ตอนที่ 179 ปีศาจแห่งท้องน้ำ

ม่อี้ไม่รู้ว่านักพรตเต๋วัยกลางคนได้กระทําเรื่องเลวร้ายไปมากเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วชีวิตของเขาก็จบลงด้วยการโดนชาวบ้านรุมทิ้งจนตาย แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วแต่ศพก็ยังโดนชาวบ้านระบายอารมณ์ใส่ด้วยความโกรธแค้นหูและจมูกของเขาโดนตัดออกมา ดวงตาก็โดนควักออกมาด้วยเช่นกัน

ชาวบ้านเหล่านี้ต่างก็เป็นคนเดียวกับที่คุกเข่าอยู่ก่อนหน้านี้เมื่อความศรัทธากลายมาเป็นความโกรธแค้นทุกๆคนจึงลงมืออย่างเต็มที่ไร้ซึ่งความเมตตาแม้แต่น้อย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทําเช่นไรก็ไม่มีทางเอาชีวิตลูกหลานของตนเองกลับมาได้แน่นอน

หลังจากเรื่องนี้จบลงก็ไม่มีใครเห็นม่อี้หรือเนี่ยนหนิวเอ้อร์อีกเลยและชาวบ้านทุกๆคนต่างก็หลงลืมไปแล้วว่ามีนักพรตเต๋น้อยและเด็กสาวที่ยืนอยู่ที่นี่

“หนิวเอ้อร์ เจ้าโกรธพวกเขาหรือไม่?” ในตอนที่เดินกลับกันนั้นม่อี้ถือร่มเอาไว้ในมือและจูงมือเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไปด้วย

“ไม่โกรธเลย” เนี่ยนหนิวเอ้อร์ส่ายศีรษะแต่น้ำเสียงของนางเบาลงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางเองก็ไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“ทําไมล่ะ? พวกเขาจะส่งเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไปเซ่นสังเวยต่อเทพเจ้าแห่งท้องน้ำเลยนะ” มู่อี้ถาม

“แต่พวกเขาไม่ได้อยากทําแบบนั้น เป็นคนเลวคนนั้นที่หลอกพวกเขา” เนี่ยนหนิวเอ้อร์พูดขึ้นมาหลังจากลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง

“เจ้าพูดถูกแล้วล่ะหนิวเอ้อร์คนเหล่านั้นเป็นแค่คนน่าสงสารเท่านั้น” มู่ลิ้ถอนหายใจออกมา

“อั้ม” เนี่ยนหนิวเอ้อร์พยักหน้าด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

เดิมที่ม่อี้รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อจิตใจของเนี่ยนหนิวเอ้อร์หรือไม่แต่เมื่อได้ฟังคําตอบของนางมู่ก็รู้สึกโล่งอกอย่างน้อยเด็กสาวผู้นี้ก็มีจิตใจที่หนักแน่นกว่าที่เขาคิดเอาไว้

“ท่านนักพรตเต๋ ท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ”พ่อบ้านประจําเรือจ้องมองมาที่ม่อี้และเด็กสาวที่เขาจูงมือกลับมาสายตาของพ่อบ้านเบิกกว้างขึ้นทันทีเขาจําได้ว่าตอนออกไปนั้นมู่อื้ออกไปเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และตลอด 2 วันที่ผ่านมาบนเรือเขาก็ไม่เคยเห็นเด็กสาวคนนี้เลย

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือมู่อี้เพิ่งจะพาเด็กสาวคนนี้ขึ้นมาบนเรือครั้งแรก

เด็กสาวผู้นี้มีรูปร่างหน้าตางดงามและดูสุภาพอย่างยิ่งพ่อบ้านเริ่มคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีการลักพาตัวคนถือเป็นความผิดอาชญากรรมและอาจจะทําให้เขาต้องซวยไปด้วย…

