บัดนี้หวังซีอยู่จวนหย่งเฉิงโหวอย่างปลาได้น้ำ นั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ ก็มีคนนำข่าวมาส่งให้นางถึงที่ด้วยตัวเองแล้ว นับประสาอะไรกับการที่นางมีเจตนาหลบเลี่ยงซือจู
ซือจูทะนงในสถานะของตัวเอง จะไปเอาใจหวังซีได้อย่างไร
นางจึงนั่งรอหวังซีอยู่ที่เรือนโหวฮูหยิน
จวบจนยามซื่อก็ยังไม่เห็นเงาของหวังซี จึงรู้ว่านางกำลังเล่นแง่กับตนแล้ว
ซือจูโกรธจนดวงหน้าแดงก่ำ ไม่พูดอะไรไปกว่าครึ่งค่อนวัน
ช่วงเช้าของทุกวันเป็นช่วงเวลาที่โหวฮูหยินยุ่งที่สุด แต่เห็นแก่หน้าของจวนเจิ้นกั๋วกง นางก็เลยนั่งเป็นเพื่อนซือจูกว่าหนึ่งชั่วยาม ไม่รู้ว่าทำให้การงานต้องล่าช้าไปกี่เรื่องแล้ว เห็นเช่นนั้นก็อดรนทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าให้พานหมัวมัวช่วยไปดูที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าให้เจ้าดีหรือไม่”
ซือจูไม่อยากพบฮูหยินผู้เฒ่า
ก่อนจะเกิดเรื่องกับตระกูลซือ ทุกครั้งที่นางเจอฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะซาบซึ้งใจที่ตอนนั้นตระกูลซือช่วยเหลือนางอย่างไรบ้าง จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลซือ หัวข้อสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่าก็เปลี่ยนเป็นนางช่วยเหลือตระกูลซืออย่างไรบ้างแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางได้ช่วยเหลือตนอย่างไรบ้าง ยังชอบพูดว่าเพื่อตนแล้วนางถึงขั้นยอมผิดใจกับบุตรหลาน สิ่งนี้ทำให้ซือจูอดสงสัยไม่ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้ตนตอบแทน ทำให้ซือจูรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก
แต่เมื่อมองเหล่าป้ารับใช้ที่เข้าๆ ออกๆ เพื่อคุยกับโหวฮูหยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาและการแสดงออกของโหวฮูหยินยามมองนางที่คล้ายจะเผยคำถามออกมาว่า ‘เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก’ นั่นแล้ว ทำให้นางไม่พอใจเป็นอย่างมาก
นางเป็นคนประเภทที่เจ้าทำให้ข้าไม่มีความสุข ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีความสุขยิ่งกว่า
ซือจูลุกขึ้นมาพลางกล่าวกับโหวฮูหยินอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยว่า “จะพูดอย่างไรท่านก็เป็นป้าสะใภ้ของข้า ข้ามาเป็นแขกที่บ้านพวกท่าน คนที่ต้องมาเยี่ยมเยียนเป็นลำดับแรกก็คือท่าน นั่นเป็นเพราะท่านคือนายหญิงคนดูแลจวนหย่งเฉิงโหว เป็นโหวฮูหยินของจวนหย่งเฉิงโหว ท่านขับไล่ไสส่งข้าประหนึ่งไล่ขอทานเช่นนี้ คงไม่ค่อยดีกระมัง”
กล่าวจบ ยังหันไปเลิกคิ้วใส่โหวฮูหยินอย่างดูแคลนอีกด้วย
เช่นนี้ช่างเสียมารยาทจริงๆ
โหวฮูหยินโกรธจนแทบตากหงาย คิดว่าเจ้าจะไปไม่ไปก็เรื่องของเจ้า กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธกลับถูกพานหมัวมัวดึงแขนเสื้อเอาไว้ กล่าวแทรกยิ้มๆ ขึ้นมาอย่างประนีประนอมว่า “นี่มิใช่เป็นเพราะโหวฮูหยินของพวกข้างานยุ่งหรอกหรือ เห็นว่าสะใภ้ใหญ่เฉินเองก็มิใช่คนอื่นไกล ถึงได้เป็นกันเองไม่ต้องเกรงใจมาก สะใภ้ใหญ่เฉินกล่าวได้ถูกต้อง เรื่องนี้เป็นโหวฮูหยินของพวกข้าที่เสียมารยาทไปจริงๆ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสะใภ้ใหญ่เฉินเองก็มิได้ส่งเทียบมาแจ้งก่อนกระมัง”
ยังมาตั้งแต่เช้าตรู่อีกด้วย เช่นนี้เสียมารยาทมากกว่าอีก
โหวฮูหยินได้ยินแล้วหัวใจพลันเบิกบาน คิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนซือจูเพื่อรองรับอารมณ์ของนางแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพานหมัวมัวกลับกระซิบที่ข้างหูของโหวฮูหยินว่า “ท่านไปเป็นเพื่อนนางสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ ใกล้จะถึงงานแต่งของคุณชายสี่จวนเซียงหยางโหวแล้ว”
นี่เกี่ยวอะไรกับงานแต่งของคุณชายสี่จวนเซียงหยางโหวด้วย?
