ตอนที่ 38 อสูรพิษร้าย

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 38 อสูรพิษร้าย

「ถอยกันเถอะ」

หลังจากรู้ถึงความเป็นไปได้ที่แคลนของเขาจะเจอกับบาซิลิสก์ เพอรี่ก็ตัดสินใจถอนกำลังอย่างไม่ลังเล

สภาพของเขาตอนนี้ไม่หลงเหลือเค้าลางของคนที่หัวเราะอย่างไร้ความเกรงกลัวอีกต่อไป

นี่สินะ การแสดงความเป็นผู้นำของแคลน น่าชื่นชมจริงๆ

「เป้าหมายของเราคือการจับคิจิน การจะไปกำจัดบาซิลิสก์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้างดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยง」

「หัวหน้าถึงจะบอกว่าถอยก็เถอะ แต่เราจะทำได้ยังไงกันล่ะ? 」

เพอรี่หันหน้ามาหาผมด้วยสีหน้าที่จริงจัง

「โซระ ข้าจะไม่ขอให้เจ้าพาทุกคนกลับไปในทีเดียวหรอกนะ แต่อย่างน้อยก็ขอให้พาเจ้าเด็กนี่สักคนกลับไปด้วยได้ไหม? 」

「ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ยังไงหน้าที่ของฉันก็คือการพาพวกนายไปกลับอยู่แล้ว เดี๋ยวฉันจะรีบไปส่งละกลับมารับเท่าเหลือจนครบก็แล้วกัน」

「ไม่ได้ ทำแบบนั้นมันคงจะใช้เวลาพอสมควร แถมภาระมันจะไปตกอยู่กับคนที่ยังเหลือภายในป่า คงจบไม่สวยแน่หากเรายังตั้งหลักกันอยู่ที่เดิมเพื่อรับมือกับการต่อสู้ที่จะมาถึง ไหนจะมีเรื่องของบาซิลิสก์อีก ก็ขอบคุณสำหรับขอเสนอของเจ้านะ แต่พวกข้าคงรบกวนเจ้าแค่เที่ยวเดียวก็พอแล้ว」

「เข้าใจแล้ว」

「เอาละพวกแกทั้งหลาย เตรียมตัวกันให้พร้อมซะ! เอาอุปกรณ์และของที่จำเป็นมา ส่วนน้ำกับอาหารก็พกมาให้พอประทังชีวิต ของมีค่าที่เหลือทิ้งเอาไว้ซะชีวิตของพวกเจ้ามีค่ามากกว่านั้น ยังไงมาสเตอร์ฟีโอดอร์ก็เป็นคนมีเหตุผล หากเกิดเหตุฉุกเฉินเช่นนี้ขึ้นเขาก็คงจะจ่ายค่าชดเชยให้พวกเราได้ นอกจากนั้นพวกเราอาจจะได้เงินเพิ่มจากเรื่องที่เจอบาซิลิสก์ด้วยก็ได้!!」

ทุกคนทำตามที่หัวหน้าแคลนเคียวแห่งยมทูตกันอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมการล่าถอย

เนื่องจากการตัดสินใจที่รวดเร็วของเขา ทุกคนจึงสามารถเริ่มล่าถอยกันได้ก่อนที่บาซิลิสก์จะโผล่ออกมา

สัมภาระส่วนใหญ่ที่พวกเขานำติดมาด้วยก็ถูกทิ้งเอาไว้ เพราะชีวิตของพวกเขามีค่ามากกว่าจะมาเสียดายของพวกนี้ นอกจากอาหารแล้ว พวกเขาทิ้งทั้งสมุนไพรและโพชั่นเอาไว้เยอะพอสมควร

พอเห็นแบบนี้ก็ไม่ต่างจากเรื่องศพของนักผจญภัยที่เสียชีวิตไป ของอะไรก็ตามที่ถูกทิ้งเอาไว้ระหว่างการทำภารกิจ ก็ถือว่าเป็นของที่ใครก็สามารถหยิบกลับไปได้ฟรี แต่ส่วนตัวแล้วผมกะจะคืนมันให้พวกเขาทั้งหมดนี่แหละ ไม่สิ…ถ้าผมจะเอาไปสัก 10% เป็นค่าตอบแทนพวกเขาคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็บอกให้ไวเวิร์นทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