แต่พ่อบ้านก็แค่คิดในใจเท่านั้น เขาไม่ได้พูดความคิดของตัวเองออกไปและตัดสินใจเก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจของตนเองเท่านั้นเรื่องที่เขาเห็นเด็กสาวผู้นี้เขาจะไม่บอกใครเด็ดขาดไม่ว่าจะคิดเช่นไรเขาก็ต้องเสแสร้ง ทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น

“อั้ม” มู่อี้พยักหน้าให้กับพ่อบ้านจากนั้นก็เดินขึ้นไปบนชั้น 2 ของเรือพร้อมกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์แม้ว่าพ่อบ้านจะมีสีหน้าที่ดูแปลกประหลาดแต่เขาก็ไม่สามารถอ่านใจคนได้ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

“ดูเหมือนว่าท่านนักพรตเต๋จะเปลี่ยนไปเล็กน้อยนะ”

หลังจากม่อี้ขึ้นมาบนเรือแล้ว พ่อบ้านก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีและพึมพําออกมาด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อแต่มันยังเร็วเกินไปที่เขาจะคิดเช่นนี้ได้และนี่อาจเป็นเพียงแค่ช่วงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพียงไม่นานของอีกฝ่ายเท่านั้น

“เอาล่ะ ออกเรือได้” พ่อบ้านสายศีรษะจากนั้นก็สั่งคนเรือให้รีบออกเรือทันที แต่สายตาของเขาก็ยังคงจ้องมองอยู่ที่ท่าเรือตลอดเวลาเพราะกลัวว่าจะมีใครไล่ตามมาตามหาตัวเด็กสาวที่ขึ้นเรือมาก่อนหน้านี้จนกระทั่งเรือเคลื่อนตัวออกมาจากฝั่งสักระยะหนึ่งเมื่อไม่เห็นความผิดปกติอะไรพ่อบ้านก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาแล้ว

แม้ว่าการลักพาตัวเด็กสาวคนหนึ่งขึ้นมาบนเรือจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก แต่เมื่ออยู่บนเรือลํานี้แล้วเขามีอํานาจตัดสินใจซะที่ไหนกัน?แม้แต่ศาลาแปดทิศก็ถูกชายหนุ่มผู้นี้ทําลายจนหมดสิ้นแค่ลักพาตัวเด็กสาวคนหนึ่งขึ้นมาบนเรือใครจะทําอะไรเขาได้

พ่อบ้านยังคงปลอบใจตัวเองไปเรื่อยๆ

ม่อี้ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้กลายเป็นคนร้ายที่ลักพาตัวเด็กสาวขึ้นมาบนเรือแล้ว

เมื่อพิธีบูชาเทพเจ้าแห่งท้องน้ำกลายเป็นเรื่องหลอกลวงก็ไม่มีใครขัดขวางไม่ให้เรือแล่นผ่านแม่น้ำอีกต่อไปดังนั้นเมื่อเรือของม่อี้เริ่มเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือก็มีเสียงเรือจํานวนมากที่เริ่มออกจากท่าเรือด้วยเช่นกัน

มู่อี้รู้ดีว่าแม้ว่าพิธีกรรมในปีนี้จะจบลงด้วยความโศกเศร้า แต่ในปีต่อๆไปพิธีบูชาเทพเจ้าแห่งท้องน้ำก็จะถูกจัดขึ้นอย่างแน่นอน มันเป็นเหมือนประเพณีที่ทําติดต่อกันมานานหลายปีและฝังรากลึกในจิตใจของชาวบ้าน ทุกๆคน จะให้มาเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน

มนุษย์มักจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดเสมอ พวกเขาคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านเทพเจ้าแห่งท้องน้ำเลยเป็นนักพรตเต๋วัยกลางคนที่กล้าหลอกลวงต้มตุ้นชาวบ้านทุกๆคนโดยการแอบอ้างชื่อของเทพเจ้าแห่งท้องน้ำเท่านั้น หลังจากนี้พวกเขาก็ยังคงสวดมนต์อ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งท้องน้ำต่อไปและพิธีบูชาจะถูกจัดขึ้นในทุกๆปีเหมือนดังเดิม

