ตอนที่ 209 สองพี่น้องปะทะกัน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 209 สองพี่น้องปะทะกัน

หลินเพ่ยมองอีกฝ่ายด้วยความขยะแขยง เมื่อเห็นหลินม่ายเดินมาหาหล่อนด้วยใบหน้าเย้ยหยัน

ไม่เจอกันไม่กี่เดือน ยัยคนต่ำช้านี่ก็ดูเหมือนจะได้ดิบได้ดี ได้สวมแต่เสื้อผ้าสวย ๆ เหมือนกันด้วย

รูปแบบของชุดดูทันสมัยมาก หลินเพ่ยเคยเห็นมันในนิตยสารเท่านั้น แต่ไม่มีใครในอวิ๋นเจิ้นสวมใส่สักคน

สิ่งที่ทำให้หล่อนรู้สึกทุกข์ใจยิ่งกว่าก็คือยัยชั้นต่ำตัวเล็กๆ นี่ดูขาวขึ้น ขับให้เธอดูสวยขึ้นมาก

ราวกับดอกลิลลี่ที่ค่อยๆ เบ่งบาน สง่างามและเย้ายวนไปทั้งตัว

หลินม่ายกล่าวว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะมีความสามารถมากขนาดนี้ เพิ่งจะถูกโรงเรียนมัธยมอวิ๋นหลายไล่ออกก็เข้าโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้นทันทีเลย”

ผู้ชายที่อยู่ข้างๆหลินเพ่ยได้ยินดังนี้ ก็มองเธออย่างสงสัย

แววตระหนกเล็กน้อยปรากฏในดวงตาของหลินเพ่ย หล่อนแสร้งทำเป็นทักทายอย่างอบอุ่น “เธอนะเธอ ตั้งแต่ถูกครอบครัวสามีไล่ออกจากบ้าน ก็มีความขุ่นเคืองใจอยู่เสมอ มาๆๆ พี่สาวจะเลี้ยงข้าวหมูตุ๋น ได้กินสักหน่อยจิตใจเธอจะได้ดีขึ้นนะ”

หลังจากนั้นก็ผลักหลินม่ายออกไปโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ทิ้งเด็กหนุ่มให้ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง

หลินเพ่ยผลักหลินม่ายไปที่มุมว่างข้างถนน จากนั้นก็หยุดแล้วพูดเคร่งขรึม “แกคิดจะทำอะไร?”

หลินม่ายยิ้มเยาะและพูดว่า “ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไร แค่ต้องการเปิดเผยข้อมูลดำมืดของเธอ เพื่อที่เธอจะได้อยู่ในโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้นต่อไปไม่ได้”

แววเกลียดชังฉายในดวงตาของหลินเพ่ย แต่หล่อนระงับมันอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนท่าทางทำเป็นน่าสงสาร “ม่ายจื่อ ต้องทำยังไงเธอถึงจะปล่อยฉันไป?”

หลินม่ายเลิกคิ้ว “เว้นแต่เธอจะจ่ายค่าชดเชยให้ฉัน ทำให้ฉันละทิ้งความเกลียดชัง ฉันถึงจะปล่อยเธอไป”

หลินเพ่ยเริ่มร้องไห้ “ม่ายจื่อ เธอเห็นไหมว่าตอนนี้เธอมีชีวิตที่ดี และฉันก็มีชีวิตที่แย่มาก เธอยังมีความรู้สึกไม่สมดุลอะไรอีก?”

“ฮิฮิ!”หลินม่ายมองหล่อนอย่างสนุกสนาน “เธอไม่ต้องทำนาทำไร่ มีการศึกษา มีอาหารดีๆ กิน มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ เธอบอกกับฉันว่าเธอมีชีวิตย่ำแย่หรือ เรื่องนี้มันค่อนข้างตลกนะ”

หลินเพ่ยมองไปบนร่างกายของเธอแล้วกระซิบ

“ฉันแค่มีชีวิตที่ดีกว่าสาวชนบททั่วไป แต่ฉันก็ยังล้าหลังเธอมาก ดูสิว่าเธอแต่งตัวเก่งแค่ไหน!”

หลินม่ายยกมือขึ้นตบหล่อนเสียงดัง

เธอทนเห็นหล่อนทำร้ายคนอื่นไม่ได้ แต่หล่อนยังทำเหมือนตัวเองโดนกลั่นแกล้งอีก มันทำให้เธอรังเกียจ!

“นี่มันตรรกะบ้าบออะไรเนี่ย ฉันมีชีวิตที่ดีกว่าเธอ ดังนั้นเธอก็เลยไม่ต้องชดใช้ความผิดที่ทำกับฉันเหรอ?”

