูด ผู้ใดจะคาดคิดว่าตระกูลป๋อจะตามใจบุตรชายขนาดนั้น ทั้งที่พวกผู้ใหญ่ดูตัวกันเรียบร้อยแล้ว แต่พอเขาบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ข้ายังคงเป็นห่วงคุณหนูต่างสกุลของพวกข้าอยู่ตลอด บัดนี้มีโอกาสได้เจรจาเรื่องมงคลกับตระกูลเฉิน นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีมากเรื่องหนึ่ง จะไม่ระมัดระวังให้มากสักหน่อยได้อย่างไร นี่หากมีเรื่องอะไรแพร่ออกไปอีก มิเท่ากับเป็นการบีบบังคับให้คุณหนูสกุลหวังไปกระโดดน้ำหรอกหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง ความเดือดดาลที่มีจึงคลายลงหลายส่วน ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวกลับโกรธจนเหลือจะกล่าว คิดว่าข้าทำพลาดที่เป็นแม่สื่อให้พวกเจ้า นี่กำลังตีวัวกระทบคราดอยู่ใช่หรือไม่
นางเป็นคนหัวแหลมผู้หนึ่งมาโดยตลอด เรื่องไร้เหตุผลนางยังพูดให้มีเหตุผลหลายส่วนขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับการถูกโหวฮูหยินต่อว่าอย่างกำกวมหลายประโยคเช่นนี้
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวพลันดำทะมึนเหมือนก้นหม้อ กล่าวว่า “คำพูดนี้ของโหวฮูหยินไม่ค่อยมีเหตุผลนัก ยิ่งเพราะงานแต่งของบุตรชายหญิงมีโอกาสเปลี่ยนแปลงสูง พวกข้าที่เป็นผู้อาวุโสเหล่านี้ถึงต้องเบิกตาให้กว้างช่วยมองอย่างละเอียด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็ยังมีผู้ใหญ่อย่างพวกข้าเหล่านี้ช่วยดูให้”
กล่าวถึงตรงนี้ นางหันไปกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มๆ ว่า “เจ้าดูคนหนุ่มสาวสมัยนี้ สู้พวกเราตอนนั้นไม่ได้เลย ยึดมั่นในความคิดตัวเองเหลือเกิน คิดว่าจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ช่างเป็นลูกวัวเกิดใหม่ที่ไม่รู้จักกลัวพยัคฆ์เสียจริงๆ ยังมีเวลาให้พวกเขาต้องสูญเสียรออยู่”
“ถูกต้องที่สุด!” ฮูหยินผู้เฒ่าฟังคำถากถางของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวไม่ออก ยังพยักหน้าอย่างจริงจังอยู่ตรงนั้น กล่าวว่า “ไม่เชื่อฟังคำของผู้ใหญ่ ความสูญเสียรออยู่เบื้องหน้า คนรุ่นเด็กอย่างพวกเจ้านี่น้า มีเรื่องอะไรก็ต้องบอกกล่าวพวกข้าเอาไว้ให้มาก พวกข้าไม่มีทางทำร้ายพวกเจ้าอยู่แล้ว”
โหวฮูหยินหดหู่ใจเหลือจะกล่าว แต่อยู่ต่อหน้าแม่สามีจึงไม่อาจพูดให้ลึกลงไปกว่านี้ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ายังเฝ้ารอฟังข่าวว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ กำลังจะเร่งโหวฮูหยิน หันซื่อก็เข้ามาเสียก่อน
สีหน้าของนางดูจืดเจื่อนเล็กน้อย ก้าวออกมาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่ามองแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด เอ่ยถามว่า “นี่เป็นอะไรไป ได้ยินถ้อยคำไม่น่าฟังอะไรมาหรือเปล่า หรือผู้ใดชักสีหน้าใส่เจ้า?”
“ล้วนมิใช่เจ้าค่ะ!” หันซื่อรีบกล่าว ข่มกลั้นอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้เปลี่ยนสีหน้าเป็นแย้มยิ้มออกมา กล่าวว่า “ดูท่านพูดสิเจ้าคะ ข้าปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่าน ผู้ใดจะไม่รู้จักข้ากัน! พอรู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว ผู้ใดจะกล้าชักสีหน้าใส่ข้าอีก!”