พวกเขาโง่หรือเปล่า? แน่นอนว่าไม่ใช่แบบนั้น ผู้มีอํานาจก็ย่อมมีความคิดแบบผู้มีอํานาจ ส่วนชาวบ้านธรรมดาก็ย่อมมีความคิดแบบชาวบ้านธรรมดา

หลังจากเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้ออกมาจากต้นไผ่แห่งชีวิตครั้งนี้นางก็แทบไม่กลับเข้าไปอีกเลยและยังปรากฏตัวให้คนอื่นๆที่อยู่บนเรือได้เห็นบางครั้งในตอนนี้ทุกๆคนที่อยู่บนเรือต่างก็เข้าใจว่ามูได้ลักพาตัวเด็กสาวคนหนึ่ง ขึ้นมาบนเรือด้วย

หลังจากหวังเทาได้รู้เรื่องนี้เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ถ้าหากไม่ใช่องครักษ์ทั้งสองคนคอยเกลี้ยกล่อมเขาคงเข้าไปหาลู่อี้และบอกให้ส่งตัวเนี่ยนหนิวเอ้อร์กลับบ้านไปแน่นอน

แม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แต่เขาก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นนี้และเข้าใจได้ทันทีว่าทําไมสีหน้าของพ่อบ้านถึงดูแปลกประหลาดไปในตอนที่เขากลับขึ้นมาบนเรือ

แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่อี้ก็ส่ายศีรษะทันทีเขากลายเป็นคนผิดโดยไม่อาจแก้ตัวได้เลย

ตอนที่เขากลับมาพร้อมกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์นั้น เดิมทีเขาไม่ได้ตั้งใจปกปิดตัวตนของเนี่ยนหนิวเอ้อร์แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรพูดเรื่องนี้ออกไปหรือไม่เพราะทุกคนที่อยู่บนเรือลํานี้ต่างก็เป็นคนธรรมดาพวกเขารู้เพียงว่ามู่ลี้ลงจากเรือไปคนเดียวและตอนที่กลับขึ้นมาบนเรือนั้นกลับพาเด็กสาวขึ้นมาบนเรือด้วยคนหนึ่ง

เขาซื้อนางมาหรือไม่? หรือว่าเขาลักพาตัวนางมา? แต่ทุกคนกลับคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะพวกเขาต่างก็จดจําฝังลึกในใจว่าม่อี้คือคนที่ชั่วร้ายคนหนึ่ง

และคนที่ชั่วร้ายนั้นก็มักจะทําเรื่องที่ชั่วร้ายอยู่แล้ว ถ้าหากทําเรื่องดีๆเขาก็จะถูกสงสัยว่าตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้จริงๆหรือว่าวางแผนอะไรอยู่เบื้องหลัง

“ตู้ม!”

ในตอนกลางคืนระหว่างที่มอี้กําลังบ่มเพาะจิตใจของเขาอยู่นั้นเรือก็กําลังจอดอยู่ที่ท่าเรืออย่างเงียบสงบปกติแล้วไม่มีใครเดินเรือล่องแม่น้ำเหลืองในยามกลางคืนกันเพราะมันอันตรายอย่างยิ่งและถ้าหากว่าเรืออับปางก็ขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้แน่นอน ดังนั้นช่วงเวลากลางคืนจึงไม่มีใครเดินเรือกลางแม่น้ำและต้องจอดอยู่ที่ท่าเรือเสมอ

แต่อย่างไรก็ตามเสียงกระแทกที่ดังลั่นในตอนนี้ก็ปลุกทุกๆคนที่อยู่บนเรือให้ตื่นขึ้นมาทันที รวมถึงมู่อีกด้วยเช่นกัน

“ตู้ม!”

