ตอนที่ 203 เข้าใจผิด

เจตนาเดิมของหลานรั่วถิงคือคิดหาทางหักเงินจากค่าใช้จ่ายอื่นๆ ออกมาเล็กน้อย แต่ในเมื่อซางซูชิงมั่นใจว่าเต้าเหยี่ยคงไม่ว่าอะไร อย่างนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรมากอีก

อันที่จริงแล้ว ที่ซางเฉาจงบอกจะให้เงินหนึ่งหมื่นเหรียญทอง เขาเองก็ค่อนข้างลำบากใจเช่นกัน กลัวให้ไปแล้วจะขายหน้า แต่จังหวัดชิงซานในตอนนี้มีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำการฟื้นฟู ยังจำเป็นต้องใช้เงินอีกมาก เมื่อน้องสาวเสนอตัวจัดการเรื่องนี้ให้ ซางเฉาจงก็อยากจะให้นางรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จๆ ไป จึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ชิงเอ๋อร์พูดมีเหตุผล สตรีอย่างพวกเจ้าพูดคุยสะดวกกว่า ยกให้เจ้าจัดการแล้วกัน”

หลานรั่วถิงเหลือบมองซางเฉาจงแวบหนึ่ง แววตาแปลกไปเล็กน้อย บ่นอยู่ในใจ จะให้ดรุณีแรกแย้มยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งวิ่งไปหาทางนั้นที่เป็นผู้ชายเนี่ยนะ อย่างนั้นเรียกสะดวกหรือ? ท่านไม่กลัวว่าจะทำให้เกิดข่าวลือที่ส่งผลเสียต่อความบริสุทธิ์ของน้องสาวตนบ้างหรือ?

ความเป็นจริงแล้ว ซางเฉาจงไม่รู้สึกกังวลในด้านนี้เลย เนื่องจากน้องสาวของตนรูปโฉมอัปลักษณ์ชวนให้คนตกใจ ไหนเลยจะมีบุรุษมาเกิดความคิดไม่ซื่อได้ และเขาก็ไม่คิดว่าเต้าเหยี่ยจะอดอยากปากแห้งขนาดนั้นด้วย!

แต่แน่นอน ความเชื่อใจในส่วนนี้ก็เป็นเพราะเขาไว้วางใจในตัวหนิวโหย่วเต้าด้วย รู้จักกันมานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นหนิวโหย่วเต้ามีข้อเรียกร้องใดๆ ในเรื่องสตรีเลย ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนของสำนักหยกสวรรค์!

หลังตกลงเรื่องเงินหมื่นเหรียญทองได้แล้ว หลานรั่วถิงก็สั่งให้คนไปเบิกเงินมาทันที

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้ทางนี้จะมีเงินแค่หมื่นเหรียญทองเท่านั้น จะให้นำเงินสดหนึ่งแสนเหรียญทองออกมาเลยก็ยังได้ แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่ได้ทำการวางแผนจัดสรรเอาไว้หมดแล้ว ทำให้เอาออกมาได้ลำบาก ตอนนี้เจียดออกมาส่วนหนึ่ง ค่าใช้จ่ายสำคัญในด้านอื่นๆ ก็ต้องลดลงไป

เมื่อเผิงโย่วไจ้และสมาชิกระดับสูงกลุ่มหนึ่งของสำนักหยกสวรรค์เดินทางมาถึง อีกทั้งยังมีสมาชิกระดับสูงจากอีกสามสำนักด้วย ถ้าไม่ดูแลรับรองให้ดีก็คงไม่ได้ เรื่องนี้ได้ทำให้พวกเขาต้องดึงเอาเงินออกมาจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแล้ว แล้วเวลานี้ยังเอาเงินออกมาอีกหมื่นเหรียญทองอีก

คนของฝ่ายบัญชีมาหา นำสมุดบัญชีมาด้วย

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงหารือกันอยู่พักใหญ่เกี่ยวกับเงินหมื่นเหรียญทองนี้ ความรู้สึกที่เงินเพียงเหรียญเดียวก็เป็นเรื่องใหญ่นั้นช่างไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย หลังหารือกันไปหารือกันมา สุดท้ายก็ตัดสินใจลดงบประมาณกองทัพลง ลดเงินเบี้ยเลี้ยงทหารลงส่วนหนึ่งเป็นการชั่วคราว

