ฉังเคอจึงเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบให้หวังซีฟัง ยังกล่าวด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อยว่า “หากเจ้าเป็นคู่สะใภ้ของซือจูแล้วจริงๆ ต่อไปต้องใช้ชีวิตอย่างรอบคอบเอาไว้ถึงจะดี”
หวังซีเองก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเฉินลั่วไปได้ยินมาจากที่ใดว่าซือจูมาสร้างความวุ่นวายที่จวนหย่งเฉิงโหว จึงมาปลอบโยนหวังซีเป็นการเฉพาะครั้งหนึ่ง “เจ้าไม่ต้องสนใจนาง บุตรเขยใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นคนฉลาด หากเขาอยากมีชีวิตอย่างราบรื่น ย่อมคิดหาวิธีจับตาดูสองพี่น้องคู่นั้นเอาไว้ไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นอย่างแน่นอน เหตุที่จู่ๆ ในเรือนของเฉินอิงก็มีป้ารับใช้เพิ่มขึ้นมาจำนวนมากหลังจากแต่งงาน ก็เป็นเพราะพี่เขยของข้าผู้นั้นใช้เงินทองจำนวนไม่น้อยซื้อตัวกลับมาจากเฉิงโจว อย่างอื่นยากจะกล่าวถึง แต่เรื่องกำกับดูแลซือจูนั้นกำราบได้อยู่หมัดแน่นอน”
เขายังพูดถึงงานแต่งของพวกเขาทั้งสองขึ้นมาด้วย “พวกเราควรเลื่อนไปเป็นครึ่งปีหลังของปีหน้าดีหรือไม่ ผู้อาวุโสจะได้มีเวลาเดินทางมาได้อย่างเต็มที่ อยู่ห่างกันไกลนับพันลี้เช่นนี้ เป็นเรื่องยากยิ่งที่พวกท่านจะได้ออกจากบ้านสักครั้งหนึ่ง จะได้ถือโอกาสมาเที่ยวดูเมืองหลวงด้วย”
หวังซีซาบซึ้งใจมากจริงๆ
เฉินลั่วยังมอบบ้านสำหรับใช้เป็นสถานที่ออกเรือนให้หวังซีหนึ่งหลังด้วย ตั้งอยู่ที่ซอยลิ่วเถียว เป็นบ้านที่มีประตูหรูอี้สองบาน ขนาดห้าทางเข้า ตัวเรือนหลักสามห้องมีห้องปีกขนาบข้างสองห้อง
รัชสมัยปัจจุบันยังมีกฎระเบียบกำกับอยู่ว่าขุนนางกี่ขั้นครอบครองบ้านขนาดใหญ่เท่าไร ใช้ประตูใหญ่เช่นไร หรือสวมใส่อาภรณ์เช่นไรได้บ้าง บ้านหลังนี้ไม่เพียงหาซื้อได้ยากเท่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ยังเหมาะสมกับสถานะของตระกูลหวังที่เป็นปุถุชนคนธรรมดาอีกด้วย
หวังเฉินตามหากว่าหลายวันก็ยังตามหาบ้านที่เหมาะสมไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้
หวังซีลิงโลดยินดี กล่าวว่า “เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! ตามหาบ้านที่เหมาะสมขนาดนี้ได้อย่างไร”
เฉินลั่วภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ดีร้ายข้าก็เติบโตอยู่ที่จิงเฉิง หากความสามารถแค่นี้ยังไม่มี จะยังถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นได้อย่างไร”
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเอาใจใส่นั่นแล้ว!
พวกนางไม่พูดอะไรเลย เขากลับรับรู้ได้ถึงความลำบากของพวกนาง ยังจัดการเรื่องนี้ให้จนแล้วเสร็จอย่างเงียบๆ อีกด้วย
สายตาที่หวังซีมองเฉินนลั่วแวววาวขึ้นหลายส่วน รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งจนไม่รู้จะพูดอะไรดี เม้มปากยิ้มพลางกระซิบกล่าวว่า “ประเดี๋ยวจะทำหม้อไฟเผ็ดของสู่จงให้เจ้ากิน! จุ่มเนื้อแกะเหอเท่าสดใหม่!”
