เฉินลั่วไม่เพียงกินโจ๊กล่าปาที่หวังซีทำเท่านั้น ยังกินเกี๊ยวกุ้ง ขนมวุ้นแห้ว ข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัว เผือกหอมทอดและอื่นๆ อีกด้วย
ไม่รู้ว่าอุดมสมบูรณ์กว่าของที่ส่งมาให้จ่างกงจู่มากมายเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้นเฉินลั่วยังรับประทานมื้อเช้าที่สวนร่มหลิวของคุณหนูหวังอีกด้วย
ชิงกูไม่กล้าพูด
บ้านอื่นนางไม่รู้ แต่นางรับใช้จ่างกงจู่มาตั้งแต่เด็ก ติดตามจ่างกงจู่ออกจากวังหลวงไปตระกูลจินจวบจนมาที่จวนเจิ้นกั๋วกง ไม่รู้ว่าประสบเรื่องราวมาแล้วมากมายเพียงใด ก่อนหน้านี้เรื่องของเฉินลั่วกับหวังซียังไม่ถูกเปิดเผยออกมานางจึงไม่ทันได้ตระหนัก กระทั่งจ่างกงจู่หารือเรื่องมงคลกับตระกูลหวังแล้ว เรื่องที่เฉินลั่วมักจะไปขอกินข้าวที่สวนร่มหลิวจะรอดพ้นสายตาของนางไปได้อย่างไร
และทำให้ได้ข้อสรุปด้วยว่าเหตุใดเฉินลั่วถึงไปถูกใจคุณหนูสกุลหวังได้
แต่หากนางพูดออกมา มิเท่ากับว่าเฉินลั่วกับคุณหนูสกุลหวัง ‘ลักลอบคบหากัน’ หรอกหรือ
ที่เฉินลั่วลงเรี่ยวแรงไปมากมาย ทั้งพยายามหว่านล้อมจ่างกงจู่ ก็เพราะกลัวทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูสกุลหวังเสียหาย หากนางพูดออกไป ทำให้เฉินลั่วสูญเสียเรี่ยวแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ คิดว่าเขาให้จุดจบที่ดีแก่นางหรือ
แต่ให้นางปกปิดจ่างกงจู่ นางก็ทำไม่ได้เช่นกัน!
นางได้แต่มองจ่างกงจู่ด้วยความกังวล กล่าวอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า “ได้กินแล้วเจ้าค่ะ”
แต่กินอะไรบ้างและกินที่ไหนนั้น นางไม่อาจพูดออกมาได้จริงๆ
ปกติจ่างกงจู่มิใช่คนละเอียดถี่ถ้วนนัก หรือกล่าวอีกนัยก็คือ นางไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังหรือเข้มงวดกวดขันขนาดนั้น ตรงไหนขาดเหลือสิ่งใด ย่อมมีคนช่วยจัดการให้นาง ต่อให้นางเลินเล่อเพียงใดก็ไม่เกิดข้อผิดพลาด
แต่ครั้งนี้ เนื่องจากนางสนใจหวังซี จึงค่อนข้างใส่ใจเรื่องของนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เลยให้ความสนใจกับคำตอบของชิงกูมากเป็นพิเศษ อีกทั้งชิงกูปรนนิบัติรับใช้นางมาโดยตลอด แค่มองนางก็รู้แล้วว่าชิงกูลำบากใจมากเพียงใด
นางอดรู้สึกสนเท่ห์ไม่ได้
เรื่องที่ทำให้ชิงกูลำบากใจได้มีไม่มากนัก?
หวังซีไม่ได้ส่งไปให้เฉินลั่ว? ไม่น่าเป็นไปได้ เรื่องเกียรติยศหน้าตาประเภทนี้ ต่อให้เด็กผู้นั้นโง่งมเพียงใด ข้ารับใช้ข้างกายนางก็ไม่น่าจะเขลาเพียงนั้น?
เช่นนั้นก็แปลว่าเฉินลั่วก็ได้เช่นกัน อาจจะได้มากกว่านางเล็กน้อย
แต่งภรรยาแล้วลืมมารดา นี่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ จ่างกงจู่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากแต่งภรรยาแล้วเฉินลั่วจะใกล้ชิดกับมารดาเช่นนางมากขึ้น สตรีที่ออกเรือนแล้วก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป นั่นเพราะสตรีมีชะตาต้องลาจากครอบครัวตัวเอง
แต่นี่ก็ไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน
ส่งของให้แม่สามีน้อยกว่าว่าที่สามีในอนาคต เป็นเรื่องที่โจ่งแจ้งเกินไปเล็กน้อย แม้แต่คนโง่ยังทำเรื่องเช่นนี้ออกมาไม่ได้เลย
เช่นนั้นตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้ชิงกูลำบากใจได้มากขนาดนี้?