หลังจากหลินเพ่ยถูกทุบตีก็ซื่อตรงขึ้นมาก ไม่กล้าพูดพล่ามอีกต่อไป

หล่อนมองไปที่หลินม่ายอย่างอับอายและพูดว่า “ไม่ ไม่ ไม่ใช่ ฉันไม่สามารถชดเชยสิ่งที่ฉันทำกับเธอได้”

หลินม่ายเย้ยหยัน “ท้ายที่สุด ถ้าเธอยังไม่เต็มใจชดใช้ให้กับฉัน งั้นเธอก็รอโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้นไล่ออกแล้วกัน!”

เธอขี้เกียจเกินกว่าจะคุยเรื่องไร้สาระกับหล่อนอีกต่อไป จึงหันหลังกลับและจากไป

หลินเพ่ยรู้สึกกระวนกระวายและคว้าแขนของเธอ “ฉันจะชดใช้ให้เธอ ได้โปรดอย่าให้ฉันออกจากโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้นเลยนะ!”

หลินม่ายหยุดเดินและเหล่มองหล่อน “งั้นเธอวางแผนจะชดใช้ให้ฉันยังไง”

หลินเพ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เธอต้องการให้ฉันชดเชยเธอยังไงเหรอ?”

หลินม่ายยกมือขึ้นแล้วตบหล่อนอย่างแรงอีกครั้ง “ยัยคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย อย่ามาเสียเวลากับฉันถ้าไม่มีความจริงใจ และปฏิบัติต่อใครเหมือนตัวตลก!”

แก้มทั้งสองข้างของหลินเพ่ยบวมแดงขึ้นมา หล่อนขอร้องทั้งน้ำตาว่า “นี่… ฉันจะชดใช้ให้เธอห้าสิบหยวนเป็นค่าตอบแทน ต่อจากนี้ไป เธอจะปล่อยฉันไปไหม?”

หลินม่ายครุ่นคิดแล้วพยักหน้าตกลง

เงินห้าสิบหยวนนั้นไม่ใช่ของหายากสำหรับเธอเลย แต่เธอรู้ดีว่าหากหลินเพ่ยต้องการเงินห้าสิบหยวน หล่อนก็แค่เอาตัวเข้าแลก

และคนที่หล่อนเอาตัวเข้าแลกนี้น่าจะเป็นคนที่พาหล่อนเข้าโรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้น

หลินม่ายต้องการใช้เงินห้าสิบหยวนเพื่อตามหาสุนัขรับใช้คนนั้น

ทั้งสองตกลงเวลาและสถานที่ในการจ่ายเงิน แล้วหลินม่ายก็เดินออกไป

หลินเพ่ยจ้องมองแผ่นหลังของเธอจนหายไปจากสายตา หลังจากนั้นก็หันหลังกลับแล้วจากไป

แท้จริงแล้วหลินม่ายไม่ได้ไปไหนไกล แต่ซ่อนตัวอยู่ในกอไม้ข้างทาง

เมื่อเห็นหลินเพ่ยหันหลังกลับไป เธอก็เดินตามไปอย่างเงียบๆเพื่อดูว่าใครที่หล่อนขอเงินห้าสิบหยวนเพื่อมาชดใช้เธอ

แต่กลับกลายเป็นว่าหลินเพ่ยตรงไปที่ร้านอาหารเล็กๆของรัฐแห่งเดียวในเมือง และผู้ชายที่วางแผนชวนหล่อนกินขาหมูก็กำลังนั่งกินอยู่ในร้าน

หลินม่ายแอบขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้อาจเป็นคนหลินเพ่ยเอาตัวเข้าแลกเพื่อพาหล่อนเข้าเรียน?

แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้กินขาหมู เขาสั่งแค่ผัดเต้าหู้กับข้าวหนึ่งถ้วยเท่านั้น

เมื่อเห็นหลินเพ่ยเข้ามา เขาก็โบกมือให้หล่อนทันที “หลินเพ่ย ฉันอยู่ตรงนี้!”

เมื่อหลินเพ่ยเห็นเขา ใบหน้าก็ฉายแววดีใจ “ฉันแค่ลองมาดู ไม่คิดว่าเธอจะยังอยู่” ว่าแล้วก็เดินไปนั่งตรงข้ามเขา

ฝ่ายชายถามว่าหล่อนกินข้าวหรือยัง

หลินเพ่ยส่ายหน้าและพูดอย่างเขินอาย “ยังไม่ได้กินน่ะ”

ฝ่ายชายสั่งหมูผัดพริกหยวกและข้าวเปล่าเพิ่มหนึ่งถ้วยเพื่อเลี้ยงหล่อน

หลินเพ่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หล่อนมาที่นี่เพราะอยากกินขาหมู แต่คาดไม่ถึงว่าไอ้ผู้ชายคนนี้จะเชื่อถือไม่ได้!