ชั่วขณะนั้นโหวฮูหยินยังคิดไม่แตก แต่พานหมัวมัวเป็นแม่นมของนาง ใช้เวลาร่วมกับนางมายาวนานกว่ามารดาแท้ๆ ของนางเสียอีก นางจึงเชื่อใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจ แต่ยังคงลุกขึ้นมาอย่างยิ้มแย้มตามที่พานหมัวมัวต้องการ กล่าวว่า “เป็นข้าที่เสียมารยาทไปจริงๆ ข้าจะไปสวนร่มหลิวเป็นเพื่อนสะใภ้ใหญ่เฉินสักครั้งก็แล้วกัน”
สีหน้าของซือจูถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย
โหวฮูหยินจึงไปสวนร่มหลิวเป็นเพื่อนนาง
โชคร้ายที่หวังซียังอยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่กลับมา
ทั้งสองคนจึงเปลี่ยนเส้นทางไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่าแทน
ผลปรากฏว่าหวังซีก็ไม่อยู่ที่นั่นเช่นกัน นางกลับสวนร่มหลิวไปแล้ว
ยังมีอะไรให้ซือจูไม่เข้าใจอีก
นางลุกขึ้นหมายจะไปหยุดหวังซี แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับจับมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย สอบถามนางว่าแต่งไปอยู่ตระกูลเฉินเป็นอย่างไรบ้าง เฉินเจวี๋ยกลับมาบ้างหรือยัง เฉินอิงเคยรังแกนางหรือเปล่า ทำให้นางสลัดตัวหนีออกมาไม่ได้
โหวฮูหยินมองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา กว่าซือจูกับฮูหยินผู้เฒ่าจะคุยกันเสร็จ ก็ถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรั้งซือจูให้อยู่รับมื้อเที่ยงด้วย…
กว่าซือจูจะได้ออกมาจากเรือนหยกวสันต์ ก็เป็นยามเว่ยของช่วงบ่ายไปแล้ว
ซือจูพุ่งไปที่สวนร่มหลิวอย่างเดือดดาล
ได้ยินว่าหวังซีไปร้านค้าประจำจิงเฉิงของสกุลหวัง เสี่ยวหนานสาวใช้เด็กที่อยู่เฝ้าบ้านยังประณามเหยื่ออย่างอาจหาญอยู่ตรงนั้นว่า “คุณหนูของพวกข้ารอจนถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้วท่านก็ยังไม่มา ทั้งไม่ให้คนมาแจ้งสักคำด้วย คุณหนูของพวกข้าคงไม่อาจรอคอยอยู่เช่นนี้อย่างไม่จบไม่สิ้นหรอกกระมัง อีกอย่าง แขกของบ้านใดไม่ส่งเทียบมาแจ้งล่วงหน้าก่อนมาหาบ้าง ก็มีแค่สะใภ้ใหญ่สกุลเฉินอย่างท่านเท่านั้นแล้ว อาศัยว่าฮูหยินผู้เฒ่ารัก โหวฮูหยินให้ความเคารพ จึงไม่เห็นคุณหนูของพวกข้าอยู่ในสายตา”
กล่าวจบ ยังมองโหวฮูหยินที่มาเป็นเพื่อนซือจูอย่างเห็นอกเห็นใจครั้งหนึ่งอีกด้วย ทอดถอนใจกล่าวว่า “ที่คุณหนูของพวกข้าต้องไปร้านค้าเพราะเป็นกำหนดการที่วางเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว คุณหนูของพวกข้าคงไม่อาจเสียมารยาทตามไปด้วยเพียงเพราะสะใภ้ใหญ่สกุลเฉินไม่รักษากฎระเบียบหรอกกระมัง”
ซือจูมือสั่นระริกไม่หยุด แสยะยิ้มเย็นพลางสั่งการสาวใช้ข้างกายที่ติดตามมาด้วยว่า “ตบปากนางให้ข้าเดี๋ยวนี้! ข้าจะดูว่านางมีกี่ชีวิต!”