จ่างกงจู่ไม่อยากบีบคั้นให้ชิงกูลำบากใจ จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กล่าวถึงเรื่องล่าปาขึ้นมา คล้ายกับว่าต้องการจบเรื่องนี้อย่างละมุนละม่อม “พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าวังสักครั้งหนึ่ง เจ้าว่าอากาศเย็นยะเยือกเช่นนี้ ไม่พระราชทานข้าวของมาให้ไม่ได้หรืออย่างไร ข้าต้องเข้าไปขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณอีก ข้ารู้สึกว่าฮ่องเต้กำลังกลั่นแกล้งพวกข้าอยู่!”
มิใช่แค่นางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับของพระราชทานจากวังหลวง หากเป็นพวกขุนนางตราตั้งในราชสำนักเหล่านั้น แค่ส่งฎีกาขึ้นไปก็ได้แล้ว แต่ฮูหยินตราตั้งเช่นนางนี้กลับต้องไปขอบคุณด้วยตัวเอง
ชิงกูโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง พาจ่างกงจู่ไปพักผ่อน
จ่างกงจู่กลับเริ่มแอบสืบเรื่องของเฉินลั่วเงียบๆ เรื่องที่เฉินลั่วมักจะไปขอข้าวกินที่สวนร่มหลิวจึงปกปิดเอาไว้ไม่ได้อีก
นางกรุ่นโกรธยิ่งนัก ถามชิงกูว่า “ข้าไม่มีข้าวให้เขากินไม่มีเสื้อผ้าให้เขาสวมใส่หรืออย่างไร เหตุใดถึงทำตัวเหมือนขอทานเช่นนี้ ผู้อื่นคงคิดว่าข้าเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายไปแล้ว!”
ชิงกูไม่รู้จะพูดอะไรดี
ชุ่ยกูกลับกล่าวเย้าขึ้นว่า “นี่สองครอบครัวยังไม่ได้วางของหมั้นอย่างเป็นทางการเลย ท่านก็ทำเสมือนคุณหนูหวังเป็นบุตรสะใภ้ของตัวเองไปแล้ว ผู้อื่นเอาใจใส่คุณชายรอง ปรนนิบัติเรื่องกินเรื่องดื่มให้เขา ท่านก็ไม่พอใจ แต่ถ้าคุณหนูหวังผู้นั้นไม่สนใจมองคุณชายรองแม้แต่ครั้งเดียว ไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอย่างไร เกรงว่าท่านก็คงรู้สึกว่าคุณหนูหวังปรนนิบัติคุณชายรองไม่ดีอีก”
จ่างกงจู่คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
นางจึงกล่าวเร่งเร้าเรื่องมงคลกับตระกูลหวังขึ้นมา “ยังไม่ได้ข่าวจากทางนั้นหรือ”
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจียงชวนป๋อไปเยี่ยมเยียนหวังเฉิน หวังเฉินบอกว่าเรื่องงานแต่งของหวังซีนั้นต้องเอาไปหารือกับคนที่บ้านก่อน ต้องดูว่าบิดามารดาและท่านปู่ท่านย่าว่าอย่างไรกันบ้าง เรื่องนี้ถึงได้ล่าช้าจนบัดนี้
ชุ่ยกูคิดคำนวณอยู่ในใจ กล่าวว่า “ต้องมีข่าวมาก่อนปีใหม่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” กล่าวอีกว่า “หากตระกูลหวังไม่คิดตอบรับ คงไม่พูดเช่นนั้น และการแต่งงานเป็นคำสั่งของบิดามารดาและการชักนำของแม่สื่อ คงไม่อาจกระทำโดยไม่หารือคนที่บ้าน และนี่ก็คือเป็นมารยาทที่พึงปฏิบัติ กล่าวได้ว่าตระกูลหวังถือเป็นตระกูลดีที่ยึดถือระเบียบปฏิบัติตระกูลหนึ่ง”
ยิ่งคนอย่างพวกเขานี้ สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือกลัวญาติฝั่งภรรยาเป็นตัวถ่วง