ถึงจะโกรธแต่ก็ต้องยิ้มเข้าไว้

ฝ่ายชายกินข้าวไปสองคำแล้วถามว่า “เมื่อครู่นี้ผู้หญิงที่มาหาเธอคือใครเหรอ ทำไมหล่อนถึงพูดว่าเธอถูกโรงเรียนมัธยมอวิ๋นหลายไล่ออก?”

หลินเพ่ยหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองแล้ว ดังนั้นหล่อนจึงไม่ตกใจแล้วพูดอย่างเสียใจ “น้องสาวของฉันเองน่ะ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ออกเรือน หล่อนอิจฉาที่ฉันมีอนาคตสดใสมากกว่า แต่หลังจากถูกครอบครัวสามีขับไล่ หล่อนก็ยิ่งทนเห็นฉันได้ดีไม่ได้เอาแต่ร้องไห้และกรีดร้องอยู่ที่บ้าน ขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ไม่ให้ฉันไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมอวิ๋นหลาย ดังนั้นฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย้ายมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้น”

ฝ่ายชายแขวะ “น้องสาวเธอนี่มันเลวจริงๆ!”

ในใจเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจหลินเพ่ย

ทั้งสองกินอาหารเสร็จก็ออกมาจากร้านอาหาร

หลินเพ่ยมองไปรอบๆ อย่างใจเย็น เมื่อไม่เห็นหลินม่ายจึงโล่งใจ

หล่อนแยกกับฝ่ายชายเพราะอ้างว่ามีบางอย่างต้องไปทำ

หลินม่ายรอให้หล่อนเดินไประยะหนึ่งก่อน จึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วเดินตามหล่อนต่อไปในขณะที่กินแป้งทอด

หลินเพ่ยระวังตัวมาก ขณะที่เดินอยู่ก็มองไปรอบๆเพื่อดูว่ามีใครตามมาหรือไม่

หล่อนมองซ้ายมองขวาตลอดเวลา เมื่อมาถึงสถานีขนส่งระยะสั้น หล่อนก็ขึ้นรถบัสจากทางประตูหน้า เป็นรถที่มุ่งไปยังเขตอวิ๋นหลาย

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ขึ้นรถจากทางประตูหลัง

ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บค่าโดยสารของหลินเพ่ยที่ประตูหน้า เธอก็นั่งยองๆแถวหลังแสร้งทำเป็นหาของบางอย่าง

หลินเพ่ยซื้อตั๋วรถแล้ว มองไปที่ด้านหลังรถก็ไม่พบอะไร จึงหาที่นั่งแล้วนั่งลงอย่างสบายใจ

เมื่อพนักงานเดินไปด้านหลัง หลินม่ายยังคงแสร้งทำเป็นมองหาบางอย่าง เธอหมอบลงแล้วซื้อตั๋ว

ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลินม่ายแอบตามหลินเพ่ยลงจากรถ

จนกระทั่งตอนนี้ หลินเพ่ยเพิ่งคลายความระมัดระวังลง ไม่ได้มองไปรอบๆแล้ว

หล่อนตรงไปที่อาคารเจ้าหน้าที่ถงจื้อในโรงเรียนมัธยมอวิ๋นหลาย และซ่อนตัวอยู่ใกล้ประตูหอพัก

หลินม่ายทำตัวเป็นนกขมิ้น เธอซ่อนตัวอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรแล้วเฝ้าดูว่าหล่อนกำลังรอใคร

หลังจากนั้นไม่นาน ชายวัยสี่สิบเศษก็เดินออกมาจากหอพักครู

หลินเพ่ยรีบเรียก “ผู้อำนวยหง”

ผู้อำนวยการหงหันหน้ามา และเห็นว่าคือหลินเพ่ย ใบหน้าเขาเขียวด้วยความตกใจ และรู้สึกเสียใจ

ถ้าในตอนนั้นหลินเพ่ยไม่ยั่วยวนเขาและเขาสามารถควบคุมตัวเองได้ เขาคงไม่ถูกนังจิ้งจอกนี่คุกคามอยู่ตลอด

ทั้งยังต้องจัดการให้หล่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมอวิ๋นเจิ้น และต้องจ่ายค่าเล่าเรียนอันสูงลิ่วให้หล่อน

แต่ปัญหาคือ การขู่กรรโชกไม่ได้หยุดแค่นั้น

หลินเพ่ยยังขอให้เขาจ่ายครองชีพให้หล่อนเดือนละห้าหยวน

แม้เขาจะมีเงินไม่มาก แต่เขาก็ไม่อาจอธิบายให้ภรรยาฟังได้ ทุกเดือนเขาต้องระดมสมองโกหกภรรยา ทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รอเธอโดนรวบตัวเข้าซังเตนะนังเพ่ย ถ้าเป็นปีหกศูนย์ก็คือโดนโกนหัวแห่ประจานไปตามถนนแล้ว

ไหหม่า(海馬)