หวังซีพลันรู้สึกปวดใจเหลือจะกล่าว
หากมิใช่เพื่อนาง เหตุใดพี่ชายใหญ่ของนางจะต้องลำบากลำบนปานนี้
นางตื้นตันใจ ไม่สนใจหนังสือสัญญาเหล่านั้นแต่ไปคล้องแขนของหวังเฉินเอาไว้กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนเตรียมสินเจ้าสาวเอาไว้ให้ข้าแล้ว ร้านค้าที่ย่านต้าจ้าหลานหาซื้อยากยิ่งนี่นา! หากมิใช่ต้องใช้เส้นสายก็ต้องเพิ่มเงิน ท่านเตรียมร้านค้าเอาไว้เป็นสินเจ้าสาวให้ข้า แต่ก็เพื่อให้ข้าเอาไปสร้างรายได้ มิใช่ให้ข้าเอาไปทำขาดทุน อีกหลายปีก็คงยังเอาทุนกลับมาไม่ได้! ต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ”
ขณะที่หวังซีกล่าวนั้นกระบอกตาก็รื้นชื้นขึ้นมา
นางก้มหน้าลง ซ่อนน้ำตาที่คลอหน่วยเอาไว้
หวังเฉินกลับลูบศีรษะนางอย่างรักใคร่ กล่าวเสียงเบาว่า “เด็กสาวนั้น จะปล่อยให้มือไร้เงินทองได้อย่างไร เตรียมเอาไว้มากเท่าไรก็ไม่มีคำว่ามากเกินไป อีกอย่าง ที่บ้านพวกเราทั้งใช้เส้นสายและเติมเงินลงไปจนจัดการเรื่องนี้ให้ลุล่วงได้ นั่นก็เป็นเพราะบ้านพวกเรามีความสามารถดังกล่าว เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก รับเอาไว้อย่างสบายใจก็พอ ขอเพียงต้องจำเอาไว้ว่า อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทุกข์ ต่อไปหากไม่มีความสุข อย่างมากก็กลับไปที่สู่จง”
กล่าวถึงตรงนี้เขาลังเลครู่หนึ่งแล้วถึงกล่าวขึ้นอีกว่า “พาลูกๆ กลับสู่จงไปด้วย”
น้องสาวของเขาหน้าตางดงามปานนี้ เฉินลั่วผู้นั้นก็รูปงามไม่แพ้กัน ลูกๆ ที่พวกเขาให้กำเนิดมาจะต้องหน้าตาดีโดดเด่นมากเป็นแน่
แค่นึกภาพว่ามีเด็กน้อยอ้วนจ้ำม่ำผิวขาวผ่องดุจหิมะเหมือนหวังซีสมัยเด็กมากอดขาของตนเอาไว้แล้วร้องเรียก ‘ท่านลุง’ หัวใจเขาก็แทบจะละลายแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ข้ากับพี่สะใภ้ของเจ้าไม่มีบุตรสาวเลยสักคน ไม่รู้ว่าอนาคตจะมีโอกาสหรือไม่ ครอบครัวเฟื่องฟูตระกูลถึงรุ่งโรจน์ บ้านพวกเราไม่กลัวมีเด็กมาก”
คำพูดของพี่ชายทำให้หวังซีโพล่งหัวเราะคิกออกมา ความเศร้าใจเล็กๆ นั่นพลันมลายหายไป
หวังเฉินจึงหัวเราะพลางจิ้มจมูกนางน้อยๆ กล่าวว่า “รีบรับเอาไว้ ต่อไปก็เป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว ต่อให้เป็นพี่น้อง แต่อนาคตก็ไม่อาจมาพาดอยู่บนตัวข้าเช่นนี้อีกแล้ว หากว่าที่น้องเขยมาเห็นเข้า จะต้องหึงหวงเป็นแน่”
“ฮ่าๆๆๆ!” หวังซีหัวเราะลั่น นึกภาพไม่ออกว่าเฉินลั่วหึงหวงแล้วจะเป็นเช่นไร
