หวังซียังต้มน้ำพุทราจีนเอาไว้ด้วย ดื่มแล้วอบอุ่นสบาย ทำให้คนรู้สึกสดชื่น จึงทำให้เฉินลั่วลืมวัตถุประสงค์แรกเริ่มที่มาหานางไปชั่วขณะ กินและดื่มกับนางไปกว่าครึ่งค่อนวัน จวบจนกระทั่งสาวใช้เด็กมาถามว่าจะให้ตั้งสำรับเย็นที่ไหน เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าหมกตัวอยู่กับนางมาตลอดทั้งบ่ายโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
เขาอดนวดขมับไม่ได้
ส่วนหวังซีชินกับการที่เขามักจะมาขอกินขอดื่มกับนางไปแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจ หลังจากสั่งการสาวใช้เด็กผู้นั้นให้ตั้งสำรับเย็นที่ห้องอุ่นเสร็จแล้ว นางยังกล่าวกับเฉินลั่วอย่างเบิกบานใจว่า “วันนี้เจ้ามีลาภปากจริงๆ พี่ใหญ่ข้ามามิใช่หรือ พอสหายที่ร่วมทำการค้าบางส่วนของเขาทราบเรื่อง ต่างส่งของกินมาให้เป็นจำนวนมาก เขาจึงแบ่งมาให้ข้าเล็กน้อย เจ้าลองทายดูว่าวันนี้พวกเรากินอะไร”
เฉินลั่วอยากรู้อยู่บ้างจริงๆ
อาหารของหอสายลมวสันต์นั้นทุกคนต่างทราบกันดี ถามเรื่องรสชาติก็ต้องบอกว่าอร่อย อันที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คงไม่พ้นบึงบัวแสงจันทร์จานนั้น แต่ตอนที่หวังเฉินให้การรับรองจ่างกงจู่ที่หอสายลมวสันต์ในวันนั้น ไม่ต้องพูดถึงเนื้อปูปั้นต้มที่ทำออกมาได้รสชาติดั้งเดิมมากนั่นเลย แม้แต่เต้าหู้ฝอยต้มและเต้าหู้สับต้ม แค่กินก็รู้ว่ามิใช่วัตถุดิบของจิงเฉิง ทำให้จ่างกงจู่ยังต้องลอบประหลาดใจ หลังกลับไปแล้วยังให้คนไปสอบถามเป็นพิเศษอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าหวังเฉินที่เป็นบุตรชายคนโตของสกุลหวังผู้นี้ ต่อให้ไม่ใช่นักชิมตัวยงแต่ก็เป็นนักกินผู้หนึ่งเหมือนกัน
พอเขามาถึงก็มีสหายที่ร่วมทำการค้าด้วยกันรู้ข่าวแล้วส่งของกินไปให้ จึงยิ่งเป็นการยืนยันสิ่งที่เขาอนุมานเอาไว้
เช่นนั้นสิ่งที่จะได้กินในวันนี้จะต้องเป็นของหายากอย่างแน่นอน
ดีร้ายเขากับหวังซีก็นับว่าเคยไปมาหาสู่กันอยู่เสมอมิใช่คนแปลกหน้ากันแล้ว คนที่กินของแทบทุกอย่างบนโลกมาแล้วอย่างครอบครัวของนางนี้ ปลิงทะเลหรือหอยเป๋าฮื้อคงไม่อาจทำให้พวกนางตื่นตกใจได้
เฉินลั่วเค้นสมองขบคิดไปมาอย่างรวดเร็ว
หวังซีเม้มปากหัวเราะอยู่ตรงนั้นไปเรียบร้อยแล้ว กล่าวขึ้นว่า “วันนี้พวกเราจะกินเนื้อกวางกัน!”