เร็วๆ นี้จิงเฉิงมีร้านหม้อไฟเปิดใหม่ชื่อว่า ‘ร้านซุ่น’ ที่นั่นมีเนื้อแกะที่เฉือนบางจนแทบจะโปร่งแสงเหมือนปีกจักจั่นขายด้วย คนจำนวนมากต่างไปชิมความสดใหม่กัน ช่วงนี้เฉินลั่วเพิ่งจะเสร็จจากเรื่องวุ่นๆ ของกองพลทองคำ จำเป็นต้องพาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายไปกินข้าวหรืออะไรสักมื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับมาก็เล่าให้หวังซีฟัง หวังซีจึงตั้งใจไปลองดูสักครั้งเป็นการเฉพาะ ค้นพบว่าเนื้อแกะนั่นต้องแช่ให้แข็งเป็นก้อนก่อนแล้วเฉือนออกมาถึงจะใช้การได้
ตอนนั้นนางก็ทอดถอนใจแล้ว กล่าวว่าไม่แปลกที่สู่จงไม่มีวิธีการกินเช่นนี้
แต่บ้านพวกนางมักจะกินอาหารไหวหยางที่ให้ความสำคัญกับรสชาติดั้งเดิม จึงชอบเนื้อแกะสดใหม่ที่แล่เป็นชิ้นมากกว่า แม้นเนื้อแกะไม่บางเท่าของร้านซุ่น ทว่าสดใหม่กว่าเนื้อแกะของร้านซุ่น ถูกปากหวังซีมากกว่า
นางจึงรู้สึกว่าอย่างไรเนื้อแกะสดใหม่ก็อร่อยกว่า
เฉินลั่วเป็นคนที่กินอะไรก็ไม่ค่อยพิถีพิถันผู้หนึ่ง รู้สึกแค่ว่าหม้อไฟเนื้อแกะของร้านซุ่นก็อย่างนั้นๆ ไม่ได้พิจารณารายละเอียดแบบเจาะลึก แต่หวังซีไม่กินเนื้อแกะแช่แข็ง จะต้องกินของสดใหม่เท่านั้น
พอหวังซีกล่าวเช่นนี้ เฉินลั่วก็หัวเราะออกมา
นางพิถีพิถันกับเรื่องกินมากจริงๆ ทุ่มเทฝีมือลงไปก็มาก แต่ก็อร่อยมากอย่างปฏิเสธไม่ได้ เขามาขอกินข้าวกับนางอยู่หลายเดือน จนพอจะแยกแยะรสชาติดีไม่ดีออกแล้ว
เขากล่าวเสียงเบาว่า “บ้านหลังนั้นกับบ้านที่ซอยลิ่วเถียวของข้าอยู่ติดกัน ต่อไปหากย้ายเข้าไปอยู่แล้ว แค่ปรับเปลี่ยนกำแพงของทั้งสองฝั่งสักหน่อยก็ใช้การได้แล้ว”
เฉินลั่วตั้งใจจะย้ายออกมาหลังแต่งงานหรือ
แต่จ่างกงจู่มีเขาเป็นบุตรชายคนเดียว?
หวังซีมองเฉินลั่วอย่างประหลาดใจ
เฉินลั่วหันมาพยักหน้าให้หวังซียิ้มๆ กล่าวว่า “เรื่องนี้ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที เวลานี้ย่อมตัดสินใจอะไรไม่ได้”
นอกเสียจากว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะแยกบ้าน หรือไม่เฉินลั่วก็ไม่ได้รับบรรดาศักดิ์
หวังซีมองเฉินลั่วอย่างประหลาดใจอีกครั้ง
เฉินลั่วกลับมีท่าทีไม่อยากคุยกับนางมากกว่านี้แล้ว เอ่ยถึงเรื่องซื้อบ้านขึ้นมา “ข้าคิดมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าบ้านพวกเจ้าน่าจะต้องการอะไรมากที่สุด จากนั้นขอร้องสหายสองสามคนให้ช่วยไปสืบมาให้ เดิมบ้านหลังนั้นเป็นบ้านของตระกูลพ่อค้าแซ่ซูผู้ร่ำรวยในจิงเฉิง ภายหลังเขาไม่ได้ใช้งานจึงอยากปล่อยเช่ามาโดยตลอด แต่ก็กลัวว่าผู้อื่นจะทำข้าวของในบ้านเสียหาย ได้ไม่คุ้มเสีย ก็เลยปล่อยว่างเช่นนั้น ต่อมาได้ยินว่าข้าอยากซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง จึงให้พ่อบ้านของเขามาหาข้า”
บางทีอาจเป็นเพราะอยากผูกสัมพันธ์กับจวนเจิ้นกั๋วกงหรือไม่ก็เฉินลั่ว
แต่โดยทั่วไปแล้วไม่น่าผิดพลาด
นางถาม “บ้านหลังนี้ขายราคาเท่าไร”
เฉินลั่วเข้าใจความหมายของนางทันที ตอบว่า “เจ็ดพันตำลึง”
ไม่ถือว่าแพง แต่ก็ไม่ถือว่าถูกเช่นกัน
หวังซีพึงพอใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่ของข้า ให้เขานำเงินมาให้เจ้า”
เดิมเฉินลั่วอยากมอบมันให้นาง ภายหลังคิดดูแล้ว ตระกูลหวังอาจไม่อยากเอาเปรียบเขา ในกรณีที่ตระกูลหวังรู้สึกว่าที่นั่นดี อยากอยู่ที่นั่นเป็นระยะยาวขึ้นมา ตนก็ยังมีบ้านอยู่ข้างๆ อย่างไรก็ห่างกันไม่ไกล
เขาจึงไม่เกรงใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปเอาเงินกับพี่ใหญ่!”