มีมนุษย์สามคนที่กำลังนั่งอยู่บนหลังของไวเวิร์นนอกจากโซระก็มีสมาชิกที่เด็กที่สุดในกลุ่มกับรองหัวหน้าแคลน โดยทางรองหัวหน้านั้นมีหน้าที่ในการแจ้งถึงเรื่องฟุไคและบาซิลิสก์

ส่วนเหตุผลที่เพอรี่เลือกรองหัวหน้ากลับไปรายงานก็เพื่อต้องการให้น้ำหนักของตัวแทนที่ไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นหนักแน่นและเหมาะสม แก่ผู้ว่าจ้างของพวกเขาอย่างฟีโอดอร์

เพราะการปรากฏตัวของบาซิลิสก์มันไม่ใช่แค่เรื่องอย่าง “มีมอนสเตอร์ตัวใหญ่ปรากฏตัว” เฉยๆ

หากป่าทีทิสถูกฟุไคกลืนกินไปจนหมด พรแห่งธรรมชาติที่ประทานให้แก่เหล่ามนุษย์ก็จะหายไป ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพร ไม้ วัสดุต่างๆ จากพวกสัตว์อสูร สิ่งที่จะคอยมาสนับสนุนศรษฐกิจของเมืองอิชกะจะสูญสิ้น

และพวกสัตว์อสูรที่เสียบ้านของพวกมันไปจากฟุไคก็จะไม่อยู่ในป่านั้นเฉยๆ แล้วรอความตายด้วย

กรณีที่เลวร้ายสุดพวกมันอาจจะรวมฝูงบุกเข้ามาโจมตีเมืองอิชกะด้วยก็ได้

และปัญหาหนักที่สุดที่จะเกิดขึ้น

ก็คือแหล่งน้ำภายในป่าทีทิส อย่างแม่น้ำเคลที่เมืองอิชกะใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันจนเรียกได้ว่าคือกระดูกสันหลังของพวกเขา อาจจะเป็นพิษจากฟุไคด้วยก็ได้

สถานการณ์ปัจจุบันจึงค่อนข้างจะพูดได้ว่าเป็นวิกฤติต่อการอยู่รอดของเมืองอิชกะ

ไม่สิไม่ใช่แค่เมืองอิชกะ หากเมืองด่านหน้าอย่างอิชกะที่ควบคุมพวกสัตว์อสูรจากป่าทีทิสและเขาสกิมหายไป อาณาจักรคานาเรียก็จะต้องตกอยู่ในสภาพเหมือนเขื่อนแตก ทั่วทั้งอาณาจักรจะตกอยู่ในความวุ่นวาย

บางทีเพอรี่อาจจะคิดไปไกลถึงตรงนั้นแล้ว เขาก็เลยตัดสินใจให้ทางรองหัวหน้ากลับไปก่อน

พอเป็นแบบนี้ผมก็ทำให้เขาผิดหวังไม่ได้แล้วสิ

ในตอนนี้ไวเวิร์นสามารถบินได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการบินโฉบแบบขึ้นลง หยุดกลางอากาศ หรือดิ่งลงพื้นเพื่อทำการลงจอดบนพื้น

ก็เลยทำให้รู้ว่าพวกมันไม่ได้ใช้แค่ปีกในการบิน แต่มันใช้มานาเพื่อทำการพยุงร่างของมันให้ลอยขึ้นได้ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นมาจากความพยายามของมันเอง ทำให้ผมได้รู้ว่าเจ้าไวเวิร์นตัวนี้ถ้าพยายามมันก็ทำทุกอย่างได้สบายๆ

