ตอนที่ 204 มือไม้หยาบกระด้าง
ต่อให้เขาไม่ถาม ซางซูชิงก็เตรียมจะอธิบายให้กระจ่างอยู่ดี ตอนนี้เขาถามออกมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอีก จึงพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “ตึงตัวหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะพูดอย่างไร แต่เรื่องที่จำเป็นต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วนนั้นก็มีอยู่หลายเรื่องจริงๆ ทั้งปลอบขวัญกองทัพบำรุงราษฎร ดึงใจผู้คนไว้ ทุกหนทุกแห่งล้วนต้องใช้เงิน”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยติดตลก “หรือว่าไม่ได้ทำเหมือนตอนอยู่ที่อำเภอชางหลู ที่ออกไปปล้นคนรวยช่วยคนจนน่ะพ่ะย่ะค่ะ? จังหวัดชิงซานทั้งจังหวัดใหญ่กว่าอำเภอชางหลูมากนักนะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหมายถึงตอนที่เพิ่งไปลงหลักปักฐานที่อำเภอชางหลู ในตอนนั้นซางเฉาจงได้ปล้นคหบดีในอำเภอมาได้พอสมควร ระดมเงินและเสบียงจำนวนหนึ่งมาได้อย่างรวดเร็ว
ซางซูชิงส่ายหน้า “ใช่ว่าจะไม่มีความคิดเช่นนั้น ทว่าตอนนี้แตกต่างไปจากตอนนั้น ตอนนั้นที่ลงมือได้ เป็นเพราะว่าอำเภอชางหลูไม่มีการป้องกันใดๆ ไม่รู้ว่าเสด็จพี่จะลงมือกะทันหัน แต่จังหวัดชิงซานที่อยู่ในยามศึกสงครามมีสถานการณ์ที่ต่างออกไป คหบดีในท้องถิ่นมีเวลาเพียงพอให้หลบหนีไปล่วงหน้า สิ่งใดนำไปได้ล้วนนำไปด้วย เหลือไว้เพียงทรัพย์สินบางส่วนที่ขนย้ายไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นคฤหาสน์ที่เต้าเหยี่ยพักอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงยึดทรัพย์สินมาไม่ได้มากนัก!”
“ส่วนด้านประชาชน เสด็จพี่ได้เรียกเก็บภาษีจนได้จำนวนตามที่ต้องการไปแล้วรอบหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะการเรียกเก็บภาษีในครั้งนั้น เกรงว่าแม้แต่เงินหนึ่งหมื่นเหรียญทองก้อนนี้ก็ยังเอาออกมาได้ลำบากนัก เสด็จพี่เพิ่งเข้ามาปกครองจังหวัดชิงซาน ประชาชนกำลังจับตาดูเสด็จพี่ด้วยความหวาดระแวงและสงสัย เพิ่งมาถึงก็เคยเรียกเก็บภาษีไปแล้ว หากทำการเรียกเก็บภาษีอีกครั้งหนึ่งทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน เกรงว่าคงรวมใจประชาชนไว้ไม่ได้ หากประชาชนที่ตกใจหลบหนีไปหรือไปให้ความร่วมมือกับทางราชสำนักขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ตามมาคงเลวร้ายเป็นอย่างมาก”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย เขาพอจะนึกภาพออก ที่ทางสำนักหยกสวรรค์ให้การสนับสนุนซางเฉาจงก็เพื่อจะกอบโกยผลประโยชน์ หากยึดพื้นที่มาแล้ว แล้วยังจะให้สำนักหยกสวรรค์เข้ามาช่วยเหลือด้านการเงินอีก นั่นเกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ ที่อีกฝ่ายให้เจ้าเป็นตัวแทนปกครองพื้นที่ ก็เพราะคิดจะหาเงินเข้ากระเป๋า มิใช่จ่ายออกไป
สำนักหยกสวรรค์ทราบว่าทางนี้มีปัญหาลำบาก จึงไม่เรียกเงินจากเจ้าเป็นการชั่วคราว เพียงเท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว แล้วนี่เจ้ายังคิดจะไปล้วงเงินจากกระเป๋าของเขาอีกหรือ?
