ฮ่องเต้อยากทำอะไรนั้น คนมีวิสัยทัศน์ในราชสำนักต่างคาดเดาได้หลายส่วน แต่ตอนแรกที่จัดตั้งสภาขุนนาง จัดตั้งมหาบัณฑิต ก็เพื่อคานอำนาจไม่ให้ฮ่องเต้กระทำความวุ่นวาย ขุนนางใหญ่ในสภาจะปล่อยให้ฮ่องเต้ปลดโอรสองค์โตจากชายาเอกและแต่งตั้งโอรสองค์เล็กได้อย่างไร
ดูอย่างองค์ชายสามกับองค์ชายห้า ฮ่องเต้เพิ่งจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ ใต้เท้าหลายท่านในราชสำนักก็เร่งเร้าให้องค์ชายสามกับองค์ชายห้าออกไปปกครองต่างเมือง ฮ่องเต้ลังเลพระทัยเพียงครู่เดียว ฎีกาจากพวกร้องเรียนก็โบยบินเข้าวังหลวงประหนึ่งเกล็ดหิมะแล้ว
เขาไหนเลยจะเอ่ยความนึกคิดที่แท้จริงออกมาจากปากได้?
ชิ่งอวิ๋นป๋อกับฮ่องเต้ยังไม่ถึงเวลาเปิดศึกกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ยังพอมีหน้าตาให้ต้องรักษาเอาไว้อยู่บ้าง เขาย่อมไม่อาจบีบคั้นฮ่องเต้แน่นจนเกินไป หากบีบคั้นแน่นเกินไป อาจทำให้ฮ่องเต้ไม่สนใจอะไรอีก ต้องการแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นรัชทายาทให้ได้ขึ้นมาได้ ถึงเวลานั้นพวกขุนนางใหญ่ในสภาย่อมต้องเรียกร้อง ‘โอรสองค์โตจากชายาเอก’ แม้นองค์ชายรองจะเป็นโอรสจากชายาเอก ทว่าก็มิใช่โอรสองค์โต เบื้องหน้ายังมีองค์ชายใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะแล้วอยู่อีกผู้หนึ่ง สุดท้ายแล้วคนที่เสียเปรียบย่อมเป็นตระกูลป๋อของพวกเขาอยู่ดี
ฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใด ชิ่งอวิ๋นป๋อก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน
แต่ทั้งสองคนจะไม่พูดอะไรกันเลยเช่นนี้ก็ไม่ได้ ขุนนางผู้หนึ่งจะคาดหวังให้ฮ่องเต้ยอมรับความผิดอย่างนั้นหรือ
แต่ชิ่งอวิ๋นป๋อก็ไม่คิดจะตามใจฮ่องเต้เช่นกัน เขากล่าว “องค์ชายสี่เองก็ชันษาไม่น้อยแล้ว แม้แต่องค์ชายห้ายังแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เรียบร้อย หลังปีใหม่ก็ต้องออกเดินทางไปปกครองเมืองแล้ว องค์ชายสี่ชันษาแก่กว่าองค์ชายห้าเสียอีก ก็สมควรแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ไปปกครองต่างเมืองเร็วขึ้นสักหน่อยหรือไม่กระหม่อม?”
เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์ชายในจิงเฉิงที่มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งก็เหลือเพียงองค์ชายใหญ่ องค์ชายรองและองค์ชายเจ็ด
องค์ชายใหญ่อ้างตัวว่าป่วยไปนานแล้ว ทีนี้คนที่จะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทก็มีเพียงองค์ชายรองกับองค์ชายเจ็ดเท่านั้นแล้ว
ก็ดีเหมือนกัน!