จ่างกงจู่พยักหน้าหงึกๆ
เฉินลั่วเองก็ร้อนใจเช่นกัน
เขามักรู้สึกว่าตราบใดที่งานแต่งของตนกับหวังซียังไม่มีกำหนดการที่แน่นอน ก็ยังไม่นับว่าเป็นอันสิ้นสุด
ส่วนฟากหวังเฉินได้รับจดหมายตอบกลับจากสู่จงเรียบร้อยแล้ว พวกเขามีเครื่องมือสุดพิเศษที่ยอดเยี่ยมกว่าตระกูลทำการค้าคนอื่นๆ อยู่หนึ่งอย่างนั่นก็คือมีคนเลี้ยงนกพิราบส่งสารได้ การส่งข่าวสารจึงรวดเร็วกว่าผู้อื่น ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่เรื่องวัตถุดิบยาสมุนไพรนี้ เดินทางจากสู่จงไปเจียงหนาน ไม่รู้ว่าต้องผ่านด่านตรวจมากมายเพียงใด บางครั้งเจ้าที่อยู่ด้านนี้ยังไม่ทันได้รับข่าว ด่านตรวจทางด้านโน้นก็เปลี่ยนคนไปเรียบร้อยแล้ว กระทั่งเรือของเจ้าถึงแล้ว หากไม่กลั่นแกล้งเจ้า ก็หยุดเจ้าเอาไว้ให้เจ้าต่อแถวรับการตรวจสอบตามปกติกว่าหลายวัน แค่นี้ก็เพียงพอให้เจ้าอดรนทนไม่ได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ระยะเวลาที่เขาได้รับจดหมายตอบกลับมาจึงเร็วกว่าที่จ่างกงจู่และเฉินลั่วคาดเอาไว้กว่าครึ่งเดือน
ท่านปู่ของหวังซีคิดเช่นเดียวกับหวังเฉิน ถามแค่ว่าเฉินลั่วจริงใจกับหวังซีหรือเปล่า ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร ถ้าหากไปด้วยกันไม่ได้ ก็แค่พาลูกๆ กลับมาแต่งงานใหม่ที่สู่จงก็ได้แล้ว ส่วนท่านย่าของหวังซีโดยมากแล้วเศร้าใจที่หวังซีแต่งไปอยู่ไกลเกินไป อนาคตกว่าจะได้กลับบ้านเดิมสักครั้งนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย จึงให้หวังเฉินจัดการให้ดี ดูว่าคัดเลือกคนในตระกูลที่ซื่อสัตย์หรือไม่ก็ฉลาดมีความสามารถให้ย้ายมาอยู่ที่จิงเฉิงสักบ้านสองบ้านได้หรือไม่ ภายภาคหน้าจะได้มีคนช่วยดูแลหวังซี
ส่วนบิดาของหวังซี นอกจากถามหวังซีว่าหากมิใช่เฉินลั่วก็จะไม่แต่งด้วยใช่หรือไม่แล้ว ที่เหลือส่วนมากเป็นความเศร้าใจที่บุตรสาวโตเป็นผู้ใหญ่แล้วรู้สึกทำใจไม่ได้ แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าตอนที่หวังซีออกเรือน เขากับพี่ชายรองและมารดาของหวังซีจะมาส่งหวังซีออกเรือนที่จิงเฉิง
มารดาของหวังซีเอาแต่ถามมาในจดหมายว่างานมงคลนี้จวนหย่งเฉิงโหวเป็นคนผูกด้ายแดงให้ใช่หรือไม่
นางเชื่อมั่นในตัวลูกเลี้ยงของตัวเองผู้นี้เป็นอย่างมาก รู้สึกว่าในเมื่อเขาเดินทางมาจิงเฉิงด้วยตัวเอง และเคยเจอเฉินลั่วแล้ว เช่นนั้นงานมงคลนี้ต้องเชื่อถือได้และเป็นงานมงคลที่ดีอย่างแน่นอน นางจึงอยากรู้เพียงว่าบ้านเดิมของตัวเองได้เอาใจใส่ต่องานมงคลนี้หรือไม่เท่านั้น
ส่วนเรื่องวันมงคลและงานหมั้นต่างๆ ของหวังซีนั้น ทั้งสี่คนต่างให้หวังเฉินเป็นคนจัดการ