ทางลูนามาเรียกับชีลก็บอกผมว่าให้ตั้งชื่อมันได้แล้ว แต่ผมยังไม่มีชื่อเหมาะเข้ามาในหัวเลยนี่สิ

ตอนแรกผมพยายามจะเรียกมันว่า ไดโกะ เพราะมันคล้ายกับคำว่าสีครามดี แต่เหมือนมันจะทำหน้าเศร้าๆ พอผมตั้งชื่อนั้นให้

แต่ก็เพราะผมยังคิดชื่ออื่นไม่ออกสักที ดังนั้นผมก็เลยคิดว่า ไวเวิร์นคราม ก็น่าจะเหมาะแล้วมั้ง

ขณะที่ผมคิดอะไรต่างๆ นาๆ ในหัว ร่างของผมก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเห็นสภาพป่าด้านล่าง

จากที่ผมเห็นก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติ…ไม่สิ ตรงป่าทิศเหนือส่วนหนึ่งกลายเป็นสีดำไปแล้ว ไอ้นั่นสินะ ฟุไคที่ว่า

หากคิดอย่างใจเย็นสักหน่อย เรื่องฟุไคที่เกิดขึ้นเพราะบาซิลิสก์นั้นก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของพวกเขาเท่านั้น เพราะยังไม่มีการยืนยันการพบเห็นบาซิลิสก์เลยสักครั้ง

แต่ก็เพราะต้องการให้รายงานมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ผมจึงอยากบินไปเหนือจุดที่เกิดฟุไคขึ้น

แต่ผมก็ต้องหยุดความคิดนั้นเอาไว้

ไวเวิร์นโดยปกติจะสามารถบรรทุกคนให้แค่ 2 คน แต่พอต้องมาขนคนจำนวนมากแบบนี้ ความคล่องตัวของมันจึงลดลงไปมากด้วย

หากผมกับบาซิลิสก์เข้าจริงพวกผมก็อาจจะโดนโจมตีด้วยลมหายใจพิษด้วยก็ได้

ดังนั้นผมจึงสั่งให้มันกลับไปที่เมืองอิชกะแทน

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคำรามเย้ยหยันจากด้านหลังของพวกผมเลยแฮะ

◆◆◆

หลังจากผมพารองหัวหน้ากลับมาถึงเมืองอิชกะ ผมก็รีบมุ่งหน้ากลับไปที่ป่าทีทิสทันที เพราะทางรองหัวหน้ากับฟีโอดอร์ได้ขอร้องให้ผมทำการช่วยเหลือสมาชิกของเคียวแห่งยมทูตที่เหลือ

ผมก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีโดยบาซิลิสก์ ผมจึงไม่สามารถบินในระดับที่ต่ำได้มากนัก แต่ก็เพราะจำเป็นต้องรักษาระดับความสูงไว้ จึงเป็นการยากที่จะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นบนพื้นดิน

สภาพป่าในตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็พบว่าโดนฟุไคกลืนกินไปหมดแล้ว และไม่ว่าผมจะพยายามมองหาพวกเขาขนาดไหน ผมก็ไม่สามารถหาสมาชิกของเคียวแห่งยมทูตที่ควรจะวิ่งไปมาอยู่ภายในป่าได้เลย

ถ้าหากคิดง่ายๆ พวกเขาก็น่าจะต้องอยู่บนเส้นทางที่มุ่งไปทางเมืองอิชกะ

แต่ก็เพราะป่ามันไม่ได้มีถนนเป็นเส้นทางที่กำหนดไว้ชัดเจนเสียหน่อย จึงทำให้ผมไม่สามารถระบุได้ชัดว่าตอนนี้พวกเขาควรจะอยู่ตรงไหนกันแล้ว

บางทีผมอาจจะต้องลองค้นหาไปตามแม่น้ำเหมือนเส้นทางที่ผมเคยเดินก่อนหน้านี้ด้วยก็ได้

แต่ว่าแม่น้ำนี้ก็ไม่ได้มุ่งตรงไปทางเมืองอิชกะเสียเลยทีเดียว จะเรียกว่าเป็นทางอ้อมเลยก็ว่าได้