ส่วนค่าใช้จ่ายเร่งด่วนบางอย่างนั้นไม่อาจแตะต้องได้จริงๆ เนื่องจากเกี่ยวพันถึงจิตใจของประชาชนในจังหวัดชิงซาน หากจัดการไม่ดีจะเกิดปัญหาวุ่นวายได้

สำหรับตอนนี้ กองทัพยังสามารถควบคุมได้อยู่ แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะกินจะใช้ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น หากปล่อยให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรวมถึงทางบ้านหิวโหย แล้วพวกเขาจะช่วยดูแลจัดการพื้นที่ให้เจ้าได้อย่างไร? ทั้งกองทัพกินข้าวหม้อเดียวกันไม่จำเป็นต้องให้ทหารควักเงินจ่ายเอง ทุกคนยึดพื้นที่จังหวัดชิงซานได้แล้ว ผลประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคตก็มองเห็นแล้ว ไปพูดคุยกับแม่ทัพระดับล่างดีๆ รับปากว่าจะชดเชยให้ทุกคนในภายหลังอย่างแน่นอน จากนั้นก็ได้แต่ต้องให้เหล่าแม่ทัพไปช่วยปลอบขวัญทหารระดับล่างอีกทีหนึ่ง

ซางเฉาจงลงนามในบัญชี หักเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทองออกมาจากรายการงบประมาณของกองทัพ!

ตั๋วแลกทองหนึ่งหมื่นเหรียญแผ่นหนึ่งส่งมาถึงมือหลานรั่วถิง หลานรั่วถิงส่งต่อให้ซางซูชิงอีกที

ซางซูชิงที่ได้รับตั๋วแลกทองมาคาดการณ์ว่าหนิวโหย่วเต้าเพิ่งจะกลับมา คงยังไม่เข้านอนเร็วขนาดนั้น อีกทั้งตอนที่พบกันก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้พูดคุยกับหนิวโหย่วเต้าอย่างเป็นจริงเป็นจังเลย นางจึงคิดใคร่ครวญ ถือตั๋วแลกทองเดินกลับไปยังเรือนด้านหลังจวนผู้ว่าการจังหวัดอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้ายังไม่เข้านอนจริงอย่างที่นางคิดเอาไว้ เขากำลังอาบน้ำอยู่

“ท่านหญิง พระองค์ไปนั่งรอในห้องรับแขกก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ รอให้เต้าเหยี่ยอาบน้ำเสร็จแล้ว อาตมาจะแจ้งให้เขาทราบดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

หยวนฟางที่เฝ้าอยู่ด้านนอกลองถามดู ในวาจาแฝงความลุกลี้ลุกลนไว้หลายส่วน

เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเฮยหมู่ตานมีความสัมพันธ์กับเต้าเหยี่ยอย่างไร เอาเป็นว่าเขาเห็นกับตาว่าเฮยหมู่ตานตามเต้าเหยี่ยเข้าไปอาบน้ำด้วย เข้าไปตั้งนานขนาดนี้แล้วยังไม่ออกมา ชายหญิงอาบน้ำอยู่ด้วยกันเช่นนี้จะยังมีเรื่องดีอันใดได้เล่า?

เขาเองก็กลัวว่าหากคนนอกมาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดี เพราะเฮยหมู่ตานนั้นอายุมากกว่าเต้าเหยี่ยพอสมควร

แต่เขาเองก็ทอดถอนใจอยู่ภายในใจเช่นกัน ด้วยคุณสมบัติของเต้าเหยี่ย อยากจะหาสตรีแบบใดก็ได้ทั้งนั้น ทำไมต้องมาคลุกคลีอยู่กับเฮยหมู่ตานด้วย?

ซางซูชิงยิ้มเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ไม่ต้อง ข้าจะรอเต้าเหยี่ยอยู่ที่นี่”

มาตรว่าจะมอบเงินจำนวนมากให้ไม่ได้ แต่การแสดงความจริงใจยังนับว่าเป็นเรื่องสมควร

“เอ่อ…” หยวนฟางพูดไม่ออก ด้วยสถานะของซางซูชิง ทำให้เขาไม่สะดวกจะไล่อีกฝ่ายไปตรงๆ

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะใช้วิธีการใดในการทำให้ซางซูชิงออกไป เพื่อเลี่ยงไม่ให้เห็นภาพที่ดูไม่ดีเข้า ผู้ใดจะทราบเล่าว่าประตูห้องอาบน้ำกลับเปิดออกมาในเวลานี้พอดี

เฮยหมู่ตานที่มีเรือนร่างอวบอิ่มเดินออกมาก่อน สวมชุดลำลองหลังอาบน้ำเสร็จ เส้นผมที่เปียกชื้นสยายปรกไหล่