หวังเฉินไม่ได้ตอบจดหมายของมารดาเลี้ยงและท่านปู่ท่านย่า แน่นอนว่าเพราะเขาเองก็ไม่สะดวกตอบด้วยเช่นกัน เขียนจดหมายตอบกลับไปให้บิดาเพียงคนเดียวเท่านั้น แอบถามบิดาเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องสุขภาพของท่านปู่และท่านย่า ยังถามด้วยว่าพวกท่านมาร่วมงานแต่งของหวังซีที่จิงเฉิงได้หรือไม่
บิดาของหวังซีเองก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน บอกว่าทุกคนกำลังหารือกันอยู่ รอพวกเขาที่อยู่ทางนี้กำหนดวันที่แน่นอนแล้วค่อยว่ากันอีกที ยังบอกเขาด้วยว่า หลังเทศกาลโคมไฟพี่สะใภ้ใหญ่ของหวังซีจะพาหลานชายทั้งสองคนออกเดินทางมาจิงเฉิงด้วย
เมื่อหวังเฉินรู้ว่าต้องทำอย่างไรแล้ว จึงส่งจดหมายตอบกลับไปให้จวนจ่างกงจู่อย่างเป็นทางการก่อนวันปีใหม่เล็กหนึ่งวัน ตกลงร่วมกันว่าหลังเทศกาลโคมไฟทั้งสองครอบครัวจะแลกหนังสือแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็วางของหมั้น
จ่างกงจู่ถึงได้รู้ว่าหวังเฉินซื้อบ้านที่ซอยลิ่วเถียวได้หลังหนึ่ง ยังอยู่ติดกับบ้านของเฉินลั่วอีกด้วย นี่หวังเฉินคงอยากให้หวังซีได้จัดพิธีวางของหมั้นในบ้านของตัวเอง
นางอดประหลาดใจไม่ได้ ถามชุ่ยกูว่า “เจ้าว่าบ้านหลังนั้นอยู่ติดกับบ้านของหลินหลาง? อยู่ทางด้านตะวันออกหรือตะวันตก?”
ชุ่ยกูทำใจดีเข้าสู้พลางตอบว่า “บ้านทางทิศตะวันตกหลังนั้นเจ้าค่ะ”
จ่างกงจู่หัวเราะเสียงดังลั่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
นี่ยังไม่ทันได้แต่งภรรยาเข้าบ้านเลย
บ้านหลังเล็กขนาดห้าทางเข้าที่อยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านเขาหลังนั้น มิใช่บ้านที่ตัวเขาซื้อมาเองเมื่อหลายปีก่อนหรอกหรือ
เพื่อเอาใจพ่อภรรยาแล้ว ถึงกับขายบ้านของตัวเอง
นางหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ชุ่ยกูยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้นางเช็ดน้ำตา เสียงหัวเราะดังกล่าวถึงค่อยๆ จางหายไป แต่สีหน้ายังคงแต้มความยินดีเอาไว้อย่างปิดไม่มิด กล่าวกับชุ่ยกูว่า “บิดาของเขาเป็นคนจิตใจเย็นชา ส่วนข้าก็สนใจแต่ความสำราญของตัวเอง ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ได้ผู้ใดมา เป็นคนให้ความสำคัญกับความรู้สึกผู้หนึ่ง กลัวแต่ว่าเมื่อสะใภ้ผู้นี้เข้าบ้านมาแล้ว จะสร้างเรื่องที่ทำให้คนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีออกมา”
“นี่ก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือเจ้าคะ” ชุ่ยกูรู้สึกว่าเฉินลั่วจัดการเรื่องนี้ด้วยความเอาใจใส่ที่มากเกินไป แต่น้ำคำกลับกล่าวหว่านล้อมจ่างกงจู่ว่า “สุดท้ายแล้วก็ต่อสู้ดิ้นรนเหมือนเด็กทั่วไปผู้หนึ่ง”
“ก็จริง!” จ่างกงจู่ทอดถอนใจ
นางไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนบุตรชายผู้นี้ได้ ยังจะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นอยู่เป็นเพื่อนเขาอีกหรือ!