นี่ยังไม่ได้แลกอักษรแปดชะตาอย่างเป็นทางการเลย ก็เรียก ‘พี่ใหญ่ๆ’ เสียแล้ว หวังซีปรายตามองเฉินลั่วอย่างหมั่นไส้ครั้งหนึ่ง
เฉินลั่วไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย หน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเสียอีก มองตอบนางอย่างมั่นอกมั่นใจ
ทั้งสองคนทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ
หวังซีหัวเราะดังลั่นขึ้นมา ชวนให้เฉินลั่วหัวเราะตามขึ้นมาด้วย
วันรุ่งขึ้น เฉินลั่วพาหวังเฉินไปดูบ้าน
หวังเฉินถูกใจเป็นอย่างยิ่ง นำตั๋วเงินเจ็ดพันตำลึงมอบให้เฉินลั่ว ณ ตอนนั้นเลย ทำสัญญาซื้อบ้านกับผู้ขายเรียบร้อย ยังถือโอกาสขายเครื่องเรือนเก่าที่มาพร้อมบ้านทั้งหมดออกไปด้วย แล้วเรียกช่างฝีมือมาทำเครื่องเรือนใหม่
นี่มิใช่เรื่องที่จะทำเสร็จในหนึ่งหรือสองวัน
หวังเฉินคิดว่าหากตนยังไม่ไปเยี่ยมจวนหย่งเฉิงโหวก็คงเสียมารยาทมากเกินไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทางนี้จัดเก็บเสร็จเรียบร้อย หวังซีก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่แล้ว
เขาจึงรีบถือของขวัญไปจวนหย่งเฉิงโหวก่อนเทศกาลล่าปา
คราวก่อนตอนที่หวังเฉินมาส่งหวังซีที่จวนหย่งเฉิงโหวนั้น หย่งเฉิงโหวไม่ได้เจอเขา แต่ให้บุตรชายคนโตของเขามารับแขกแทน โดยอ้างว่ามีธุระต้องไปที่ว่าการ ทว่าครั้งนี้กลับรออยู่ในห้องตั้งแต่เช้า ตอนหวังเฉินเข้ามายังออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง กล่าวทักทายเขาอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย
นี่คงเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกี่ยวดองกับจวนจ่างกงจู่
หวังเฉินเห็นพฤติกรรมยกยอเบื้องสูงเหยียบย่ำเบื้องต่ำเช่นนี้มามากจนคุ้นชินแล้ว ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไรใบหน้ากลับยังคงแย้มยิ้ม กล่าวทักทายกับผู้คนอย่างสุภาพและมีมารยาท
ทั้งสองคนต่างยกยอกันและกันพลางเดินไปที่โถงรับรอง
หลังจากทักทายกันอย่างสุภาพแล้ว หวังเฉินก็เล่าเรื่องที่ตนซื้อบ้านที่ซอยลิ่วเถียวให้หย่งเฉิงโหวฟัง ความหมายโดยนัยก็คือหวังซีจะอยู่ที่นี่อีกไม่นานแล้ว ยังบอกเรื่องที่จะรับหวังซีไปฉลองปีใหม่ที่ร้านอีกด้วย กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินของจวนท่านต่างช่วยดูแลเด็กสาวมานานขนาดนี้ ตามหลักแล้วนางควรอยู่ร่วมฉลองปีใหม่กับพวกท่านทางนี้เพื่อช่วยสร้างความสำราญให้พวกผู้อาวุโส แต่หลังปีใหม่นางก็สิบเจ็ดแล้ว ข้ามีสมุดบัญชีบางส่วนอยากให้นางช่วย ได้แต่ต้องทำผิดต่อฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินแล้ว รอปีหน้าพี่สะใภ้นางมาถึงแล้ว ค่อยมาแสดงความขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินที่จวนด้วยตัวเองอีกครั้ง”
หย่งเฉิงโหวกลับเข้าใจว่าเนื่องจากการเกี่ยวดองระหว่างจ่างกงจู่กับตระกูลหวังยังไม่ได้กำหนดออกมาอย่างเป็นทางการ หวังเฉินเห็นว่าน้องสาวกำลังจะแต่งงานแล้ว ทั้งคนที่น้องสาวแต่งงานด้วยยังเป็นจวนเจิ้นกั๋วกงอีก เขาก็เลยอยากเล่นบทคนอบอุ่นใจดี กระชับความสัมพันธ์กับน้องสาวให้ดียิ่งขึ้น จึงต้องการฉลองปีใหม่กับน้องสาว
เขาจึงไม่ค่อยใส่ใจนัก
อย่างไรก็มิได้มีมารดาคนเดียวกัน ต่อให้ดีก็จะดีได้ถึงไหนกัน?