เฉินลั่วเลิกคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
นี่ถือว่าน่าประหลาดใจมากจริงๆ
ฤดูหนาวเช่นนี้เนื้อกวางดีๆ ถือเป็นของบำรุงชั้นดี และกวางในตอนนี้ล้วนเร่งนำมาจากเยียนตี้ทั้งสิ้น นอกจากราคาสูงแล้ว ยังหาได้ยากยิ่งอีกด้วย
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนมอบให้หวังเฉิน
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้พวกเรากินเนื้อกวางย่างกัน เนื้อกวางเป็นของบำรุงชั้นดี ทุกคนต่างชอบเอามาตุ๋นน้ำแกง แต่ข้ารู้สึกว่าตุ๋นน้ำแกงเสียของเกินไป มิสู้ย่างด้วยไฟดีกว่า โรยผงจันทน์แปดกลีบและอบเชย แล้วก็ดื่มคู่กับชาเขียวสักถ้วยหนึ่ง ไม่รู้ว่าช่วยให้สบายมากเพียงใดในฤดูหนาวเช่นนี้”
คิดถึงตรงนี้แล้วนางรู้สึกว่านางควรส่งไปให้จ่างกงจู่ได้ลองชิมสักหน่อยด้วยถึงจะถูก แต่เมื่อทบทวนดูอีกที บ้านพวกนางกับจวนจ่างกงจู่ยังไม่ให้วางของหมั้นกัน ความจริงนางคิดแค่ว่ามีของดีอะไรทุกคนควรจะแบ่งปันกันเท่านั้น แต่ถ้าตกไปอยู่ในสายตาของคนมีเจตนาร้าย ไม่แน่มันอาจกลายเป็นการประจบสอพลอก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นอย่าหาเรื่องใส่ตัวเองดีกว่า
โชคดีที่ก่อนหน้านี้ให้คนนำบางส่วนไปมอบให้บ้านสามกับโหวฮูหยินแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจัดการไม่ง่ายเป็นแน่
ระหว่างพูดคุยกัน ไป๋จื่อก็พาบ่าวชายสองสามคนยกตะแกรงเตาถ่านเข้ามา
มีแม่ครัวจากห้องครัวคอยย่างเนื้ออยู่ด้านข้าง
ถ่านไฟสีแดงแผดเผาจนตะแกรงเหล็กเป็นสีแดงฉาน เนื้อกวางที่วางอยู่ด้านบนส่งเสียง ซี่ๆๆ ทั่วทั้งห้องอุ่นพลันอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ทำให้เฉินลั่วที่กินเกาลัดมาครึ่งวันแล้วพลันรู้สึกหิวขึ้นมาอีกครั้ง
เขาทำหน้าขื่นอย่างช่วยไม่ได้
หากเขายังกินเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานจะต้องอ้วนแน่ๆ
แต่หวังซีดูไม่อ้วนเลย…
เขาชำเลืองมองหวังซีอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง
นอกจากไม่อ้วนแล้ว ผิวยังขาวอมชมพู ดูสุขภาพดียิ่งนัก
ไม่รู้ว่าดูแลตัวเองไม่ให้อ้วนได้อย่างไร
เฉินลั่วขบคิดอยู่ในใจ ทว่าตะเกียบที่คีบเนื้อกลับไม่วางลงเลยแม้แต่ครู่เดียว ไม่นานก็รู้สึกอิ่มจนจุก
เขามองเนื้อกวางที่ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งจานใหญ่พลางวางตะเกียบลงอย่างแสนเสียดาย
ด้วยสถานะของขา เนื้อกวางไม่ใช่ของหายาก แต่เหมือนอย่างที่หวังซีกล่าวมา นั่นคือทำได้ไม่อร่อยเท่านี้
หวังซียังบอกเขาด้วยว่า “ท่านปู่ข้าบอกข้าว่าตอนเขาเดินทางไปเป่ยเจียงนั้น เคยเห็นคนนำเนื้อแกะมาย่างเช่นนี้ด้วย คราวหน้าพวกเราย่างเนื้อแกะก็แล้วกัน”
ที่จิงเฉิงนี้ส่วนมากนิยมนำเนื้อแกะไปทำเนื้อจุ่มมากกว่า
เฉินลั่วสนใจอยากลองชิมดูสักครั้งจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากรับมื้อเย็นเสร็จ ท้องฟ้าก็มืด ใต้ชายคาต่างแขวนโคมไฟกันเรียบร้อย เขาเองก็ควรจะกลับได้แล้ว
แต่เขายังไม่ได้ทำตามวัตถุประสงค์ที่มาในวันนี้เลย!