หนิวโหย่วเต้าที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จก็สวมชุดลำลองที่แทบจะเป็นแบบเดียวกัน ค่อยๆ เดินตามหลังออกมา

ซางซูชิงที่ยืนอยู่ในลานเรือนมองดูภาพนี้ด้วยความตกตะลึง มองดูชายหญิงที่เห็นได้ชัดว่าเดินออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยกันหลังอาบน้ำเสร็จ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง

ทันใดนั้น! หลังจากได้สติกลับมา หัวใจของซางซูชิงพลันบีบตัวขึ้นมาอย่างรุนแรง รู้สึกเจ็บปวดจนไม่อาจเจ็บปวดไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เจ็บปวดดั่งใจจะแหลกสลาย!

ในเสี้ยวพริบตานี้เอง หัวใจของนางคล้ายว่าถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าอย่างแรง ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและจิตใจ ความรู้สึกที่ถาโถมโจมตีเข้ามาอย่างกะทันหันในครั้งนี้ได้ตอกย้ำสลักลึกเข้าไปในหัวใจของนาง!

นางไม่รู้ว่าเหตุใดหลังจากที่ตนเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วถึงได้มีความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้ ตัวนางที่เฉลียวฉลาดเสมอมากลับลนลานไปชั่วขณะหนึ่ง เรียกได้ว่ามือไม้ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก หันหลังเดินออกไปทันที

หนิวโหย่วเต้าที่เดินมาถึงริมบันไดและกำลังจะก้าวลงมาก็งุนงงไปเล็กน้อยเช่นกัน ผู้หญิงคนนี้ทำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร? เขารีบตะโกนเรียก “ท่านหญิงมีธุระหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงเดินไปพลางตอบไปพลาง “ไม่มีอะไร เป็นชิงเอ๋อร์ที่เสียมารยาท” ไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลย เลี้ยวหายลับผ่านประตูวงเดือนไป

เฮยหมู่ตานที่ยืนอยู่ข้างๆ หนิวโหย่วเต้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ เดินลงบันไดมา เอ่ยถามหยวนฟาง “ท่านหญิงมีธุระใช่หรือไม่?”

หยวนฟางพยักหน้ารับ “ดูเหมือนจะมีธุระบางอย่างขอรับ เมื่อครู่กำลังรอเต้าเหยี่ยอยู่ แต่คาดว่า…” เขาเหลือบมองเฮยหมู่ตายที่ค่อยๆ เดินตามขึ้นมา “แต่คาดว่าจะเข้าใจอะไรผิดไป กลัวจะมาทำลายความสุขของเต้าเหยี่ยเข้า”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองเขาอย่างเย็นชา “เหตุใดนักบวชอย่างเจ้าถึงได้มีความคิดอกุศลมากมายขนาดนี้นักเล่า?”

หยวนฟางบ่นงึมงำ “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? นอกจากคนตาบอดแล้ว ใครบ้างจะมองไม่ออก”

หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมองห้องอาบน้ำ มองดูสภาพของเฮยหมู่ตาน จากนั้นมองดูตัวเอง เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับวาจาของซางซูชิงที่กล่าวเมื่อครู่นี้ คิดๆ ดูแล้วก็น่าจะใช่ อีกฝ่ายอาจจะเข้าใจผิดไปจริงๆ

เพียงแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เข้าใจผิดแล้วก็เข้าใจผิดไป แล้วก็ไม่มีอะไรต้องอธิบายด้วย

เขาคิดว่าซางซูชิงเองก็น่าจะไม่ได้มีธุระเร่งด่วนอะไร มิเช่นนั้นด้วยสติปัญญาของสตรีนางนั้นจะต้องแยกแยะหนักเบาได้แน่ ไม่มีทางรีบหลบเลี่ยงออกไปเพราะความเข้าใจผิดเล็กน้อยแน่ ในเมื่อไม่ใช่ธุระเร่งด่วนอะไรก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนคุยกันยามดึกดื่น พรุ่งนี้เจอหน้ากันแล้วค่อยถามให้ชัดเจนก็ได้

หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินกลับเข้าไป เฮยหมู่ตานที่ติดตามอยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เต้าเหยี่ย ท่านหญิงผู้นั้นต้องตาท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองนางเล็กน้อย คร้านจะตอบคำถามน่าเบื่อเช่นนี้