เสี่ยวหนานไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
นางมิใช่สาวใช้ของจวนหย่งเฉิงโหว
อีกอย่าง เนื่องจากคุณหนูกลัวว่าพวกนางจะถูกรังแก จึงให้ชิงโฉวรั้งอยู่ที่บ้านด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นโหวฮูหยินน่าประทับใจยิ่งกว่าที่พวกนางคาดหวังเอาไว้เสียอีก
นางหน้าซีดเผือด ก้าวออกมาสองสามก้าวบังเสี่ยวหนานเอาไว้ กล่าวกับซือจูด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ท่านคือหญิงสาวต่างสกุลที่ออกเรือนไปแล้วและมาเป็นแขกที่บ้านของพวกข้า นี่ท่านคิดจะตบหน้าข้าหรือคิดจะตบหน้าคุณหนูสกุลหวังกันแน่ ท่านสอดมือเข้ามายาวเกินไปแล้วกระมัง!”
ซือจูมองคนของจวนหย่งเฉิงโหวที่นำโดยโหวฮูหยินคุ้มกันเสี่ยวหนานเอาไว้ด้านหลังแล้วโทสะพุ่งทะยาน เป็นลมล้มพับลงไปในทันใด
โหวฮูหยินตกใจจนหน้าเผือดสี รีบย่อตัวลง ด้านหนึ่งก็สั่งการให้พานหมัวมัวไปเชิญท่านหมอ อีกด้านหนึ่งก็กดตรงร่องริมฝีปากของซือจูไปด้วย
พานหมัวมัวกลับดึงโหวฮูหยินขึ้นมา ให้สาวใช้เด็กผู้หนึ่งช่วยกดร่องริมฝีปากให้ซือจูแทน ส่วนนางดึงโหวฮูหยินไปกระซิบด้านข้างว่า “อย่าสนใจนางเลยเจ้าค่ะ! ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นกับนางที่จวนหย่งเฉิงโหว คำติเตียนก็มาไม่ถึงพวกเราอยู่ดี ไม่แน่ว่าเจิ้นกั๋วกงอาจรู้สึกว่าดีแล้วก็เป็นก็ได้!”
โหวฮูหยินเองก็กดเสียงลงต่ำตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าไปได้ยินข่าวอะไรมาใช่หรือไม่”
พานหมัวหมัวกล่าว “คุณชายใหญ่เฉินยังไม่ก้าวเท้าเข้าไปในเรือนหอหลังใหม่เลยเจ้าค่ะ”
โหวฮูหยินตกตะลึงพรึงเพริด
พานหมัวมัวรีบหันไปมองรอบๆ ทั้งสี่ด้าน เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างมีท่าทีแสร้งทำเป็นไม่เห็นพวกนาง ถึงได้กล่าวอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวชื่นชอบการตัดสินถูกผิดของผู้อื่นเป็นที่สุด คุณชายสี่ของพวกเขากำลังจะแต่งงาน ถึงเวลานั้นต้องมีคนไปร่วมงานจำนวนมากอย่างแน่นอน ท่านแค่ต้องระบายความอัดอั้นของตัวเองกับคนในงานเลี้ยงเพียงเท่านั้น” นางหันไปเบ้ปากใส่ซือจู “คนผู้นั้นวิ่งมาโดยไม่ส่งเทียบมาก่อนได้อย่างไร ย่อมต้องมีคนเอาไปพูดต่อ หากข่าวลอยไปถึงหูของเฉินเจวี๋ยได้ก็ยิ่งดี”
เฉินเจวี๋ยผู้นี้ปกป้องเฉินอิงยิ่งกว่าอะไร เนื่องจากจ่างกงจู่สลัดมือไม่สนใจ เฉินเจวี๋ยจึงไม่มีผู้อาวุโสสตรีคอยชี้แนะนางด้วยความจริงใจ เป็นเหตุให้บางครั้งนางก็กระทำตัวเกินปกติธรรมดาไปบ้าง