เฉินลั่วครุ่นคิด ดึงหวังซีไปเดินย่อยอาหาร ยังบอกนางด้วยว่า “กลางคืนจะได้หลับสบาย”
“กินอิ่มก็ควรเข้านอน นอนเต็มอิ่มจิตใจถึงจะแจ่มใส” น้อยครั้งเหมือนกันที่จะได้เห็นหวังซีกินจนจุก คิดแต่เรื่องอยากกลับไปนอนในห้องชั้นในที่จุดท่อทำความร้อนเอาไว้เท่านั้น
เฉินลั่วรู้ดี หากเขาหาเหตุผลมาพูดกับนาง ไม่รู้ว่านางจะมีเหตุผลประหลาดรอเขาอยู่อีกมากมายเพียงใด กว่าเขาจะเถียงชนะนาง นางก็พักผ่อนเสร็จแล้ว
เขาจึงลากนางไปเดินในสวนโดยไม่ให้คำอธิบายใดๆ
แม้นหวังซีจะสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์เอาไว้ก็ยังคงรู้สึกหนาวเกินไปอยู่ดี
นางเดินไปได้ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามว่า “กลับแล้วได้หรือไม่”
เฉินลั่วหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ บังคับนางเดินอีกครู่หนึ่งแล้วถึงได้ปล่อยนางไป
หวังซีลิงโลดยินดี เอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้เจ้าจะมากินมื้อเย็นด้วยกันหรือไม่ ข้าตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะย่างเนื้อแกะกิน หอสายลมวสันต์เอาเม็ดบัวสดใหม่มาให้ พรุ่งนี้พวกข้าจะทำเม็ดบัวต้มพุทราจีนกินกันด้วย”
หากเขามาขอมื้อเที่ยงกินแทน เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางไม่มีของดีๆ รับรองเขาก็แล้วกัน
เจตนารมณ์ของเฉินลั่วยังไม่บรรลุผลเลย เขาไหนเลยจะมีอารมณ์มาคาดเดาว่านางหมายความว่าอย่างไร กล่าวอย่างแสนเสียดายว่า “เกรงว่าพรุ่งนี้คงไม่อาจมากินมื้อเย็นกับเจ้า ข้ากับท่านแม่ต้องเข้าวังสักครั้งหนึ่ง ช่วงนี้ฮ่องเต้กับฮองเฮาเหนียงเหนียงมีปากเสียงกันอีกแล้ว ฮ่องเต้โวยวายต้องการปลดฮองเฮา ฮองเฮาเหนียงเหนียงส่งจดหมายมาให้มารดาข้าเข้าวัง ถึงเวลานั้นจวนชิ่งอวิ๋นป๋อย่อมมีคนเข้าวังด้วยเป็นแน่ ข้าอยู่ด้วยจะได้ช่วยดูอะไรได้บ้าง”
หวังซีได้ยินแล้วรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว “เหตุใดฮ่องเต้กับฮองเฮาถึงทะเลาะกัน? เพียงเพราะอยากหาเรื่องสนุกก็เลยโวยวายขึ้นมาครั้งหนึ่ง หรือเพราะวางแผนเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว?”
เพราะถ้าปลดฮองเฮาได้ คงจัดการเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
สีหน้าของเฉินลั่วเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่รู้เหมือนกัน! แต่ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร เกรงว่าคงช้าไปเล็กน้อยแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ เขามองหวังซีครั้งหนึ่ง
ควรเอ่ยถึงปั๋วหมิงเย่ว์ต่อหน้านางหรือไม่นะ?