จากนั้นเสียงกระแทกก็ดังขึ้นมาอีกหลายครั้ง มันเป็นการกระแทกอย่างรุนแรงจนดาดฟ้าเรือก็มีการสั่นอย่างเห็นได้ชัดและข้าวของในห้องลูกเรือต่างก็กระจัดกระจายลงมา

ม่อี้ลืมตาขึ้นมาและขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ในมือ

“ท่านนักพรตเต๋ เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?” เมื่อม่อี้เดินออกมาจากห้องนั้น พ่อบ้านประจําเรือก็คลานอยู่บนนพร้อมกับเสื้อผ้าที่ยังไม่เรียบร้อยของเขา ในตอนนี้สีหน้าของพ่อบ้านดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัดและสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล

“ไม่เป็นอะไร” มู่อี้ส่ายศีรษะหลังจากนั้นก็ตั้งใจฟังสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวใต้เท้าของตนเองร่างกายของเขาก็หายไปจากชั้นที่ 2 ของเรืออย่างรวดเร็ว

พ่อบ้านเห็นมู่อี้หายตัวไปอย่างกะทันหันก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที แต่ก่อนที่เขาจะสงบสติลงได้นั้นเรือก็โดนกระแทกอีกครั้งและมันยังรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้านี้จนทําให้เรือทั้งลําสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรงพ่อบ้านที่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็ล้มลงไปที่พื้นอีกครั้ง

พ่อบ้านไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่างกายตนเองและรีบวิ่งลงไปจากชั้น 2 ของเรือทันที แม้ว่าเรือลํานี้จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแรงแต่ด้วยแรงกระแทกที่รุนแรงก่อนหน้านี้อีกไม่นานคงต้องมีรูขนาดใหญ่เกิดขึ้นข้างลําเรือแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเรือลํานี้ก็จะจมลงสู่ก้นแม่น้ำอย่างรวดเร็ว

เมื่อคิดเช่นนี้แล้วสีหน้าของพ่อบ้านก็ซีดยิ่งขึ้นไปอีก

แม้ว่าในตอนนี้เรือจะจอดเทียบท่าอยู่ไม่ได้แล่นอยู่กลางแม่น้ำแต่ระดับน้ำบริเวณนี้ก็ไม่ถือว่าตื่นเลยเมื่อจมลงไปใต้แม่น้ำแล้ว ด้วยอุณหภูมิของต้นฤดูใบไม้ผลิในตอนนี้ แม้ว่าจะสามารถกู้เรือลํานี้กลับขึ้นมาได้แต่ก็คงไม่สามารถกู้ชีวิตเขากลับมาได้แน่นอน

ในตอนที่พ่อบ้านลงมาถึงชั้นล่างนั้นเขาก็เห็นมู่ลี้ยืนอยู่ที่หัวเรือและถือต้นไผ่เอาไว้ในมือ

“ท่านนักพรตเต๋ ระวังตัวด้วยขอรับ” พ่อบ้านไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาเลยและรับเตือนออกไปทันที แต่เขาลืมไปเลยว่าด้วยความแข็งแกร่งของมู่จะมีใครมาทําอะไรเรือลํานี้ได้งั้นหรือ?

หวังเทาและองครักษ์อีกสองคนก็ก้าวออกมาจากห้องด้วยเช่นกัน องครักษ์ทั้งสองคนของเขาถือดาบเอาไว้ในมืออย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนแบบนี้ต้องเป็นสัญญาณของความผิดปกติและพวกเขาก็ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของพ่อบ้านทั้งสามคนก็เห็นม่อี้ที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือ ในตอนที่ทั้งสามคนรู้สึกสงสัยนั้นมู่อ๋ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วและพวกเขาทั้งสามคนก็เห็นว่าม่อี้แทงต้นไผ่ที่อยู่ในมือลงไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันนั้นสิ่งที่อยู่ใต้ผิวน้ำก็เริ่มโจมตีเรืออีกครั้งแต่ครั้งนี้แรงกระแทกกลับเบาลงไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นการเคลื่อนไหวบนผิวน้ำและไม่ไกลจากหัวเรือนั้นพวกเขาก็เห็นตัวอะไรบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาจากผิวน้ำจนมีหยดน้ำสาดกระเด็นขึ้นมาบนเรือมากมาย

ในตอนนี้แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนโง่แต่ก็รู้ได้ทันทีว่ามู่อี้กําลังโจมตีสิ่งที่อยู่ใต้น้ำตัวนี้ บางทีมันอาจจะเป็นปลายักษ์ปีศาจหรือภูตผีวิญญาณ