โหวฮูหยินไม่เคยกระทำเรื่องประเภทนี้มาก่อน แม้นฟังแล้วรู้สึกยินดี แต่สุดท้ายแล้วยังคงเป็นห่วงชื่อเสียงของซือจูอยู่ ได้ยินเช่นนั้นแล้วย่อมลังเลใจเป็นธรรมดา
พานหมัวมัวดึงแขนเสื้อโหวฮูหยินเบาๆ กล่าวอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อยที่เห็นคนไม่สู้คนว่า “ทั้งสองครอบครัวบ้านอยู่ติดกัน อีกไม่นานคุณหนูสกุลหวังก็จะแต่งเข้าตระกูลเฉินแล้ว ในภายภาคหน้ายังมีเรื่องวุ่นวายอีกมากมาย! หากท่านไม่หาทางขีดเส้นกับสะใภ้ใหญ่เฉินให้ชัดเจนเสียตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อคุณหนูสกุลหวังแต่งเข้าไปแล้วคงหาทางขีดเส้นให้ชัดเจนได้ยากยิ่งกว่านี้…
…ท่านดูท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่านั่นปะไร…
…ยังคอยปกป้องสะใภ้ใหญ่เฉินอยู่เลย!…
…ใต้เท้าเฉินคนเล็กมีสัมพันธ์ที่ดีกับองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองนะเจ้าคะ!…
…ต่อให้ทำเพื่ออนาคตของคุณชายน้อยทั้งสองสามท่าน ท่านก็ไม่อาจประนีประนอมกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างคนเลอะเลือนได้!”
โหวฮูหยินรู้สึกว่าที่พานหมัวมัวกล่าวมามีเหตุผล นางพลันตัดสินใจได้ ตะโกนสั่งการสาวใช้ข้างกายว่า “พวกเจ้ารีบไปแจ้งจวนเจิ้นกั๋วกง บอกว่าสะใภ้ใหญ่ของพวกเขาเป็นลมอยู่ที่บ้านของพวกเรา เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ พวกเราไม่อาจตัดสินใจแทนได้ ไม่รู้ว่าควรต้องจัดการอย่างไรดี ให้พวกเขารีบส่งคนมารับสะใภ้ใหญ่ของพวกเขากลับไป”
พานหมัวมัวพยักหน้าหงึกๆ
สาวใช้เด็กมีไหวพริบเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้
โหวฮูหยินเองก็กลัวจะเกิดเรื่องเช่นกัน ให้คนยกซือจูไปที่สวนร่มวสันต์
หัวคิ้วของฉังเคอผูกเป็นปมแน่นจนดักจับยุงได้ กลัวซือจูมาสร้างปัญหาที่เรือนของนาง จึงให้สาวใช้คอยดูอยู่ข้างๆ
ไม่นานซือจูก็สะลึมสะลือฟื้นตื่นขึ้นมา
พอนางเห็นว่าตัวเองอยู่ที่ระเบียงบ้านของฉังเคอก็เดือดดาลขึ้นมา “หวังซีเล่า? นางยังไม่กลับมาอีกหรือ พวกเจ้าก็อย่ายกยอเบื้องสูงเหยียบย่ำเบื้องต่ำนักเลย ข้าขอบอกพวกเจ้าเอาไว้ หวังซีอยากแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง นั่นเป็นเพียงเรื่องฟั่นเฟื่องเท่านั้น! เจิ้นกั๋วกงไม่ยอมรับการเกี่ยวดองในครั้งนี้ ต่อให้จ่างกงจู่อนุญาตก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลากราบไหว้ฟ้าดินในวันแต่งงานแล้วเจิ้นกั๋วกงไม่ปรากฏกายออกมา ข้าจะคอยดูว่าหวังซีจะทำอย่างไร!…
…อย่าคิดว่าหวังซีแต่งเข้าไปแล้วจะได้เป็นสะใภ้รอง นางจะได้แต่งเข้าไปหรือเปล่ายังไม่รู้เลย!”