“ขอเพียงพวกเขาอยู่ด้วยกันได้ ข้าที่เป็นแม่สามีผู้นี้จะว่าอะไรได้” จ่างกงจู่กล่าว ถามชุ่ยกูว่า “เจ้าว่า พอพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ควรให้พวกเขาย้ายออกไปอยู่กันเองดีหรือไม่ เรื่องในจวนหลังนี้ยุ่งเหยิงเกินไป แค่ได้ยินก็ทำให้คนไม่สบายใจแล้ว อีกอย่าง ข้าดูจากท่าทางของเฉินอวี๋นั่นแล้ว อย่างไรก็คงมีชีวิตอย่างแข็งแรงไปได้อีกยี่สิบปี ตำแหน่งซื่อจื่อนี้มีก็เหมือนไม่มี ยังต้องช่วยวิ่งเต้นให้เขาอีกมาก ไม่สู้ให้หลินหลางย้ายออกไป เขาอยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นดีกว่า ขอเพียงอย่าก่อกวนไปถึงเฉินลั่วก็พอ”
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ชุ่ยกูย่อมไม่กล้าตอบ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านลองหารือกับคุณชายรองดูดีหรือไม่ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา” กล่าวอีกว่า “คุณชายรองก็เหมือนท่าน มีความคิดเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ท่านดูอย่างสะใภ้ผู้นี้ ก็หามาได้อย่างดีมิใช่หรือ เขาถูกใจ ท่านเองก็ชอบ”
เป็นเช่นนี้จริงๆ
จ่างกงจู่พยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นถึงเวลาค่อยปรึกษาเขาก็แล้วกัน”
คงเป็นไม่ได้ที่เพิ่งแต่งงานเสร็จก็ย้ายออกไปเลย แต่หลังจากแต่งงานแล้ว อยู่ในจวนได้สักระยะหนึ่งก็ย้ายออกไปได้ เขาเป็นบุตรชายคนรอง ย่อมหาวิธีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเฉินลั่วได้รับแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ เพื่อชดเชยให้บุตรชายคนโตผู้ไร้ประโยชน์แล้ว เฉินอวี๋คงต้องอยู่กับบุตรชายคนโตชั่วคราว เฉินลั่วก็ยิ่งสลัดตัวหนีได้ง่ายดายมากขึ้น
จ่างกงจู่ตัดสินใจได้แล้วก็เฉลิมฉลองปีใหม่อย่างสบายใจ
ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในวังกลับตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่
ไม่รู้ว่าผู้ใดไปเปิดโปงเรื่องที่ญาติผู้พี่ของหนิงผินผู้นั้นนำเงินของท่าเรือที่ค่ายเทียนจินไป เงินจำนวนดังกล่าวไปไหนนั้น เป็นเขาที่ยื่นมือไปจัดการ แต่อยู่ในท้องพระโรง เขาจะพูดได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นคนเอาไป และสุดท้ายแล้วญาติผู้พี่ของหนิงผินผู้นั้นก็ไม่เคยเป็นขุนนางระดับสูงมาก่อน ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ้งจอกเฒ่าอย่างเซี่ยสือ สอบถามเพียงไม่กี่ประโยคก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว รู้จักแต่วิ่งมาขอความช่วยเหลือจากเขาเท่านั้น
ชิ่งอวิ๋นโหวถือโอกาสเหยียบย่ำเขา ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นคนนำเงินดังกล่าวไป เขาไปขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้เพราะอาศัยว่าเขาเป็นญาติผู้พี่ของหนิงผิน ให้ฮ่องเต้เปิดตาข่ายหาทางออกให้เขา
มีญาติผู้พี่เช่นนี้ หนิงผินจะเป็นมารดาของแผ่นดินได้อย่างไร
ฮ่องเต้ปวดเศียรเหลือจะกล่าว
เมื่อก่อนในเวลาเช่นนี้ เฉินลั่วมักจะคอยปกป้องเขา เด็กๆ โกรธกันทะเลาะกันครู่หนึ่งก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่บัดนี้ เฉินลั่วยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีที่บอกว่าไม่เกี่ยวอันใดกับเขา จะหาคนมาไกล่เกลี่ยสักคนก็หาไม่ได้
เขารู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่ลากเฉินลั่วไปลงน้ำ
แต่เสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เรื่องราวเกิดขึ้นมาแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้น
เขาแสร้งทำเป็นไม่สบายออกจากท้องพระโรงไป หลังจากออกมาจากท้องพระโรงแล้วก็เรียกชิ่งอวิ๋นป๋อไปที่ห้องทรงอักษร เปิดอกถามเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาคิดจะทำอะไร
ชิ่งอวิ๋นป๋อเองก็ไม่บ่ายเบี่ยง ทูลถามฮ่องเต้ตามตรงเช่นกันว่าทรงคิดจะทำอะไร
…………………………………………………………..