ความคิดดังกล่าววาบเข้ามาในหัวของเขาแล้วก็ผ่านไป ชั่วพริบตานั้นเขาตัดสินใจว่าควรจะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้น
หากหวังซีแต่งกับเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ปฏิสัมพันธ์กับจวนชิ่งอวิ๋นป๋อ
“ปั๋วหมิงเย่ว์วุ่นทำงานอยู่ข้างนอกมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว” เฉินลั่วกดเสียงลงต่ำพลางกล่าว “หากฮ่องเต้แต่งตั้งหนิงผินไม่ได้ ปลดฮองเฮาไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด แต่ถ้าเขาคิดจะแต่งตั้งหนิงผิน คนเหล่านั้นจะปล่อยไปอย่างง่ายดายได้ที่ไหนกัน”
กลัวแต่ว่ามีดสังหารอย่างดีที่จวนชิ่งอวิ๋นป๋อเตรียมการเอาไว้แต่เนิ่นๆ นั้นจะบากอยู่บนศีรษะของหนิงผินเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฮ่องเต้กล้าเอ่ยคำว่าปลดฮองเฮา พวกเขาก็พร้อมกระโดดออกมาป่าวประกาศความผิดของหนิงผิน บีบบังคับให้ฮ่องเต้ปลิดชีพหนิงผินได้ทุกเมื่อ ครั้นองค์ชายเจ็ดกลายเป็นองค์ชายที่พระมารดามีความผิด และท่ามกลางองค์ชายพระองค์อื่นๆ ที่ล้วนไม่มีความผิดใหญ่หลวงอะไร โอกาสที่เขาจะได้เป็นฮ่องเต้ก็ริบหรี่ลงแล้ว
“บัดนี้กลัวแค่ว่าฮ่องเต้จะเป็นหมาจนตรอก” ทุกวันนี้ยามเฉินลั่วเอ่ยถึงฮ่องเต้ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่มีความเทิดทูนบูชาปรากฏออกมาทางดวงตาและหัวใจนานแล้ว คำพูดจาก็เปลี่ยนเป็นถากถางอย่างเผ็ดร้อนขึ้นมา “เห็นตระกูลปั๋วแล้วระคายตา ขอเพียงเป็นสิ่งของของตระกูลปั๋ว ล้วนต้องการกำจัดให้สิ้นซาก ยอมทำแม้กระทั่งเรื่องที่ต้องสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
เมื่อถึงเวลานั้น คนที่มีโอกาสได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือองค์ชายสี่แล้ว
แต่องค์ชายสี่ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องการออกไปปกครองเมืองอื่น ทว่าจวบจนบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว
หวังซีร้อนใจแทนเฉินลั่วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าจะเก็บเนื้อแกะย่างเอาไว้ให้เจ้า เจ้าอยากมากินตอนไหนก็มากินได้ทุกเมื่อ เรื่องในวังหลวงสำคัญกว่า เจ้ารีบไปจัดการธุระของเจ้าเถิด”
ส่วนนาง นางตัดสินใจว่าเย็นพรุ่งนี้จะย่างเนื้อแกะกินกับพวกไป๋กั่วให้อร่อยสักมื้อหนึ่งก่อน จากนั้นรอเฉินลั่วมาขอข้าวกินอีกเมื่อไรค่อยทำให้เขากินก็แล้วกัน
นางคิดแล้วน้ำลายสอจนเกือบจะไหลออกมา จึงยิ่งแน่วแน่ว่าอย่างไรเย็นพรุ่งนี้ก็ต้องกินเนื้อแกะย่างให้ได้
ทว่าเฉินลั่วไม่รู้ความคิดนาง เมื่อเดินไปถึงประตูหลังยังกล่าวปลอบนางอยู่ตรงนั้นว่า “เจ้าอยากกินก็กินก่อนเถอะ รอให้ถึงตอนที่ข้ามาหาอีกที ไม่แน่ว่าอาจมีของอร่อยกว่าให้กินก็เป็นได้”
หวังซีพยักหน้า
เฉินลั่วกลับไม่ได้จากไปทันที แต่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่ง คล้ายต้องการพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป
หวังซีถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรที่พูดกับข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ข้าย่อมจะเข้าข้างเจ้าอยู่แล้ว”
มุมปากเฉินลั่วยกยิ้มขึ้น สายตาที่มองนางก็อ่อนโยนประหนึ่งแสงจันทรา กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาทว่าอบอุ่นและสุภาพว่า “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลยว่าเจ้าทบทวนเรื่องงานแต่งของพวกเราเสร็จหรือยัง”
หวังซีตกตะลึงพรึงเพริด
เขาให้จ่างกงจู่ไปสู่ขอนางกับครอบครัวแล้วมิใช่หรือ เหตุใดเขายังถามคำถามนี้กับตนอีก?
นางมองเขาด้วยความประหลาดใจ กล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าทบทวนเสร็จแล้ว ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ของข้าไม่มีทางไปกินข้าวกับจ่างกงจู่หรอก!”