เขาไม่มีความสนใจใดๆ ในตัวซางซูชิง ไม่เกี่ยวกับว่านางจะงดงามหรืออัปลักษณ์ ต่อให้ซางซูชิงงดงามเหมือนเทพธิดาบนสวรรค์เขาก็ไม่มีความคิดเหลวไหลเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือซางซูชิงยังอัปลักษณ์จนชวนผวา ต่อให้เขาจะไม่ได้มองคนที่รูปลักษณ์ภายนอก หากแต่ให้ความสนใจแต่เพียงจิตใจที่อยู่ข้างใน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ถึงขนาดชอบอะไรแบบนั้นอยู่ดี

หลังจากสังเกตดูปฏิกิริยาของเขา ประกอบกับลองใช้คำพูดหยั่งเชิงดู เฮยหมู่ตานก็นับว่าพอเข้าใจแล้ว เต้าเหยี่ยไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อท่านหญิงผู้นั้น แต่คิดๆ ไปแล้วมันก็ใช่ ท่านหญิงผู้นั้นรูปโฉมน่าหวาดผวาจริงๆ นอกจากฐานะชาติตระกูลแล้ว คาดว่าคงไม่มีบุรุษคนไหนมาชอบพอได้

เฮยหมู่ตานที่เคยผ่านเรื่องอย่างนี้มาแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย ภายในใจลอบถอนใจ นี่ไม่เกี่ยวกับว่างดงามหรืออัปลักษณ์ สตรีคนใดบ้างที่ไม่เคยมีความรักในวัยแรกแย้ม? ก็เป็นแค่สาวน้อยโง่งมอีกคนหนึ่งที่จะต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้เท่านั้น!

ได้แต่หวังว่าสาวน้อยโง่งมนางนี้จะแยกแยะได้ว่าสิ่งที่ตนเองต้องการคืออะไร อย่าได้ถูกความรักที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวในวัยแรกแย้มบดบังดวงตาเลย ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ต้องเจ็บก็คือตัวนางเอง

นางค่อนข้างสงสารและเห็นใจซางซูชิงอยู่พอสมควร เป็นความเห็นอกเห็นใจในฐานะสตรีด้วยกัน ทราบดีว่ารูปร่างหน้าตามีความหมายอย่างไรต่อสตรีนางหนึ่ง รูปโฉมอัปลักษณ์เช่นนี้ยังออกมาพบปะผู้คนอย่างสุขุมเยือกเย็นได้ นี่จะต้องมีความเด็ดเดี่ยวมากขนาดไหนกันถึงจะทำเช่นนี้ได้!

ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น แม้แต่คนอย่างเฟิ่งรั่วหนานที่ไม่เคยเกรงอกเกรงใจซางเฉาจงเลย แต่พออยู่กับซางซูชิงกลับเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนอย่างเป็นมิตร

เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว แทบจะไม่มีสตรีคนไหนที่มองซางซูชิงเป็นภัยคุกคามเลย แล้วก็ยากจะเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาได้ด้วย

อัปลักษณ์สักหน่อย บางครั้งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย

ส่วนตัวซางซูชิงในเวลานี้นั้นหยุดฝีเท้าอยู่ข้างกำแพงที่อยู่ภายใต้เงามืด มือหนึ่งยันกำแพงไว้ ก้มศีรษะลง

นางค่อยๆ ยกมืออีกข้างขึ้น ปลายนิ้วเนียนนุ่มค่อยๆ ลูบไล้ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยรอยปานอัปลักษณ์ของตน ปลายนิ้วสั่นเทา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและน้อยเนื้อต่ำใจในความอัปลักษณ์ของตัวเอง

แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้ถึงทำให้นางสงบใจและตั้งสติขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้!

นางย้อนถามตัวเองดู นี่ตนเป็นอะไรไป? จะปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวมากระทบต่อเรื่องงานได้อย่างไร? กลับไปแล้วจะไปอธิบายต่อเสด็จพี่กับท่านอาจารย์หลานว่าอย่างไร? ทางเสด็จพี่ต้องรอฟังรายงานจากตนอยู่แน่นอน ต้องถามแน่นอนว่าเต้าเหยี่ยมีท่าทีอย่างไร

“ใคร?” เงาร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากมุมกำแพงพลางตะโกนถาม น้ำเสียงแข็งกร้าวเปี่ยมพลัง เต็มไปด้วยความห้าวหาญ!