ยังไม่ถึงขั้นที่หมุนเงินต่อไปไม่ได้เลย เจ้าก็หมดปัญญาเสียแล้ว แบบนี้สำนักหยกสวรรค์จะให้เจ้าปกครองพื้นที่ไปทำไม?
ส่วนทางด้านเฟิ่งหลิงปอนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากจังหวัดชิงซาน แต่กลับต้องส่งกำลังคนและเสบียงมาให้เป็นจำนวนมาก เวลานี้ย่อมไม่มีความสุข เฟิ่งหลิงปอไหนเลยจะยังสนับสนุนเงินทองให้ทางนี้อีก
เรื่องนี้เป็นตนที่เลินเล่อไป! หนิวโหย่วเต้าเงียบไปเล็กน้อย ยื่นมือไปแตะตั๋วแลกทองบนโต๊ะน้ำชา ค่อยๆ ดันกลับไปทางซางซูชิง
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการรับเอาไว้ ซางซูชิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าระมัดระวัง “เต้าเหยี่ยรังเกียจว่าน้อยไปหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “หากว่านี่คือเงินที่เอาไว้ให้พวกกระหม่อมแบ่งกันใช้ล่ะก็ เช่นนั้นเงินจำนวนนี้ก็ถือว่าน้อยไปหน่อยจริงๆ กระทั่งกระหม่อมก็ไม่รู้ว่าควรจะแบ่งให้ทุกคนอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ” ว่าพลางมองไปทางพวกหยวนกังเล็กน้อย
ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธต่อหน้าเข้าเสียแล้ว นี่ทำให้นางไม่รู้จะหาทางลงอย่างไร
บนใบหน้าอัปลักษณ์ของซางซูชิงพลันเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ความรู้สึกเวลาที่เงินในกระเป๋าขาดแคลนมันช่างน่าอึดอัดจริงๆ นางเอ่ยด้วยสุ้มเสียงที่เจือความวิงวอนไว้หลายส่วน “เต้าเหยี่ยมีบุญคุณต่อพวกเราสองพี่น้องมากนัก หากไม่มีเต้าเหยี่ยพวกเราสองพี่น้องก็คงไม่มีวันนี้ พวกเราเองก็ทราบดีว่าเงินจำนวนนี้มันน้อยเกินไป ทว่าตอนนี้ทางเราลำบากมากจริงๆ เอาไว้จังหวัดชิงซานค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาได้แล้ว พวกเราย่อมต้องชดเชยให้เต้าเหยี่ยตามสมควรอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้…”
หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามพลางเอ่ยขัดว่า “ท่านหญิงเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของกระหม่อมคือท่านหญิงประเมินแซ่หนิวต่ำไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ขาดแคลนเงินจำนวนน้อยนิดเช่นนี้เลย”
ว่าแล้วก็หันไปกวักมือเรียกหยวนกัง “มอบเงินสองแสนเหรียญทองให้ท่านอ๋องไว้ใช้จัดการเหตุฉุกเฉินก่อนเถอะ”
หยวนกังไม่พูดไม่จา หยิบตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมา นับออกมายี่สิบใบ เดินเข้ามาหาซางซูชิงที่ตกตะลึงอยู่ วางตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญทองจำนวนยี่สิบใบไว้ตรงหน้าซางซูชิง จากนั้นถอยกลับไปอีกครั้ง
ซางซูชิงมองตั๋วแลกทองปึกนั้นด้วยความตกตะลึง จากนั้นเงยหน้ามองหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง แววตาซับซ้อนยิ่ง
หนิวโหย่วเต้าผายมือพลางเอ่ยว่า “เงินสองแสนเหรียญทองนี้ ท่านหญิงโปรดเป็นตัวแทนนำไปให้ท่านอ๋องใช้จ่ายสำหรับเหตุฉุกเฉินเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
สำหรับเขาแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้กลุ่มอิทธิพลอื่นมาบงการซางเฉาจงไปตลอด เพราะแบบนั้นจะไม่เป็นผลดีต่อความปลอดภัยของเขา เขาสิ้นเปลืองความคิดจิตใจช่วยเหลือและสนับสนุนซางเฉาจงขึ้นมา เขาไม่ได้ทำเพื่อสองพี่น้องตระกูลซางเท่านั้น แต่ทำเพื่อความปลอดภัยในปัจจุบันนี้ และนับจากนี้ไปจนถึงในอนาคตด้วย เพื่อเป็นหลักประกันให้คนที่ติดตามและทำงานรับใช้เขาเหล่านั้น
ดังนั้น ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะชิงอำนาจบงการซางเฉาจงมาจากสำนักหยกสวรรค์ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาลงมือเท่านั้น ในเมื่อทางสำนักหยกสวรรค์ไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีก
ซางซูชิงพลันรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าต่อหน้าผู้คน นำเงินหมื่นเหรียญทองมาให้อีกฝ่าย ทว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการ ซ้ำยังมอบเงินสองแสนเหรียญทองให้ทางนี้ไว้ใช้คลี่คลายวิกฤตแทนด้วย
นี่คือผลลัพธ์ที่นางไม่เคยนึกถึงมาก่อน ทำให้นางรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก!
ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา สีหน้ายิ่งดูบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ นางลุกขึ้นยืน กัดฟันขบริมฝีปาก
ไม่ทันที่นางจะพูดอะไร หนิวโหย่วเต้าก็ทราบถึงความคิดของนางแล้ว จึงโบกมือพลางเอ่ยว่า “ท่านหญิงอย่าได้เข้าใจผิดไป เงินจำนวนนี้กระหม่อมมอบให้ท่านอ๋องหยิบยืมชั่วคราว มิได้ให้เปล่าๆ วันหน้าหากมีเงินแล้วค่อยนำมาคืนกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ยามนี้การเงินของจังหวัดชิงซานอยู่ในสภาวะขัดสน หาหยิบยืมใครไม่ได้เลย เวลานี้มีคนยินดีเสนอเงินให้ยืมโดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดใดๆ ยังจะถือศักดิ์ศรีไม่รับไว้อยู่อีกหรือ?
แม้ว่าซางซูชิงจะไม่ต้องการ แต่ความจริงที่เผชิญอยู่ในตอนนี้ทำให้นางยากจะปฏิเสธได้
สุดท้ายก็ยอมรับไว้ด้วยความรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อนางกลับไปถึงจวนผู้ว่าการจังหวัดที่อยู่ส่วนหน้า ก็มีคนนำทางนางไปที่ห้องหนังสือของท่านอ๋องทันที ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงกำลังรอนางอยู่ที่ห้องหนังสือ
เมื่อพบหน้ากัน ซางเฉาจงเห็นว่าสีหน้าซางซูชิงดูผิดปกติ จึงรีบถาม “ชิงเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ซางซูชิงล้วงตั๋วแลกทองหมื่นเหรียญทองออกมาจากในแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะหนังสือ
หลานรั่วถิงและซางเฉาจงมองหน้ากัน ซางเฉาจงลองถามดู “เขารังเกียจว่าน้อยไปหรือ?”
ซางซูชิงล้วงตั๋วแลกทองอีกปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะ
หลานรั่วถิงและซางเฉาจงตะลึงงัน หลานรั่วถิงหยิบตั๋วแลกทองมานับดู เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “สองแสนเหรียญทอง? ท่านหญิง นี่มันเรื่องอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”
“เต้าเหยี่ยทราบว่าการเงินของทางนี้กำลังขัดสน จึงมอบตั๋วแลกทองสองแสนเหรียญทองให้พวกเรายืมมาใช้จัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน…”
หลังจากซางซูชิงบอกเล่าเรื่องราวออกมาคร่าวๆ ภายในห้องหนังสือก็ตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซางเฉาจงก็เอ่ยพึมพำว่า “เขาไปเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน?”
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้สำนักหยกสวรรค์สอบถามข้าว่าทราบเรื่องที่เขาปล้นร้านค้าของสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสในเมืองไจซิงหรือไม่ เกรงว่าเงินนี้คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น เพียงแต่ทั้งสามสำนักก็ยังมาสวามิภักดิ์กับทางเรา เรื่องบุญคุณความแค้นในส่วนนี้พวกเราไม่ทราบแน่ชัด แล้วก็ไม่รู้ว่าเต้าเหยี่ยจัดการอย่างไร”
ซางเฉาจงเงียบไปเล็กน้อย จู่ๆ พลันเงยหน้าแล้วถอนใจว่า “ดูเหมือนเขาจะไม่ขาดอะไรเลย แล้วข้ายังจะมอบสิ่งใดให้เขาได้อีก?”