สองพี่น้องนั่งคำนวณสินเจ้าสาวของหวังซีด้วยกัน “เงินทองและอัญมณีต่างๆ ที่ท่านปู่กับท่านย่ามอบให้เจ้านั้นข้าให้คนหาวิธีส่งมาให้ที่จิงเฉิงเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าและที่นาทางด้านโน้นก็มีข้าช่วยดูให้เจ้า ยังคงแบ่งเงินให้เจ้าตามเดิม ส่วนทางจิงเฉิงนี้ ซื้อร้านแถวต้าจ้าหลานให้เจ้าสักสองสามร้านก่อน หลังจากนี้ข้าค่อยควานหาดูว่าสถานที่อื่นยังพอมีร้านดีๆ อยู่บ้างหรือไม่ แล้วค่อยซื้อให้เจ้าอีกสักสองสามร้าน รวมถึงซื้อบ้านที่ซีซานตรงชานเมืองให้เจ้าหนึ่งหลังและซื้อบ้านติดบ่อน้ำพุร้อนที่ฝางซานให้เจ้าด้วยอีกหนึ่งหลัง เช่นนี้ช่วงหน้าร้อนเจ้าจะได้ไปหลบร้อนที่ซีซาน ส่วนช่วงฤดูหนาวก็จะได้ไปแช่น้ำร้อนที่ฝางซาน…
…กล่าวตามจริงแล้วจวนเจิ้นกั๋วกงหาใช่ตัวเลือกที่ดีอะไรนัก สถานการณ์ของครอบครัวพวกเขายุ่งเหยิงซับซ้อนเกินไป ไม่รู้ว่าจ่างกงจู่จะช่วยให้พวกเจ้าออกมาอยู่กันเองตามลำพังได้หรือไม่ พวกเราก็เอาที่นาและร้านค้าไปมากหน่อย พวกเงินทองไม่ต้องระบุไว้ในสมุดบัญชี เจ้าเอาไปเป็นการส่วนตัว เวลาขาดเหลืออะไรตัวเองจะได้เอาออกมาใช้ได้…
…สินเจ้าสาวมากมายเกินไป ข้าก็กลัวจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นริษยา แล้วนำความวุ่นวายมาให้เจ้าโดยไม่จำเป็น”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ
นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลหวังของพวกเขา จิตใจมนุษย์เสื่อมทราม ยามกินดื่มให้ปิดประตูรู้กันเองในครอบครัวก็พอ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ทุกคนรับรู้ไปด้วย
หาไม่แล้วด้วยทรัพย์สมบัติของตระกูลหวังของพวกเขา เจ้าหน้าที่จากทางการเหล่านั้นคงได้จับจ้องตระกูลของพวกเขาไม่ปล่อยเสมือนแมลงวันเจอกองมูลเป็นแน่
นางกล่าว “ดูเหมือนว่าตอนซือจูออกเรือนจะมีสินเจ้าสาวหกสิบสี่คนหาม พวกท่านก็เตรียมสินเจ้าสาวหกสิบสี่คนหามให้ข้าก็พอเจ้าค่ะ” หวังซีเองก็ไม่อยากเป็นที่จับจ้องในเรื่องประเภทนี้เช่นกัน กล่าวอีกว่า “ของอื่นๆ ข้าจะนำไปด้วยในฐานะเงินขวัญถุงก็แล้วกัน”
เงินขวัญถุงเป็นเงินที่มอบให้เจ้าสาวเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องเขียนระบุเอาไว้ในใบรายการ อย่างมากก็มีแค่ญาติสนิทเท่านั้นที่รู้
หวังเฉินพยักหน้าหงึก กล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
หากหวังซีออกเรือนที่สู่จง ไหนเลยจะต้องยุ่งยากขนาดนี้
ตระกูลพ่อค้ามีเงินมาก เพื่อมิให้บุตรสาวต้องลำบากแล้วจะขุดทรัพย์สมบัติของครอบครัวมาเตรียมเป็นสินเจ้าสาวของบุตรสาวให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ หากสกุลหวังมอบให้หวังซีมาก อย่างมากผู้อื่นก็พูดกันว่าตระกูลเดิมให้ความสำคัญกับหวังซีมาก หาได้ไปคิดมากเรื่องอื่น แต่จิงเฉิงเป็นเมืองเสือหมอบมังกรเร้นกาย ไม่แน่ว่าอาจมีคนไปสืบสถานการณ์เบื้องลึกของตระกูลหวังได้ ระแวดระวังเอาไว้สักหน่อยจึงเป็นการดีกว่า
หวังซีเองก็รู้สึกลำบากเล็กน้อยเช่นกัน กล่าวว่า “ตอนข้าออกเรือนท่านปู่กับท่านย่าล้วนมาส่งข้าไม่ได้ คิดเช่นนี้แล้วรู้สึกว่าแต่งงานที่สู่จงดีกว่า”