ฮ่องเต้รู้สึกว่าจัดการเรื่องนี้ไปทีละอย่างๆ ก็ดีเหมือนกัน
เขาพยักพักตร์ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเมื่อเข้าสู่วสันตฤดู ก็ให้เขากับเจ้าสามและเจ้าห้าออกเดินทางพร้อมกัน”
ส่วนจะให้ไปปกครองที่ไหนนั้นกลับไม่เอ่ยถึง
ดีร้ายสุดท้ายก็ยอมเอ่ยปากทองคำนี้เสียที
ชิ่งอวิ๋นป๋อคิดว่าในเมื่อฮ่องเต้ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว เขาเองก็ไม่อาจบีบคั้นเขาต่อไปได้แล้ว จึงยิ้มกล่าวอย่างรู้จักหยุดในเวลาที่สมควรว่า “เช่นนั้นกระหม่อมจะลองถามองค์ชายสี่ดูว่าเขามีสถานที่ที่อยากไปเป็นพิเศษหรือไม่”
เป็นการเร่งเร้าให้ฮ่องเต้รีบจัดการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ
ฮ่องเต้กลับกำลังคิดเรื่องญาติผู้พี่ของหนิงผินผู้นั้นอยู่ ตรัสขึ้นว่า “คดีของเหยียนเฮ่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ชิ่งอวิ๋นป๋อได้ยินแล้วแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ คิดจะใช้เรื่องไปปกครองต่างเมืองขององค์ชายสี่มาต่อรองแลกเปลี่ยนกับคดีของเหยียนเฮ่า นั่นง่ายดายเกินไปแล้ว
เขากล่าว “ทั้งสามสำนักยังไม่ได้ข้อสรุปเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องการให้ส่งขุนนางใหญ่สักคนไปสอบถามดูหรือไม่กระหม่อม”
หากส่งขุนนางใหญ่ไปสอบถามได้ เขาก็คงส่งไปนานแล้ว
ฮ่องเต้ทรงกริ้วยิ่งนัก ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็นึกถึงเสนาบดีกรมขุนนางขึ้นมา
เขาต้องการทำอะไร ย่อมมีคนยินดีเป็นเบี้ยให้
ฮ่องเต้ไม่วุ่นวายกับเรื่องนี้อีก โบกหัตถ์เบาๆ ให้ชิ่งอวิ๋นป๋อถอยออกไป
ไม่นานเรื่องนี้ก็ลือไปถึงหูของเฉินลั่ว
ตอนนั้นเฉินลั่วกำลังชิมอาหารอยู่ที่เรือนหวังซี
หวังซีทำเป็ดย่าง
อาจเป็นเพราะดินและน้ำ เป็ดและห่านของจิงเฉิงจึงเติบโตได้ดีกว่า แต่ห่านของทางนี้กลับไม่อร่อยเท่าห่านที่ก่วงตง นางอยากกินห่านย่าง แต่ทำอย่างไรก็ทำรสชาติดั้งเดิมออกมาไม่ได้ ตามหากันอยู่ครึ่งค่อนวันถึงได้ค้นพบว่าเป็นเพราะวัตถุดิบนั่นเอง ตอนนั้นนางจึงถามทุกคนว่าที่จิงเฉิงชอบกินสัตว์ปีกอะไร
มีบ่าวชายตอบว่าเป็ด
นางจึงให้คนไปซื้อมาหลายตัว ปรุงตามกรรมวิธีย่างห่านไปสองสามตัว อย่าว่าไปเชียว เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อห่านที่อวบอ้วนแล้ว เนื้อเป็ดแน่นกว่า ถูกปากมากกว่า สุดท้ายทำออกมาได้ไม่เลวเลยจริงๆ
นางตั้งใจจะทำเป็นอาหารจานหลักของคืนข้ามปี
“ข้าคิดว่าใช้ได้” เฉินลั่วกล่าว
เขาชอบจิ้มหนังเป็ดกินกับน้ำตาลทรายขาวยิ่งนัก กรุบกรอบในปากเป็นพิเศษ
ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าหวังซีจะทำน้ำตาลขึ้นมาเอง ขาวราวหิมะ แค่เห็นก็รู้สึกว่าอร่อยแล้ว
หวังซีได้รับกำลังใจมากมาย สั่งการคนครัวว่า “ส่งไปให้หลงจู๊ใหญ่สักสองสามตัว” คิดๆ ดูแล้วเห็นว่าไม่ได้ จึงกล่าวอีกว่า “ต้องกินตอนร้อนถึงจะอร่อย อากาศเช่นนี้ แม้แต่คนยังแข็งได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของกินเลย”
แต่นางยังคงให้บ่าวชายนำไปให้สองสามตัวอยู่ดี ยังกำชับบ่าวชายผู้นั้นด้วยว่า “ไปบอกคุณชายใหญ่สักคำหนึ่ง จากนั้นสร้างเตาตามแบบของพวกเราที่นี่สักเตาหนึ่ง”
นางสร้างเตาตามแบบห้องครัวของท่านปู่ที่สู่จง ท่านปู่ของนางใช้ย่างแป้งนาน ก่อนหน้านี้นางทำเนื้อแกะเสียบไม้ย่าง เมื่อนึกถึงเตาในบ้านขึ้นมา ก็เลยย่างแป้งนานมากินคู่กับเนื้อแกะย่าง
เตาตัวนี้ทำออกมาธรรมดาสามัญยิ่ง แป้งนานที่ย่างออกมาจึงไม่อร่อยเท่าของที่ใช้ในห้องครัวของท่านปู่
ทั้งๆ ที่นางคอยกำกับช่างฝีมือให้ทำตามเตาของท่านปู่แล้ว
หวังซีอดกล่าวกับเฉินลั่วไม่ได้ว่า “เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างหวงของของตัวเอง ท่านปู่ของข้าส่งต่อทักษะการทำการค้าที่ได้รับมาทั้งหมดให้ท่านพ่อของข้า และบอกเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ประจำครัวแก่ข้าแล้วก็จริง แต่สุดท้ายก็ยังปกปิดเรื่องเตาจากข้าเอาไว้อยู่ดี”
ยิ่งเฉินลั่วได้รู้จักปฏิสัมพันธ์กับหวังซีนานขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนสกุลหวังไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านปู่ของหวังซี ตอนนี้ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกใคร่รู้อยากทำความรู้จักเพิ่มขึ้น
เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าออกเรือนท่านปู่ของเจ้าจะมาร่วมงานหรือเปล่า เจ้าบอกว่าสุขภาพของเขายังแข็งแรงดีอยู่มิใช่หรือ ทุกหน้าร้อนยังไปปีนเขาชิงเฉิงหรือไม่ก็เขาเอ๋อเหมยอยู่เลย? พวกเรากำหนดวันแต่งไกลออกไปสักหน่อย แล้วรับท่านปู่กับท่านย่ามาอยู่จิงเฉินสักระยะหนึ่งดีหรือไม่ ทั้งทิวทัศน์และวัฒนธรรมของทั้งสองที่ไม่เหมือนกัน ท่านปู่กับท่านย่าจะต้องรู้สึกสนใจมากเป็นแน่”
หวังซีเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
นางกินเป็ดย่างห่อแผ่นแป้งบางๆ ไปชิ้นหนึ่งแล้วส่งสัญญาณให้ไป๋จื่อนำผ้าร้อนมาให้นางเช็ดมือ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปเขียนจดหมายให้ท่านปู่ที่ห้องหนังสือ จะได้ให้บ่าวชายเอาไปที่ร้านพร้อมกันเลย”
เฉินลั่วพยักหน้า หยิบกล่องชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ กล่าวว่า “นี่เป็นโฉนดที่ดินเล็กๆ สองแห่งที่ชังผิง เจ้าส่งไปให้พี่ใหญ่…เอ่อ พี่ชายของเจ้าด้วยก็แล้วกัน ถึงเวลามอบให้เจ้าใช้เป็นสินเจ้าสาว”