กล่าวจบ นางยังหัวเราะเยาะความโชคร้ายของผู้อื่นออกมาอย่างเสียงดัง
หันซื่อที่แอบวิ่งมาดูความครึกครื้นรู้สึกว่าซือจูเสียสติ
ต่อให้เจิ้นกั๋วกงไม่ออกมาร่วมงานแต่งของหวังซีแล้วเกี่ยวอะไรกับซือจูด้วย ที่นางทำท่าทางเป็นผู้ชมงิ้วที่ไม่เกรงกลัวเวทีสูงเช่นนี้ เพราะอยากบอกผู้อื่นว่านางมีวิธีทำให้หวังซีมาขอความช่วยเหลือจากนางหรือว่าอะไรกันแน่?
ต่อให้ร้ายกาจ แต่คนผู้นี้ก็เป็นคนร้ายกาจที่ไร้สมอง
หันซื่อคิดว่าต่อไปตนต้องอยู่ให้ห่างจากนางเอาไว้ถึงจะถูก
แม้แต่ความครึกครื้นนางก็ไม่อยากดูต่อแล้ว รีบกลับไปที่เรือนของตัวเอง
ส่วนฉังเคอกับโหวฮูหยินยิ่งไม่อยากได้ยินนางพูด ทุกคนจึงปล่อยให้ซือจูอยากพูดอะไรก็พูดไปอยู่ตรงนั้นโดยไม่กล่าวอะไร รอจนคนจวนเจิ้นกั๋วกงมาถึงรับตัวนางออกไปแล้ว พลันรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
ตอนแรกซือจูไม่ยอมกลับไป ต้องการเจอหวังซีก่อนแล้วค่อยกลับ แต่ไม่รู้ว่าป้ารับใช้ผู้นั้นพูดอะไรกับซือจูบ้าง เพราะซือจูหน้าดำทะมึนเป็นก้นหม้อ สุดท้ายก็ยอมตามป้ารับใช้ผู้นั้นกลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงแต่โดยดี
ป้ารับใช้ผู้นั้นมีมารยาทยิ่งนัก ก่อนจากไปกล่าวคำขอโทษโหวฮูหยินครั้งแล้วครั้งเล่า ยังบอกด้วยว่าคุณชายใหญ่ของพวกนางไปที่ว่าการ รอให้มีเวลาว่างแล้วจะมากล่าวขอบคุณหย่งเฉิงโหวอย่างแน่นอน ยังกล่าวอย่างมีนัยแฝงอีกด้วยว่า “นับตั้งแต่ที่เกิดเรื่องกับตระกูลซือเป็นต้นมา สะใภ้ใหญ่ของพวกข้าก็ค่อนข้างคิดมาก จึงกระทำเรื่องไม่เหมาะและพูดสิ่งไม่ควรออกมาบ้างอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งสองท่านเป็นญาติจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อสะใภ้ใหญ่ของพวกข้าเสมือนเป็นคนอื่นคนไกล แต่หากบังเอิญเจอกันข้างนอก ขอให้เห็นแก่เกียรติของทั้งสองครอบครัว ช่วยโอนอ่อนให้ด้วยสักครั้งหนึ่ง”
ฉังเคอกับโหวฮูหยินย่อมเอ่ยให้คำมั่น ทว่าในใจคิดอย่างไรนั้นไม่อาจทราบได้
โหวฮูหยินรู้สึกว่าป้ารับใช้ผู้นั้นกระทำการอย่างเฉียบแหลมและคล่องแคล่วว่องไวยิ่ง จึงให้คนไปสืบเรื่องของนาง
ที่แท้ป้ารับใช้ผู้นั้นก็คือคนที่เฉินเจวี๋ยส่งมา ‘กำกับดูแล’ ซือจู
โหวฮูหยินลอบประหลาดใจ ยิ่งรู้สึกว่าพานหมัวมัวกล่าวได้ถูกต้อง กระทั่งถึงวันงานแต่งของคุณชายสี่จวนเซียงหยางโหว นางลากคนไประบายความอัดอั้นด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งคน ทำให้ทุกคนต่างรู้ว่าจวนหย่งเฉิงโหวไร้หนทางกับซือจูแล้วจริงๆ
ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในภายหลัง
ส่วนหวังซีเดินทางไปร้านของสกุลหวังจริงๆ
นางถูกหวังเฉินเรียกตัวมาอย่างกะทันหัน
เส้นเลือดในตาทั้งสองของหวังเฉินแดงช้ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ยื่นหนังสือสัญญาส่งให้นางสองสามฉบับพลางกล่าว “ร้านค้าที่ซื้อมาจากย่านต้าจ้าหลาน เจ้าลองดูว่าถูกใจหรือไม่”
……………………………………………………………………..