หลานรั่วถิงและซางซูชิงก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ล้วนเข้าใจความรู้สึกที่ไร้ซึ่งสิ่งใดจะตอบแทนของเขาได้ คนอื่นมีแต่จะมารีดเอาผลประโยชน์จากทางนี้ แต่เต้าเหยี่ยกลับมีแต่ให้ ตั้งแต่แรกเริ่มจนมาถึงตอนนี้ไม่เคยได้รับประโยชน์ใดจากพวกเขาเลย
…..
เช้าวันรุ่งขึ้น หยวนกังใช้สองมือโหนราวไม้ อาศัยแรงคว้าจับจากแขนทั้งสองข้างโหนดึงตัวอยู่ครู่ใหญ่ ซึ่งนี่ก็เป็นการฝึกฝนแรงคว้าจับของมือทั้งสองข้าง
สมณะวัดหนานซานหลายรูปกำลังทำความสะอาดลานเรือน กวาดพื้นอยู่
ในอดีตก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้แค่หวนคืนสู่สภาวะปกติเท่านั้น
เรื่องพื้นฐานในชีวิตประจำวันของหนิวโหย่วเต้าส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าสมณะกลุ่มนี้คอยจัดการให้ นับตั้งแต่ทดสอบพิษในอาหารการกินของทุกวัน ซักล้างเสื้อผ้า ไปจนถึงสุขอนามัยของสภาพแวดล้อมที่พักอาศัย ทุกอย่างล้วนได้รับการดูแลจัดการโดยเหล่าสมณะวัดหนานซาน
และนี่ก็เป็นความคิดของหยวนกัง ชีวิตประจำวันของทางหนิวโหย่วเต้า หยวนกังได้จัดสรรทุกขั้นตอนเอาไว้อย่างละเอียดแล้ว ให้สมณะเหล่านี้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ให้คนนอกสอดมือเข้ามายุ่ง จุดประสงค์หลักคือทำเพื่อความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต้า ไม่ปล่อยให้คนที่มีเจตนาร้ายมีโอกาสลงมือได้
ในช่วงรุ่งอรุณอันเงียบสงบ เฮยหมู่ตานเดินเข้ามาท่ามกลางเสียงกวาดพื้น เดินไปหยุดหน้าประตูห้องหนิวโหย่วเต้าแล้วเคาะประตู หลังจากได้รับอนุญาตก็เปิดประตูเข้าไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฮยหมู่ตานเปิดหน้าต่างหลายบานจากภายในห้องหนิวโหย่วเต้า
หยวนกังที่ดึงข้ออยู่บนราวไม้หันไปมอง มองผ่านหน้าต่างเข้าไปเห็นหนิวโหย่วเต้านั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เฮยหมู่ตานเริ่มหวีผมให้หนิวโหย่วเต้า
และในเวลานี้เอง ซางซูชิงก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน นางส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้เหล่าสมณะที่หยุดกวาดพื้นเพื่อทำความเคารพ แล้วก็พยักหน้าทักทายหยวนกังที่ดึงข้ออยู่บนราวไม้ด้วย
จากนั้น หลังจากมองผ่านหน้าต่างเข้าไปเห็นภาพที่เฮยหมู่ตานกำลังหวีผมให้หนิวโหย่วเต้าอยู่ ฝีเท้าของซางซูชิงพลันหยุดชะงัก มองดูด้วยความตกตะลึง
นางย่อมมาที่นี่เพื่อทำเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา เมื่อก่อนล้วนเป็นนางที่รับหน้าที่จัดการหวีผมให้หนิวโหย่วเต้ามาโดยตลอด ยามนี้หนิวโหย่วเต้ากลับมาแล้ว นางจึงตั้งใจจะทำเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา
ก่อนจะมา นางก็ลังเลเช่นกันว่าจะมาดีหรือไม่ เพราะเวลานี้ข้างกายหนิวโหย่วเต้ามีเฮยหมู่ตานที่มีความสัมพันธ์ทำนองนั้นอยู่แล้ว นางรู้สึกลังเลสับสนอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายถึงได้ตัดสินใจมา ผลคือได้มาเห็นภาพที่ทำให้ตนต้องก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ ดวงตาฉายแววเศร้าสร้อยเสียใจ พบว่าการที่ตนมาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไร้ประโยชน์จริงๆ ด้วย อีกทั้งยังรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรจะเดินเข้าไปหรือหันหลังจากไปดี
เดิมนางคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของตัวเองดีแล้ว สามารถคิดตกและเผชิญหน้าอย่างสุขุมได้ แต่หลังจากได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตัวเอง นางพบว่าภายในใจของตนยังคงรับไม่ไหวอยู่ดี
“ฮ้า!” หยวนกังที่ดึงข้ออยู่พลันพ่นลมหายใจออกมา ตัวคนพลิกตีลังกาอยู่บนราว
หนิวโหย่วเต้าที่นั่งตัวตรงหลับตาอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งลืมตาขึ้น เฮยหมู่ตานที่กำลังหวีผมให้เขาอย่างตั้งใจก็เงยหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่างเช่นกัน
ในเวลาเดียวกับที่ทั้งสองมองเห็นความเคลื่อนไหวของหยวนกัง พวกเขาก็มองเห็นซางซูชิงที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ในลานเรือนด้วย
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองหยวนกังที่กระโดดลงมาจากราวแล้วก้าวอาดๆ เดินออกไปด้วยสายตาลุ่มลึก หันไปสั่งการเล็กน้อย “ไปเชิญท่านหญิงเข้ามาเถอะ”
เฮยหมู่ตานหยุดมือ วางหวีลงแล้วเดินออกไป เชิญซางซูชิงเข้ามาโดยเร็ว
“ท่านหญิงมีธุระใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ซางซูชิงตอบอย่างนุ่มนวล “มาดูว่าเต้าเหยี่ยเคยชินกับที่อยู่ใหม่หรือไม่”
หนิวโหย่วเต้าร้องอ่อคำหนึ่ง เอ่ยว่า “กระหม่อมนึกว่าท่านหญิงจะมาหวีผมให้กระหม่อมเสียอีก”
ซางซูชิงมองเฮยหมู่ตานเล็กน้อย กล่าวว่า “มีพี่หมู่ตานทำแทนแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาชิงเอ๋อร์ที่มือไม้หยาบกระด้างแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “นางน่ะหรือ? นางต่างหากที่มือไม้หยาบกระด้าง สู้พระองค์ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฮยหมู่ตานกลอกตาใส่ทีหนึ่ง ลอบด่าอยู่ในใจว่าจะขอบคุณกันสักคำไม่มีเลย ข้ารับใช้ท่านมานานขนาดนี้ กลับได้มาแค่เพียงคำว่ามือไม้หยาบกระด้างอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าไปเตรียมน้ำล้างหน้าเถอะ” หนิวโหย่วเต้าหันไปสั่งเฮยหมู่ตาน
“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานตอบรับแล้วเดินออกไป
ภายในห้องเหลือเพียงคนสองคน ท่ามกลางความเงียบ หนิวโหย่วเต้าที่ผมยังหวีได้ไม่เรียบร้อยค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง
ซางซูชิงที่ไม่รู้ว่าควรจะไปหรือควรจะรั้งอยู่ขบริมฝีปากที่อวบอิ่มเล็กน้อย ค่อยๆ เข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบหวีขึ้นมาแล้วเดินไปด้านหลังหนิวโหย่วเต้า หวีผมให้อย่างตั้งใจ
ไม่จำเป็นต้องมองว่าเป็นใคร เมื่อสัมผัสกับความรู้สึกผ่อนคลายที่คุ้นเคยนี้ ต่อให้หนิวโหย่วเต้าหลับตาอยู่ก็ยังทราบได้ว่าเป็นซางซูชิง สัมผัสแตกต่างจากเฮยหมู่ตานอย่างสิ้นเชิง เส้นผมแต่ละเส้นล้วนสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนใส่ใจ เป็นความรู้สึกผ่อนคลายที่ดำเนินไปอย่างเงียบๆ
ส่วนตอนที่เฮยหมู่ตานหวีผมให้มักจะเกี่ยวผมเขาขาดหลุดออกไปหลายเส้นเสมอ แต่กลับไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับซางซูชิงเลย นางมีแต่จะทำให้เขารู้สึกว่าการหวีผมนั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
…………………………………………………………..