ที่ดินแถบชานเมืองหาซื้อไม่ง่ายเลย หากมิใช่ของราชวงศ์ก็เป็นของตระกูลชั้นสูงร่ำรวย ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลทั้งสิ้น พวกเขาไม่ขาดเหลือเงินทอง จะเอาออกมาขายได้อย่างไร อาจกล่าวได้ว่าเป็นสถานที่ที่ดินมีมูลค่าเท่ากับทองเลยทีเดียว
ต่อให้พี่ชายใหญ่ของนางอยากใช้เงินซื้อให้นางก็มิใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายในระยะเวลาอันสั้น
หวังซีไม่ปฏิเสธ ตอบรับยิ้มๆ ว่า “ได้” ยื่นกล่องดังกล่าวส่งให้ไป๋กั่ว พร้อมกับกล่าวว่า “ถึงเวลาให้เฉินอวี้ไปเอาเงินกับพี่ใหญ่ของข้า”
เพื่อจัดการเรื่องสินเจ้าสาวให้นางแล้วหลายวันมานี้พี่ชายใหญ่ของนางกังวลจนศีรษะขาวโพลนเป็นแน่แล้ว
เฉินลั่วลอบถอนใจอย่างโล่งอก
ไม่เกรงใจเขาถือเป็นเรื่องดี นี่ถึงจะเหมือนคนเป็นครอบครัวเดียวกัน
หวังซีอมยิ้ม กล่าวว่า “ควรส่งเป็ดย่างไปให้จ่างกงจู่ชิมสักสองสามตัวหรือไม่”
ส่งโจ๊กล่าปาไปให้ถือเป็นการส่งตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่การส่งเป็ดย่างไปให้นั้น อย่าว่าแต่เรื่องที่ทั้งสองครอบครัวยังไม่ได้กำหนดเรื่องหมั้นหมายกันเลย ต่อให้หมั้นหมายกันแล้ว แต่การเกี่ยวดองนั้น เงยหน้าแต่งบุตรสาว ก้มหน้าสู่ขอภรรยา ไม่มีเหตุผลที่ฝ่ายหญิงจะต้องประจบสอพลอ นอกเสียจากว่าฝ่ายหญิงจะไม่ต้องการรักษาหน้าตาแล้วจริงๆ ไม่กลัวผู้อื่นติฉินนินทา อย่างไรก็ต้องการส่งไปให้ได้
หากนางจะส่งไปให้ แน่นอนว่าย่อมยืมมือของเฉินลั่วส่งไปให้
เฉินลั่วขานรับยิ้มๆ ว่าดี
หากหวังซีกับมารดาของเขากลมเกลียวกันได้ นั่นย่อมเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว ในกรณีที่เข้ากันไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงทุกคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันก็ได้แล้ว แต่การที่หวังซียินดีแสดงเจตนาดีก่อนเช่นนี้ เขารู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ
เพียงแต่ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้เฉินลั่วไม่เคยกล่าวขอบคุณสตรีมาก่อน เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ก็เลยช่วยเติมชาให้หวังซีแทน
หวังซีย่อมสัมผัสได้ถึงเจตนาดีของเขา แต่การไม่พูดไม่จา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องให้ผู้คนคอยคาดเดาเช่นนี้หาใช่เรื่องดีนัก
ดูทีแล้วเฉินลั่วยังต้องได้รับการสั่งสอนและขัดเกลาดีๆ อีกสักหน่อยถึงจะใช้ได้
หวังซีกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มร่า นางเอ่ยถามถึงเรื่องมงคลระหว่างคุณหนูสี่สกุลถานกับองค์ชายสี่ขึ้นมา “อีกไม่นานก็จะมีงานแล้วใช่หรือไม่ ข้าต้องเตรียมของเติมหีบเจ้าสาวเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว”
ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับคุณหนูสี่ถานแล้ว คุณหนูสี่ถานจะต้องเชิญนางด้วยอย่างแน่นอน
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้องเตรียมล่วงหน้าเอาไว้ ตระกูลถานปรารถนาให้เขารีบไปปกครองต่างเมืองให้เร็วที่สุด เจ้าคอยดูเถอะ เขาต้องได้ออกไปปกครองต่างเมืองเร็วกว่าองค์ชายสามและองค์ชายห้าอย่างแน่นอน”
หวังซีไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ ถามเขาว่า “ข้าจะไปดูบ้านที่ซอยลิ่วเถียวสักหน่อย เจ้าอยากไปด้วยหรือไม่”
พี่ชายใหญ่ของนางมอบหมายเรื่องซื้อบ้านที่ซอยลิ่วเถียวให้นางจัดการ นางจึงต้องไปดูทุกๆ สามถึงห้าวัน
“ได้เลย!” เฉินลั่วไม่ปฏิเสธ
ผ่านพ้นล่าปาไปก็เป็นวันปีใหม่เล็ก บนถนนเนืองแน่นไปด้วยคนมาจับจ่ายซื้อของใช้สำหรับเทศกาลปีใหม่ แต่เมื่อผ่านพ้นวันปีใหม่เล็กไปแล้ว คนทำการค้าเองก็ต้องฉลองปีใหม่เช่นกัน ทุกคนต่างปิดร้านและเริ่มหมอบตัวเลี่ยงความหนาวเย็นอยู่ในบ้านกันแล้ว บนถนนจึงเงียบเหงา นานๆ ทีถึงจะเห็นใครสักคนหนึ่ง
เขากล่าว “ทางด้านนี้เจ้ายังมีงานอะไรที่ยังไม่เสร็จบ้าง”
ตอนนั้นเขาเชิญคนมาเร่งทาสีบ้านไปแล้วหนึ่งรอบ อย่างมากพวกเขาขนของเข้ามาอีกสักหน่อยก็เข้าอยู่ได้แล้ว
หวังซีตอบ “ต้องไปเรียกคนมาสร้างเตา ยังต้องไปหาคนที่ทำเตาตัวนี้ให้ข้ามาช่วยด้วย”
เฉินลั่วไม่เข้าใจ
หวังซีหันไปขยิบตาให้เขา กระซิบที่ข้างหูเขาว่า “หากท่านปู่มา อย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่หนึ่งหนาว ถึงเวลาพวกเรารบเร้าให้เขาย่างแป้งนาน พอเตาใช้งานได้ไม่ดี อย่างไรเขาก็ต้องซ่อมแซมใหม่ ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะได้รู้แล้วว่าเหตุใดเตาของพวกเราถึงทำได้ไม่ดี!”
นางเตี้ยกว่าเฉินลั่วเกือบหนึ่งศีรษะ ตอนกระซิบที่ข้างหูเขานั้นต่อให้เขย่งเท้าขึ้นมาแล้วก็ยังถึงแค่หูเขาเท่านั้น ลมหายใจร้อนพัดผ่านลำคอของเขาให้ความรู้สึกคันยุบยิบ หัวใจราวกับหยุดเต้นไปชั่วขณะ
เฉินลั่วพลันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว คิดว่าถอยออกมาสักสองสามก้าวน่าจะดีกว่า แต่ก็กลัวว่าหากเขาถอยออกมาจะทำให้หวังซีเข้าใจผิดคิดว่าเขาไม่ชอบที่คุยกันเช่นนี้ จึงฝืนต้านความเกร็งของร่างกายเอาไว้ กว่าครู่ใหญ่ถึงมีสาวใช้เด็กนำเสื้อคลุมมาคลุมให้แล้วออกจากประตูหลังของจวนหย่งเฉิงโหวไปพร้อมกับหวังซี