แต่พวกเขาล้วนไม่เคยพบเจอกับเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย

“หึ เจ้าสัตว์ร้ายเจ้าเล่ห์” มู่ล้ำสบถออกมาทันที แต่จากนั้นต้นไผ่ที่อยู่ในมือของเขาก็ยกขึ้นมาอีกครั้งและฟาดลงไปบนผิวน้ำทันทีจนเกิดเสียงดังลั่นขึ้นมาคลื่นน้ำที่เกิดขึ้นนั้นทําให้เรือทั้งลําสั่นขึ้นมาทันทีต้องรู้ก่อนว่าเรือลํานี้ใหญ่โตมากพอสมควรเลย แต่ด้วยพลังของคลื่นน้ำเพียงอย่างเดียวกลับทําให้เรือทั้งลําสั่นขึ้นมาได้

แต่ไม่ว่าเรือจะสั่นรุนแรงมากเพียงใดม่อี้ก็ยังสามารถยืนอยู่บนหัวเรือได้อย่างสงบนิ่ง เท้าของเขาเหมือนมีรากที่ยึดติดกับหัวเรือเอาไว้ สายตาของเขายังคงจ้องไปที่การเคลื่อนไหวบนผิวน้ำและต้นไผ่ที่อยู่ในมือของเขาก็ฟาดลงไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนๆมากจนมีน้ำสาดกระเด็นขึ้นมามากมาย

ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ก็กระโดดขึ้นมาจากผิวน้ำทันทีและเพียงแค่ร่างกายท่อนบนของมันก็มีความสูงเท่ากับม่อี้ที่ยืนอยู่บนหัวเรือแล้ว

“ดูสิ นั่นมันอะไรกัน?”

“สัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดยักษ์”

“ปีศาจแห่งท้องน้ำอยู่ที่นี่แล้ว”

บนเรือเกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที ในตอนนี้ทุกๆคนต่างก็หวาดกลัวต่อสิ่งที่ได้เห็นและพวกเขาไม่รู้เลยว่ามันคือตัวอะไรดังนั้นเมื่อไม่รู้จักพวกเขาจึงทําได้เพียงคาดเดากันไปเองเท่านั้นชื่อของสัตว์ประหลาดและปีศาจมากมายที่อยู่ในเรื่องเล่าหรือตํานานต่างก็ถูกพวกเขาพูดขึ้นมาทีละชื่อ

คนเหล่านี้ต่างก็บูชาเทพเจ้าแห่งท้องน้ำด้วยเช่นกันเพื่อหวังว่ามันจะเป็นสิริมงคลแก่ตนเองถ้าหากพูดตามตรงก็เพื่อความปลอดภัยของชีวิตตนเอง

ในตอนที่เรือถูกโจมตีนั้นพวกเขาก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้ว จนกระทั่งตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นสัตว์ประหลาดยักษ์กระโดดขึ้นมาจากผิวน้ำและแสงจากโคมไฟที่แขวนเอาไว้บนเรือก็ทําให้พวกเขาได้เห็นรูปร่างหน้าตาของสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้ ร่างกายของมันเหมือนสวมชุดเกราะทั้งตัว ดวงตาของมันใหญ่โตราวกับถังน้ำร่างกายท่อนบนมีกรงเล็บขนาดใหญ่ 2 อันยื่นออกมาปากของมันเปิดกว้างเผยให้เห็นฟันที่แหลมคมมากมายที่เรียงรายอยู่ภายในนั้น

ขนาดร่างกายของมันใหญ่โตกว่าวัวที่โตเต็มที่เสียอีก และทั้งหมดนี้เกินกว่าสัตว์ประหลาดในจินตนาการของทุกๆคนไปแล้ว

แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นว่าด้านหลังของสัตว์ประหลาดตัวนี้ดูเหมือนจะมีบาดแผลและเลือดก็กําลังไหลออกมาจากบาดแผลนั้น