อย่างไรก็ตาม หากเปลี่ยนเป็นตัวเขา คาดว่าเขาก็อาจทำเช่นนี้เหมือนกัน
หย่งเฉิงโหวที่เข้าใจไปเองว่ามองหวังเฉินได้อย่างทะลุปรุโปร่งยิ้มออกมา คิดว่าตัวเองไม่ควรทำให้หวังเฉินต้องลำบากใจ นอกจากตอบรับอย่างยินดีแล้ว ยังถามหวังเฉินว่า “ต้องการให้ข้าไปบอกโหวฮูหยินสักคำหรือไม่ นางนั้นโปรดปรานน้องสาวของเจ้าจริงๆ น้องสาวของเจ้าไม่อยู่ฉลองปีใหม่ที่จวนด้วย นางต้องรู้สึกไม่ค่อยดีเป็นแน่”
หวังเฉินยิ่งรู้สึกดูแคลนหย่งเฉิงโหวมากขึ้น ตอบรับยิ้มๆ ไปสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว หลังจากไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้วก็ออกจากจวนหย่งเฉิงโหวไป
หลังจากเจอหวังเฉินแล้วฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก กล่าวกับโหวฮูหยินว่า “ดีร้ายก็ถือเป็นลุงของเขา เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าของขวัญที่ส่งมาให้ธรรมดาสามัญยิ่งนัก”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วลอบกลอกตามองบน
เจ้าอยากเป็นลุงของผู้อื่น เช่นนั้นก็ต้องวางคำว่าหลานชายจากบ้านเดิมลงก่อน
ไม่ยอมรับผู้อื่น แต่อยากให้ผู้อื่นเห็นเจ้าเป็นลุงจริงๆ ไปเอาความหน้าใหญ่มาจากที่ใดกัน
หลังกลับออกมาแล้วนางเล่าเรื่องนี้ให้หย่งเฉิงโหวฟัง กล่าวว่า “ต้องมีใครไปพูดอะไรต่อหน้าท่านแม่เป็นแน่ เมื่อก่อนถึงแม้ท่านแม่จะหูเบาไปบ้าง ทว่าก็มิใช่คนวิสัยทัศน์ตื้นเขิน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ยุ่งเหยิงมากมาย ท่านดูจวนชิ่งอวิ๋นป๋อปะไร กัดบ้านเดิมของหนิงผินเสียแน่นหนา ยังไม่รู้เลยว่าจะมีเรื่องอะไรระเบิดออกมาอีกบ้าง ฉะนั้นไม่อาจปล่อยให้มีเรื่องเกิดขึ้นในเวลานี้เป็นอันขาด!”