และถ้าพวกเขาเจอกับบาซิลิสก์เข้าจริงๆ การจะใช้ทางอ้อมแบบนี้ พวกเคียวแห่งยมทูตก็อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้

「…ไม่มีประโยชน์ที่จะมาคิดเยอะแล้ว เอาเป็นว่าลองไปตามที่เดาดูแล้วกัน」

ผมจึงรีบให้ไวเวิร์นลงไปจอดที่ฐานของพวกเขาภายในป่าก่อนเพื่อใช้เป็นจุดตั้งหลัก ในการดูเส้นทางที่มุ่งไปยังเมืองอิชกะจากภายในป่าแทน ถ้าผมวิ่งไปโดยการใช้คิด้วยก็น่าจะพอตามทัน

「นายบินรอข้างบนไปก่อนนะ ถ้าเจออะไรแล้วจะเรียก」

ถึงมันจะทำหน้ากังวลอยู่พักหนึ่ง แต่ผมก็ออกคำสั่งกับมันแล้วลงมาจากอาน

พอมันเข้าใจถึงความเร่งรีบของผมมันก็ทำตามที่ผมสั่งแต่โดยดี

พอผมเห็นมันบินออกไปแล้วผมก็เริ่มทำการค้นหาบ้าง

จากการสังเกตรอบๆ ฐาน พวกของที่ทิ้งไว้ไม่ได้ถูกใครแตะต้อง ต้นไม้และหญ้ารอบๆ ก็ยังไม่เน่าเปื่อยไป

ผมโล่งใจเล็กน้อยเพราะหากที่นี่ถูกทำลายไป ข้างหน้าจากนี้ก็คงจะเลวร้ายยิ่งกว่า

หากที่นี่ยังปลอดภัย ผมก็เดาว่าน่าจะมีโอกาสที่คนของเคียวแห่งยมทูตจะยังปลอดภัยด้วยก็ได้

…แต่แล้วผมก็พบศพเข้าไม่นานนักหลังจากการค้นหาผู้รอดชีวิต

ระยะทางที่ศพนอนตายอยู่ห่างจากฐานไม่กี่นาทีเท่านั้น

สภาพของศพคือถูกละลายจนหน้าหายไปครึ่งหนึ่งและอวัยวะภายในก็ไหลออกมาเห็นได้ชัดเจน

ตอนแรกผมก็คิดว่าพวกเขาอาจจะถูกกิน แต่เหมือนจะไม่ใช่

เพราะของเหลวสีดำแดงกำลังค่อยๆ หลอมละลายร่างกายของพวกเขาจนมีเสียงเผาไหม้ออกมาเหมือนกับการโดนพิษร้ายแรง

จากดวงตาที่เบิกกว้างจากใบหน้าครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ ผมเห็นถึงความประหลาดใจ ความสิ้นหวัง และความเจ็บปวดอยู่ภายในดวงตานั้น

ผมก็อยากจะเดินเข้าไปปิดตาของให้ได้จากไปอย่างสงบหรอกนะ แต่ผมคงจะเข้าใกล้ศพนั่นไม่ได้

จากที่ผมทราบมา พิษของบาซิลิสก์สามารถฆ่าอัศวินด้วยหอกของอัศวินที่โจมตีร่างของมันได้

ผมก็เลยมองว่าไม่เสียหายอะไรหากผมจะระวังและรักษาระยะห่างไว้สักหน่อย

อันที่จริงถึงผมจะคิดว่าถ้าใช้คิคงจะสามารถป้องกันมันไหว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทดลองอะไรแบบนั้นด้วย

หลังจากคำนับให้กับศพนั้นเสร็จผมก็หันหลังและวิ่งต่อ

ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคือบาซิลิสก์จริงไหม แต่เรื่องที่มีมอนสเตอร์ที่มีพิษร้ายนะของจริงแน่นอน

พอเห็นแบบนี้ผมก็คิดไม่ตกซะแล้วสิ

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code