ขณะที่นางกล่าว น้ำเสียงหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อว่า “เมื่อครู่ข้าไปสืบเรื่องของคุณหนูสกุลหวังกับใต้เท้าเฉินมา ได้ยินบ่าวไพร่ในเรือนพูดกันว่า ใต้เท้าเฉินให้ความสำคัญกับคุณหนูสกุลหวังยิ่งนัก จ่างกงจู่ไม่เพียงเชิญคุณชายใหญ่สกุลหวังไปรับประทานอาหารที่หอสายลมวสันต์และนำอักษรแปดชะตาของคุณหนูหวังไปที่สำนักโหราศาสตร์เท่านั้น ยังเดินทางเข้าวังอีกด้วย ดูเหมือนว่าต้องการขอสมรสพระราชทานให้คุณหนูสกุลหวัง”
ได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้และฮองเฮา นั่นถือเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว
ต่อไปงานแต่งของหวังซีกับเฉินลั่วก็คงจะฉาบด้วยสีทองมีเกียรติเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั้น
เพื่อเกียรติยศของราชวงศ์แล้ว อย่างไรจวนเจิ้นกั๋วกงก็ต้องให้เกียรติหวังซี ไว้หน้าหวังซีสักสองสามส่วน
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าจวนเจิ้นกั๋วกงมีสมรสพระราชทานสองหน
สีหน้าของหย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก
เดิมซือจูเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ แต่งานแต่งของนางเป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้และฮองเฮา ส่วนหวังซีแม้นจะเป็นคนธรรมดาไม่มีความผิด ทว่าถือกำเนิดมาจากครอบครัวพ่อค้า ระหว่างคู่สะใภ้จึงถือได้ว่าสูสีคู่คี่ แต่บัดนี้ งานแต่งของซือจูและของหวังซีล้วนเป็นสมรสพระราชทานด้วยกันทั้งคู่ จึงทำให้สถานะของหวังซีสูงกว่าของซือจูเล็กน้อย
มิเท่ากับว่าชีวิตในภายภาคหน้าของซือจูคงไม่ราบรื่นนักหรอกหรือ?
หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าคิดแล้วก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย สีหน้าจึงไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก
หันซื่อมองแล้วอยากกล่าวบางอย่างแต่ก็หยุดไป
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม หากเมื่อครู่ไม่ถูกหักหน้าก็คงยินดียืนดูงิ้วเฉยๆ ไปแล้ว นางเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยปากกล่าวอย่างดูแคลนเล็กน้อยว่า “สะใภ้สามมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า ปกติข้ากลัวเวลาที่พวกเด็กๆ พูดอะไรเพียงครึ่งๆ กลางๆ เป็นที่สุด เพราะทำให้สถานการณ์เลวร้ายได้ง่าย กล่าวคือหากเจ้าพูดออกมา ตอนนี้มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย อย่างน้อยปัญหาสามในห้าก็แก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ แต่ถ้าเจ้าไม่พูด รอให้เรื่องราวบานปลายจนจัดการไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องมาขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องช่วยจัดการความยุ่งเหยิงให้พวกเจ้าอยู่ดี นอกจากนี้ถึงตอนนั้นอาจต้องใช้เรี่ยวแรงสำหรับจัดการปัญหาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่าจากก่อนหน้านี้อีกก็เป็นได้”
หันซื่อถูกต่อว่าจนใบหน้าร้อนผ่าว ขานรับเสียงหนึ่งเบาๆ ว่า “ท่านกล่าวได้มีเหตุผล” จากนั้นกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ข้ายังได้ยินมาว่า เจิ้นกั๋วกงไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งระหว่างใต้เท้าเฉินกับตระกูลหวัง สองสามีภรรยาจึงมีปากเสียงกัน เจิ้นกั๋วกงสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป ยังกล่าวด้วยว่าเขาไม่ยอมรับการเกี่ยวดองครั้งนี้ เฉินลั่วเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิน จะสู่ขอภรรยาย่อมต้องให้เขาเป็นคนจัดการ เรื่องงานแต่งของเฉินลั่วหากเขาไม่พยักหน้าอนุญาต สะใภ้คนใหม่อย่าหวังจะได้เข้าบ้าน…
…คนข้างนอกยังพูดกันด้วยว่า สาเหตุที่จ่างกงจู่ไปพบตระกูลหวังเร็วขนาดนี้เป็นเพราะไม่พอใจท่าทีของเจิ้นกั๋วกง ฉะนั้นจึงอยากหมั้นหมายคุณหนูสกุลหวังโดยเร็ว ท่านว่า เรื่องนี้ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่าและเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าต่างตะลึงงันไปด้วยกันทั้งคู่
นี่มิใช่ถ้อยคำที่น่ายินดีเลย