แม้นท่านปู่และท่านย่าของนางล้วนเคยเดินทางไปสถานที่ต่างๆ มาไม่น้อย แต่บัดนี้อายุมากแล้ว ไม่สะดวกออกจากสู่จง ต่อให้อยากมา นางก็ไม่กล้าให้ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต้องลำบากเช่นนี้เหมือนกัน
แต่นางฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากออกเรือนไปท่ามกลางการอวยพรของคนในบ้านอย่างชื่นชมยินดี
นางอดที่จะยู่ปากไม่ได้ ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าแต่งกับเฉินลั่วเป็นเรื่องดีมากอยู่เลย ตอนนี้คิดๆ ดูแล้วกลับรู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน
นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หวังซีสัมผัสได้ว่าความฝันกับความจริงไม่เหมือนกัน
นางถอนใจเบาๆ เล่าเรื่องนี้ให้หวังเฉินฟัง
หวังเฉินหัวเราะงอหงาย กล่าวว่า “หลังแต่งงานเจ้าพาเฉินลั่วกลับไปให้ท่านปู่กับท่านย่าดูสักหน่อยก็ได้แล้ว ถือเป็นการออกไปท่องเที่ยวของพวกเจ้า”
ท่านปู่ทวดของเขาหน้าตาธรรมดาสามัญ ทว่าท่านย่าทวดกลับเป็นหญิงงามมีชื่อเสียงขจรไกลสิบลี้แปดหมู่บ้าน ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านปู่ของเขาถอดแบบท่านปู่ทวดมา ไม่ได้ท่านย่าทวดมาเลยแม้แต่ครึ่งเดียว ทว่าก็แต่งงานกับท่านย่าที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอีกเช่นกัน ป้าและอาหญิงสองสามคนมีความคล้ายคลึงท่านย่าเจ็ดถึงแปดส่วน แต่บิดาของเขา หรือแม้แต่อาอีกสองสามท่านของเขาล้วนมีหน้าตาเหมือนท่านปู่ มารดาของเขากับมารดาเลี้ยงเองก็เป็นคนรูปงามโดดเด่นกว่าคนทั่วไปยิ่งนัก แต่แล้วเขาก็ยังคล้ายบิดาของเขามากกว่า
โชคดีที่น้องชายรองและน้องสาวของเขาล้วนหน้าตาหล่อเหลาและงดงาม ดึงเอาส่วนดีของคนหลายรุ่นไปไว้กับตัวได้ จะไม่ให้ท่านปู่และท่านย่าของเขาโปรดปรานได้อย่างไร
ท่านปู่กับท่านย่าไม่อาจมาร่วมงานแต่งของหวังซี จะต้องรู้สึกแสนเสียดายอย่างแน่นอน!
หวังเฉินคิดแล้วตัดสินใจว่าเรื่องนี้ให้ท่านปู่ตัดสินใจเองดีกว่า หากท่านปู่ตัดสินใจเดินทางมาจิงเฉิง เช่นนั้นก็มาก็แล้วกัน อย่างมากก็ออกเดินทางเร็วขึ้นสักหน่อย ระหว่างทางก็ค่อยๆ มาไม่ต้องรีบร้อน สมัยที่ท่านผู้อาวุโสอย่างหนุ่มแน่นก็ออกเดินทางอยู่บ่อยๆ กล่าวถึงประสบการณ์แล้วนับว่ามีมากมายก่ายกอง
เขาตัดสินใจได้แล้วก็สบายใจ เริ่มหารือเรื่องซื้อบ้านกับหวังซี “คงไม่อาจปล่อยให้เจ้าออกเรือนจากจวนหย่งเฉิงโหวได้หรอกกระมัง!”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” หวังซีเองก็เห็นด้วย
สองพี่น้องจึงปรึกษาเรื่องซื้อบ้านกันอีกกว่าครึ่งค่อนวัน กว่าจะรู้สึกตัวก็เป็นเวลาจุดโคมไฟยามเย็นแล้ว