ผู้ที่มาคือหยวนกังที่พอมาถึงที่เรือนนี้ก็เดินสำรวจตรวจตราสถานที่พักของเต้าเหยี่ยอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเดินมาถึงบริเวณนี้จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตรงมุมกำแพง

“ข้าเอง!” ซางซูชิงยืดตัวขึ้นมาพลางร้องตอบ

เมื่อเห็นนางเอามือยันกำแพงไว้ หยวนกังจึงเดินเข้ามาดู เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านหญิง พระองค์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ไม่สบายหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงใช้ความคิดเล็กน้อย คิดหาวิธีกลับไปจัดการเรื่องงานได้แล้ว จึงตอบไปว่า “เดิมทีมีธุระจึงมาหาเต้าเหยี่ย แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเต้าเหยี่ยจะกำลังอาบน้ำกับเฮยหมู่ตานอยู่ ไปขัดอารมณ์สุนทรีย์ของเต้าเหยี่ยเข้า ก็เลยตกใจรีบเดินออกมา ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ยังไม่ได้จัดการธุระที่เสด็จพี่มอบหมายให้เลย ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี”

หยวนกังได้ยินก็ทราบทันทีว่าเฮยหมู่ตานที่หน้าด้านคนนั้นทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเสียแล้ว เอ่ยไปว่า “ไม่ได้ขัดจังหวะอันใดทั้งนั้นแหละพ่ะย่ะค่ะ ตัวเต้าเหยี่ยเองก็ไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีย์อะไรแบบนั้นด้วย ระหว่างเต้าเหยี่ยกับเฮยหมู่ตานไม่ใช่อย่างที่พระองค์คิด ท่านหญิงคิดมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อมีธุระ ตอนนี้เต้าเหยี่ยน่าจะยังไม่เข้านอน เชิญตามกระหม่อมมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อพบกับหนิวโหย่วเต้าในห้องรับแขกอีกครั้ง ซางซูชิงกลับมาเยือกเย็นและมีสติสัมปชัญญะแล้ว

เฮยหมู่ตานสังเกตดูปฏิกิริยาของนาง แววตาพลันวูบไหวไปมาเล็กน้อย

เมื่อเห็นหยวนกังพาซางซูชิงกลับมา หนิวโหย่วเต้าที่แต่งตัวปล่อยผมสบายๆ ก็ไม่ได้ซักไซ้ถึงเหตุการณ์เล็กน้อยก่อนหน้านี้เช่นกัน ยิ้มแล้วเอ่ยไปว่า “ดูเหมือนท่านหญิงจะมีธุระจริงๆ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“เต้าเหยี่ยล้อกันเล่นแล้ว” ซางซูชิงหยิบตั๋วแลกทองแผ่นนั้นออกมา วางลงบนโต๊ะน้ำชา นิ้วมือเรียวงามดันตั๋วแลกทองไปไว้ด้านหน้าหนิวโหย่วเต้าอย่างแผ่วเบา

หนิวโหย่วเต้ามองมูลค่าที่ระบุไว้บนตั๋วแลกทอง สีหน้างุนงง เอ่ยถามว่า “ท่านหญิงหมายความว่าอย่างไร? ให้กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ที่โบราณว่าไว้ว่ายิ่งจน ความคาดหวังก็ยิ่งน้อยลงนั้นค่อนข้างมีเหตุผลทีเดียว มาตรว่าจะเป็นธิดาของท่านอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ซางซูชิงในยามนี้ก็ยังดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “คนรอบกายเต้าเหยี่ยเองก็จำเป็นต้องใช้จ่าย จนใจที่ตอนนี้จังหวัดชิงซานยังมีอีกหลายด้านที่ต้องฟื้นฟู หวังว่าเต้าเหยี่ยจะไม่รังเกียจเงินจำนวนเล็กน้อยนี้ โปรดรับไว้ก่อน ภายหน้ารอให้เก็บภาษีอากรต่างๆ ได้แล้วจะชดเชยเพิ่มเติมให้”

เอามาให้ตนเองจริงๆ ด้วย! หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่สายตาที่มองตั๋วแลกทองกลับดูแปลกพิกลเล็กน้อย

สายตานี้ของเขาทำให้ซางซูชิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หรือตนจะวิเคราะห์ผิดไป อีกฝ่ายรังเกียจจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

สายตาของหนิวโหย่วเต้าเหลือบมองขึ้นมา เอ่ยถามเนิบๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “สภาพการเงินของจังหวัดชิงซานในตอนนี้ตึงตัวมากหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

……………………………………………………………….