หวังซีไปแต่งงาน หาใช่ไปสร้างศัตรู นี่คนยังไม่ทันได้แต่งเข้าไปเลยก็ทำให้พ่อสามีขุ่นเคืองใจแล้ว แม้นกล่าวว่าสตรีในเรือนชั้นในของตระกูลใหญ่นั้นไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับพ่อสามีมาก แต่หากถูกพ่อสามีรังเกียจแล้ว หมวกใบใหญ่สลักคำว่า ‘อกตัญญู’ ก็จะถูกยัดใส่ศีรษะ และก็คงมีชีวิตที่ไม่ราบรื่นนัก
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าลอบหัวเราะอยู่ในใจ ก้มหน้าลง ทำตัวล่องหนด้วยการไม่พูดอะไรอีกราวกับตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น
หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ากลับร้อนใจเหลือคณานับ เดินกลับไปกลับมาอย่างร้อนรน “นี่ผู้ใดเป็นคนพูด? เจ้าพวกกินอิ่มแล้วไม่มีการงานทำ! หากตระกูลถานเข้าใจผิดคิดว่าจวนหย่งเฉิงโหวของพวกเรามีส่วนในเรื่องนี้ จะไม่เป็นการทำให้ตระกูลถานขุ่นเคืองโดยไร้เหตุผลหรอกหรือ”
หย่งเฉิงโหวกับฮูหยินผู้เฒ่าล้วนไม่อยากผิดใจกับผู้ใด
หย่งเฉิงโหวฮูหยินฟังแล้วดวงตากลอกไปมาไม่หยุดอย่างใช้ความคิด กล่าวว่า “ท่านแม่ หากเป็นเช่นนั้น พวกเราไม่รู้ก็ดีเหมือนกัน อย่างไรเสียคุณชายใหญ่สกุลหวังผู้นั้นก็หาได้มาเยี่ยมเยียนพวกเรา”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วปรบมือไม่หยุด รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ากลับเบ้ปาก ไม่คิดจะปล่อยให้จวนหย่งเฉิงโหวได้มีวันเวลาที่ดี
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ก็แพร่กระจายออกไปทั่วทุกที่
ปั๋วหมิงเย่ว์ถึงได้ทราบเรื่องดังกล่าว
เวลานี้เขากำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับจิงเฉิง เพิ่งลงจากเรือนที่ทงโจว
ความรู้สึกเสียใจภายหลังท่วมท้นหัวใจของเขา
เขารู้ว่าตัวเองช้าไปเล็กน้อย แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือเฉินลั่วเองก็สนใจหวังซี
หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ ตอนนั้นเขาควรจะเหลือทางสำรองเอาไว้สายหนึ่ง ตอนที่ครอบครัวพวกเขาปฏิเสธจวนเซียงหยางโหวนั้นควรจะเปลี่ยนให้คนอื่นไปทาบทามที่ตระกูลหวังสักคนดีกว่า
แถมเขายังพูดว่าหวังซีชอบเฉินลั่วอะไรนั่นอีก
บัดนี้กลายเป็นคนโง่อวดฉลาดไปเสียแล้ว!
แต่ตระกูลหวังตอบรับการเกี่ยวดองครั้งนี้ได้อย่างไรกันนะ?
สีหน้าเขาย่ำแย่ยิ่งนัก ความเหนื่อยล้าแล่นเข้าสู่หัวใจอย่างยากจะปิดบัง เนื่องจากเร่งเดินทางตลอดทั้งคืนทำให้เสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งอยู่แล้วยิ่งทุ้มต่ำมากขึ้น “พวกเรารีบกลับจิงเฉิงกันเถอะ”
คนข้างกายคิดแค่ว่าเขาตรวจสอบสิ่งที่ตระกูลป๋อต้องการได้แล้ว ก็เลยร้อนใจอยากนำสิ่งที่สืบได้ไปส่งมอบให้ชิ่งอวิ๋นป๋อ จึงรับปากอย่างขันแข็ง ประคองเขาขึ้นรถม้า เตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองหลวงในค่ำคืนนั้นเลย
เฉินลั่วและหวังซีกลับหลบเลี่ยงทุกคน ซ่อนตัวอยู่ในห้องอุ่นของลานหลักที่สวนร่มหลิวพลางกินเกาลัดคั่วไปด้วยคุยกันไปด้วย
“พ่อเจ้าคัดค้านงานแต่งของเจ้าด้วยความเดือดดาลจริงๆ หรือ” เฉินลั่วเป็นคนนำเกาลัดที่กินกันวันนี้มาให้ หวังซีรู้สึกว่ารสชาติหวานมันกว่าของก่อนหน้านี้ หยิบเกาลัดมากัดครึ่งหนึ่งพลางเอ่ยถามเฉินลั่ว “จ่างกงจู่ไม่คิดจะสนใจเจิ้นกั๋วกงจริงๆ? บัดนี้ฮ่องเต้ไม่ค่อยโปรดปรานเจ้าแล้ว หากรู้ว่าเจ้าคิดจะแต่งกับข้า จะต้องฉวยโอกาสหาเรื่องสร้างความลำบากให้เจ้าเป็นแน่กระมัง”
เฉินลั่วมองหวังซีโดยไม่เอ่ยคำใดไปครู่ใหญ่
หวังซีเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ ถามว่า “ทำไมหรือ”
กว่าครู่ใหญ่เฉินลั่วถึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรกับข้าเป็นการส่วนตัวสักหน่อยหรือ”
เด็กสาวที่กำลังจะหมั้นหมาย ล้วนรู้สึกเขินอายกันเป็นอย่างมากมิใช่หรือ
เขาอุตส่าห์เป็นห่วงความรู้สึกของหวังซี กลัวนางลำบากใจ จึงจงใจใช้เกาลัดเป็นข้ออ้างเพื่อมาเยี่ยมนาง นางกลับดีเหลือเกิน รู้จักแต่กินอย่างเดียว!
ห่วงแต่เรื่องกินเพียงเท่านั้น!
เกาลัดกว่าครึ่งถุงถูกคั่วจนหอมกรุ่น ทำให้เขาลืมความตั้งใจแรกไปชั่วขณะ กินเกาลัดตามนางไปด้วยหลายลูก
……………………………………………………………