หวังซีกับหวังเฉินเองก็คร้านจะกินข้าวที่บ้านแล้ว จึงไปกินหม้อไฟร้านที่มีชื่อเรียกว่า ‘ร้านซุ่น’ แห่งหนึ่งในจิงเฉิง หวังซีนั่งอยู่ข้างๆ หม้อไฟที่ไอร้อนพวยพุ่งขึ้นพร้อมกับจุ่มเนื้อแกะสดใหม่ลงไป จากนั้นจิ้มลงในน้ำจิ้มงาสูตรเฉพาะของจิงเฉิงไปด้วย เล่าเรื่องเฉินลั่วไปด้วย “…เขาก็ชอบกินหม้อไฟมากเหมือนกัน วันนั้นข้าเตรียมเนื้อแกะไว้ห้าจิน เขากินคนเดียวจนหมด ทำเอาข้าตะลึงพรึงเพริดไปหมด พอถามข้าถึงได้รู้ว่า ตั้งแต่เข้าวังไปตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนนั้นเขาได้กินขนมไปเพียงสองชิ้นเท่านั้น ยังเป็นของตกแต่งจานที่ใช้กันในวังหลวงอีกด้วย ขันทีเด็กมีไหวพริบผู้หนึ่งแอบเอามาให้เขา…
…พวกเรามองพวกเขาแล้วรู้สึกว่ามีสถานะสูงส่งน่านับถือ แต่บางครั้งก็น่าหดหู่ใจเหลือเกิน พวกเขาก็มีเวลาที่ลำบากเช่นกัน”
ยังเล่าเรื่องที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาเหนียงเหนียงมีปากเสียงกันให้หวังเฉินฟังด้วย “เมื่อก่อนข้าคิดว่า เนื่องจากได้เป็นถึงฮ่องเต้ ย่อมต้องดีไปหมดทุกด้าน แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพึ่งพาไม่ได้ยิ่งกว่าท่านอาหกของพวกเราเสียอีก ที่นึกอะไรออกก็ไปทำสิ่งนั้น อยากไปไหนก็ไป แต่ก็หาได้ตัดสินใจอะไรอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยจิตใจอำมหิต องค์ชายทั้งหลายมีพระบิดาเช่นนี้ก็ถือว่าโชคร้ายนัก”
กล่าวได้ว่าร้านซุ่นเป็นร้านอาหารที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้กับประตูเมืองทางทิศตะวันตก คนที่มารับประทานอาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นประชาชนคนธรรมดา ห้องที่เรียกว่าห้องส่วนตัวยังกั้นเอาไว้ด้วยฉากกั้นฟางเท่านั้น ขายเนื้อแกะเหอเท่าแบบดั้งเดิม หากมิใช่นักกินอย่างหวังเฉิน คนที่พอจะมีฐานะอยู่บ้างอาจมองข้ามสถานที่แห่งนี้ไปจริงๆ
หวังเฉินทำสัญญาณบอกให้นางอย่าพูด กล่าวว่า “ต่อไปจะพูดอะไรเจ้าต้องระวังตัวหน่อยแล้ว อย่าปล่อยให้ถูกคนมีเจตนาร้ายใช้ประโยชน์ได้เชียว”
หวังซีพยักหน้าหงึกๆ รู้สึกว่าหลังจากเจอพี่ชาย นางก็คล้ายกลับไปเป็นเด็กน้อยที่ไม่ค่อยใช้สมองขบคิดอะไรอีกครั้ง อะไรก็ส่งให้พี่ชายจัดการให้ทั้งหมด
นางจึงถามถึงเรื่องเฉลิมฉลองปีใหม่ขึ้นมา “ปีนี้ท่านพี่คงไม่ได้กลับบ้านแล้ว นี่ก็เป็นสิ้นปีอีกคงหาบ้านไม่ง่าย เช่นนั้นปีนี้พวกเราฉลองปีใหม่ที่ร้านกันเถิด จะได้กินอาหารหมักดองฝีมือภรรยาของหลงจู๊ใหญ่ด้วย”
หลงจู๊ใหญ่อยู่ตระกูลหวังมาตั้งแต่เด็ก ได้รับอิทธิพลจากตระกูลหวังมาไม่น้อย จึงค่อนข้างพิถีพิถันเรื่องการกิน ภรรยาของเขาหน้าตาธรรมดาสามัญ พื้นเพยากจน แต่เพราะมีฝีมือทำอาหารหมักดองเป็นเลิศ หลงจู๊ใหญ่จึงยืนกรานแต่งกับภรรยาคนนี้
ภายหลังหลงจู๊ใหญ่มาจิงเฉิง จึงพาทั้งครอบครัวมาด้วยโดยพักอยู่ติดกับร้านค้า