หย่งเฉิงโหวรู้สึกว่าคำพูดของโหวฮูหยินมีเหตุผล จึงมอบอำนาจให้โหวฮูหยิน อ้างว่าข้ารับใช้บางส่วนที่อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว คนที่สมควรปล่อยตัวออกไปก็ควรปล่อยออกไป คนที่สมควรชุบเลี้ยงไว้ก็ควรชุบเลี้ยงเอาไว้ ถือโอกาสไล่คนข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าที่นางรู้สึกระคายเคืองสายตาออกไปบางส่วน แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับดีอกดีใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่านี่คือความเมตตาของตัวเอง ทำเอาซือหมัวมัวต้องระแวดระวังตัวจนไม่กล้าพูดอะไรเลื่อนเปื้อนตามใจชอบอีก
โหวฮูหยินถึงได้รู้สึกภาคภูมิและเป็นสุข หลังยืดตรงขึ้นมาไม่น้อย
กระทั่งถึงเทศกาลล่าปาวันนั้น ยังส่งโจ๊กล่าปาไปให้คุณหนูพานหรือก็คือสะใภ้หลิวในตอนนี้เป็นพิเศษอีกด้วย บอกว่ายามว่างให้สะใภ้หลิวมาเยี่ยมเยียนที่จวนบ้าง ยังกล่าวว่า “ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยยุ่งเรื่องในบ้านสักเท่าไรแล้ว”
สะใภ้หลิวย่อมดีใจแทนป้าของตัวเอง ตอนที่คนข้างกายของหวังซีนำโจ๊กล่าปามาส่งให้สะใภ้หลิว นางยังดึงคนของหวังซีเอาไว้สอบถามเป็นพิเศษอีกสองสามประโยคด้วย นางรู้สึกว่านอกจากหวังซีแล้ว คนจวนหย่งเฉิงโหวล้วนเชื่อถือไม่ได้
คนที่หวังซีมอบหมายให้ไปส่งโจ๊กล่าปาเป็นสตรีออกเรือนที่ฉลาดและพูดจาคล่องแคล่วผู้หนึ่ง นางเลือกเฉพาะส่วนที่พูดได้ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนหย่งเฉิงโหวช่วงที่ผ่านมาให้สะใภ้หลิวฟังอย่างออกรสออกชาติ ทำเอาสะใภ้หลิวที่ไม่ได้ออกไปไหนมาเป็นเวลานานรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย นัดหวังซีไปจุดธูปที่วัดต้าเจวี๋ยในวันที่เก้า
หวังซีไม่รู้ว่าวันที่เก้าจะมีธุระอะไรหรือไม่ จึงไม่กล้ารับปาก ตอบเพียงว่าถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที
นางวุ่นกับการส่งโจ๊กล่าปาไปให้จวนชิงผิงโหวและจวนเจียงชวนป๋อตลอดทั้งวัน
แม้แต่จวนจ่างกงจู่ก็ส่งไปให้ด้วยเช่นกัน
จ่างกงจู่วางของที่ได้รับพระราชทานมาจากวังหลวงไว้ด้านข้าง ให้คนนำโจ๊กล่าปาของหวังซีไปอุ่นมาใหม่แล้วยกเข้ามา
นอกจากถั่วที่มีหลากหลายชนิดกว่าของคนอื่นแล้ว หวังซียังใส่เปลือกส้มลงไปเล็กน้อยตามวิถีปฏิบัติของหมินก่วงทางด้านนี้ด้วย ช่วยกลบกลิ่นเหม็นเขียวของถั่วไปได้
จ่างกงจู่เอ่ยชมว่า “ฉลาด” หลายคำติดกัน ให้ชิงกูไปสอบถามว่าคิดได้อย่างไร
หากไม่มีเรื่องงานแต่งระหว่างหวังซีกับเฉินลั่ว ชิงกูคงจะตรงไปถามหวังซีที่จวนหย่งเฉิงโหวโดยไม่ต้องคิดอะไรมากไปแล้ว แต่ตอนนี้กำลังเจรจาเรื่องงานแต่งกันอยู่ หากนางผลีผลามไปหา ไม่รู้ว่าจะมีคำนินทาอะไรแพร่ออกไปอีกบ้าง
นางจำต้องไปสืบข่าวที่ฉังเคอแทน
ฉังเคอย่อมช่วยพูดให้หวังซีโดยไม่คิดเงินอยู่แล้ว “…มิใช่แค่ฉลาดธรรมดา…ในบ้านก็หาได้มีรสชาติเช่นนี้…ทำอะไรล้วนใส่ใจเป็นพิเศษ มักจะทำได้ดีกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ…เห็นบอกว่าเมื่อก่อนเคยกินถั่วแดงต้มเช่นนี้มาก่อน จึงลองทำดู ผลปรากฏว่าอร่อยจนวางไม่ลงจริงๆ”
จ่างกงจู่จึงพึงพอใจมากเป็นพิเศษ ถามชิงกูว่า “ส่งไปให้เฉินลั่วหรือเปล่า”
…………………………………………………………………