บ้านที่ซอยลิ่วเถียวจัดเก็บเกือบจะเสร็จแล้ว ป้ารับใช้และสาวใช้ที่ซื้อตัวมาสำหรับทำงานหนักเก็บกวาดบ้านเสียสะอาดเอี่ยมอ่อง หวังเฉินยังนำกลอนคู่และอักษรคำว่า ‘โชคดี’ มาติดเอาไว้ด้วย มีแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่และเล็กเสียบดอกท้อสีแดงวางเอาไว้ แม้นในบ้านยังไม่มีคนมาอาศัยอยู่ แต่ก็มีชีวิตชีวา มีบรรยากาศของบ้านที่คนอยู่อาศัยแล้ว
“เหตุใดถึงยังไม่ย้ายมาฉลองปีใหม่ที่นี่?” เฉินลั่วถาม
ถึงเวลาเขาก็จะได้มาไหว้ปีใหม่ด้วย
หวังซีตอบยิ้มๆ ว่า “พี่ใหญ่ข้าบอกว่าต้องการเลือกวันมงคลก่อน จึงให้คนไปคำนวณวันที่ หลังวันที่สิบเก้าเดือนหนึ่งถึงจะย้ายบ้านกัน”
สิ่งสำคัญคือหาได้ยากยิ่งที่หวังเฉินจะได้ฉลองปีใหม่ที่จิงเฉิง จึงอยากพูดคุยและสร้างขวัญกำลังใจให้กับเหล่าหลงจู๊และเสมียนในร้าน
“เช่นนั้นเจ้าอย่าลืมบอกข้าด้วยก็แล้วกัน ข้าจะมาแสดงความยินดีด้วย” เฉินลั่วกล่าว คิดว่าวันมงคลย่อมต้องมีทั้งก่อนปีใหม่และหลังปีใหม่อย่างแน่นอน แต่ตระกูลหวังเลือกย้ายหลังปีใหม่ ต้องเป็นเพราะให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นพิเศษ จึงเลือกวันมงคลวันหนึ่งจากจำนวนนั้น ต่อไปเวลาเขาจัดการเรื่องของตระกูลหวังก็ต้องทำตามระเบียบปฏิบัติของตระกูลหวังด้วยถึงจะใช้การได้
เมื่อกลับมาจากซอยลิ่วเถียวเขาก็เริ่มร่างแผนสำหรับงานหมั้นอย่างละเอียดขึ้นมา ยังไปถามจ่างกงจู่เป็นพิเศษอีกด้วยว่าจะเชิญใครเป็นเถ้าแก่
จ่างกงจู่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง นั่งอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง บนขาคลุมด้วยเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกกำลังจิบชาร้อนอยู่ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไปคุยกับฮ่องเต้เอาไว้แล้ว จะพระราชทานสมรสพระราชทานให้พวกเจ้าในวันมังกรเชิดหัววันที่สองเดือนสอง จากนั้นพวกเราค่อยวางของหมั้นกันอย่างเป็นทางการ ฟากพวกเราข้าเชิญใต้เท้าอวี๋ อวี๋จงอี้เป็นเถ้าแก่ ส่วนพวกเขาเชิญเจียงชวนป๋อเป็นเถ้าแก่”
เฉินลั่วประหลาดใจ
ตระกูลหวังมีตระกูลเซี่ยอยู่เบื้องหลังมิใช่หรือ เหตุใดถึงเชิญเจียงชวนป๋อเป็นเถ้าแก่?
แล้วเจียงชวนป๋อตอบรับเป็นเถ้าแก่ให้ตระกูลหวังได้อย่างไร
หย่งเฉิงโหวทราบเรื่องนี้หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นยังกำหนดวันประกาศราชโองการเป็นวันที่หลังจากตระกูลหวังย้ายบ้านแล้วอีกด้วย ดูแล้วหวังเฉินคงคุยกับจ่างกงจู่เอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
เขาอดกล่าวไม่ได้ว่า “ยังมีอะไรที่ข้าไม่รู้อีกหรือไม่ขอรับ”