หวังเฉินหัวเราะฮ่า กล่าวว่า “ได้เลย ข้าจะให้คนเก็บกวาดลานบ้านด้านหลังเอาไว้ ปีนี้พวกเราฉลองปีใหม่กันเองตรงลานด้านหลังก็แล้วกัน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องไปเยี่ยมจวนหย่งเฉิงโหวสักครั้งหนึ่งแล้ว
หวังเฉินไม่ค่อยอยากเจอพวกเขานัก ตัดสินใจว่าจะรวบยอดการไปคารวะวันสิ้นปีกับวันกราบไหว้ปีใหม่เข้าด้วยกันไปเลย
หวังซีเองก็เห็นด้วย รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องสนิทชิดเชื้อกับจวนหย่งเฉิงโหวมากเกินไป ยังกล่าวอย่างปวดใจแทนมารดาว่า “หากท่านแม่รู้ว่าหลายปีขนาดนี้แล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ไม่รู้ว่าจะเสียใจมากเพียงใด”
หวังซีออกเรือน อย่างไรมารดาของหวังซีก็ต้องมาส่งนางที่จิงเฉิง หวังเฉินกล่าวอย่างตรึกตรองว่า “อย่างไรถึงเวลาก็ต้องได้เจอกัน นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ คงไม่อาจขวางไม่ให้เจอกันหรอกกระมัง!”
ไม่อย่างนั้นมารดาเลี้ยงของเขาคงไม่ส่งบุตรสาวมาจิงเฉิง ไม่ส่งไปอยู่จวนหย่งเฉิงโหวแล้ว
ทั้งสองคนชวนกันคุยสัพเพเหระไปด้วยกินหม้อไฟไปด้วย ทั้งร่างเต็มไปด้วยไอร้อน ตอนออกมาหวังซีเห็นว่าบนถนนเริ่มห้ามออกนอกเคหสถานแล้ว จึงไปค้างคืนที่ร้านหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นถึงเดินทางกลับจวนหย่งเฉิงโหว
ฉังเคอเป็นห่วงนางอยู่ตลอด เมื่อเห็นนางกลับมาแล้วถึงได้โล่งอก กล่าวกับสาวใช้คนสนิทว่า “นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ไม่ว่าจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยสาเหตุอะไร ผู้อื่นรู้เข้าย่อมไม่ดี โชคดีที่ซือจูไม่อาจมาหาได้ตามใจชอบอีกแล้ว”
เมื่อวานหวังซีไม่อยู่ เป็นครั้งแรกที่หย่งเฉิงโหวเข้ามายุ่งเรื่องของเรือนชั้นในต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
พูดอะไรทำนองว่าต่อไปหากไม่มีเทียบขอเยี่ยม ใครยังกล้าปล่อยคนเข้ามาตามใจชอบอีก จะถูกโบยยี่สิบครั้งและเรียกพ่อค้าคนกลางมาขายออกไปเสีย
ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนเป็นลมล้มพับลงไป
มารดาของนางมีความคิดเห็นแก่ตัว กลัวว่าหากฮูหยินผู้เฒ่าอาการไม่ดีจนไปเยือนแดนสุขาวดีอาจจะทำให้งานแต่งของนางล่าช้าได้ ครุ่นคิดกว่าครึ่งคืน เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจึงบอกว่าต้องการไปพบโหวฮูหยิน ตั้งใจจะใช้เรื่องปีใหม่เป็นข้ออ้างในการหว่านล้อมโหวฮูหยิน
รอให้ถึงเดือนสามของปีหน้านางก็ออกเรือนแล้ว เหตุผลของมารดานางก็คือ “ไม่ว่ามันจะเป็นคนตายหรือเรือล่ม พวกเราซ่อนตัวอยู่ให้ห่างเข้าไว้ก็ใช้ได้แล้ว”
ฉังเคอรู้สึกสลดใจยิ่ง
เมื่อก่อนมารดานางเป็นคนอ่อนแอและขี้ขลาดคนหนึ่ง แต่ถูกบีบคั้นจนกลายเป็นคนเช่นนี้ไปแล้ว
ทว่าก็ดีเหมือนกัน เป็นคนเก่งกาจเสียบ้าง จะได้ถูกคนรังแกน้อยลงอีกสักหน่อย
…………………………………………………………….