“จริงหรือ!” เฉินลั่วพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย “เช่น เช่นนั้นข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าก็แค่อยากลองถามเจ้าดู”
กล่าวจบเขาก็ก้มหน้าลงหลุดยิ้มออกมา
เขาย่อมรู้ว่านางให้คำตอบเขาแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าตนควรถามด้วยตัวเองอีกครั้ง เช่นนี้ถึงจะสบายใจมากยิ่งขึ้น
ไม่ใช่เขาปรารถนาอยู่ฝ่ายเดียว
นางเองก็ปรารถนาแต่งกับเขาด้วยเช่นกัน
“เจ้าวางใจ” เฉินลั่วให้คำมั่นกับหวังซี “งานแต่งของพวกเรามีมารดาข้าเป็นผู้ตัดสินใจ ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าต้องเป็นทุกข์อย่างแน่นอน”
ยามเขากล่าวถ้อยคำนี้ดูเยือกเย็นเล็กน้อย หวังซีสัมผัสได้ว่าเขากำลังโกรธ
และยังโกรธมากอีกด้วย
หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องของเฉินลั่ว ควรปล่อยให้เขาออกหน้าไปจัดการ นางไม่คิดจะสอดมือเข้าไปแทรกแซง
หลังส่งเฉินลั่วกลับไปแล้ว นางก็นอนหลับอย่างเป็นสุขไปหนึ่งตื่น ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาก็เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว
ซือจูวิ่งมาหาแต่เช้าตรู่ ต้องการเจอนางให้ได้
หวังซีนั่งอยู่ข้างกระจก มองไป๋จื่อที่กำลังหวีผมให้ตนจากในกระจก ปล่อยให้สาวใช้เด็กนวดนิ้วมือไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “แล้วตัวนางเล่า? อยู่หน้าประตูหรืออยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า? ผู้ใดเป็นคนมารายงาน สืบได้หรือไม่ว่ามาด้วยเรื่องอันใด”
ไป๋กั่วที่เปิดกล่องเครื่องประดับเตรียมเอาไว้สำหรับให้หวังซีเลือกเครื่องประดับอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นว่า “เห็นบอกว่าอยู่ที่เรือนโหวฮูหยิน พานหมัวมัวคนข้างกายโหวฮูหยินเป็นคนมาแจ้งข่าว โหวฮูหยินเองก็แปลกใจมากเช่นกัน พานหมัวมัวยังกล่าวติดตลกว่าสะใภ้ใหญ่สกุลเฉินเกือบทำให้โหวฮูหยินต้องแอบอยู่ในผ้าห่มไปแล้ว ยังกล่าวด้วยว่า ตอนแรกคิดว่าสะใภ้ใหญ่สกุลเฉินมีเรื่องทะเลาะกับคุณชายใหญ่เฉินเสียอีก ภายหลังบอกว่ามาเพื่อพบท่านโดยเฉพาะ โหวฮูหยินถึงได้โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง”
หลังจากซือจูออกเรือนไป ทุกคนต่างเรียกขานนางว่าสะใภ้ใหญ่สกุลเฉิน
หวังซีตรึกตรอง เป็นไปไม่ได้ที่โหวฮูหยินจะไม่พูดเช่นนั้นกับซือจู แต่ซือจูจะต้องดื้อดึง ไม่เชื่อฟังคำของโหวฮูหยิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะสั่งสอนการเป็นคนให้ซือจูสักครั้งก็แล้วกัน
ยิ่งไปกว่านั้นหวังซีรู้สึกว่าตนกับซือจูไม่มีอะไรให้ต้องพูดกัน แม้แต่การทักทายตามมารยาทางสังคมยังคร้านจะทักทายนางด้วยซ้ำ
นางสั่งการไป๋กั่วว่า “เจ้าไปตอบพานหมัวมัวสักคำหนึ่ง บอกว่าข้าเพิ่งตื่น ยังต้องรับมื้อเช้าและไปคารวะเช้าฮูหยินผู้เฒ่าอีก หากนางรอได้ก็รอไปก่อน” แล้วก็กล่าวกับไป๋จื่ออีกว่า “พวกเราไปคารวะเช้าฮูหยินผู้เฒ่าก่อน จากนั้นค่อยกลับมารับมื้อเช้ากัน”
ก็รอดูว่าพวกนางจะมีวาสนาได้เจอหน้ากันหรือไม่
สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ภายในห้องต่างพากันเม้มปากหัวเราะ
…………………………………………………………………….