ตอนที่ 205 ดูหมิ่น

อันที่จริง ในตอนแรกหนิวโหย่วเต้ารู้สึกว่าการไว้ผมยาวเช่นนี้ยุ่งยากนัก เขาถึงได้ผูกผมเป็นหางม้าอย่างง่ายๆ แต่ก็เป็นซางซูชิงที่ทำให้เขารู้สึกว่าการเกล้าผมก็เป็นความผ่อนคลายอย่างหนึ่งเช่นกัน ค่อยๆ ทำให้เขาเคยชินกับการเกล้ามวยผม

“ยังคงเป็นท่านหญิงที่หวีผมได้สบายกว่า” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยชมทั้งที่หลับตาอยู่

ซางซูชิงเม้มปากเล็กน้อย เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ผู้ใดทำก็เหมือนกันทั้งนั้น”

หนิวโหย่วเต้าร้อง “หือ” ด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะไม่เห็นด้วย เอ่ยไปว่า “ไม่เหมือนกันหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ด้วยฐานะของท่านหญิง การที่ให้ท่านมาทำงานของบ่าวไพร่เช่นนี้มันไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร”

ซางซูชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไม่เป็นไร”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย ไม่ได้โต้เถียงเรื่องนี้อีก เอ่ยถามว่า “รับประทานมื้อเช้ามาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงตอบโดยที่มือยังคงหวีผมให้เขาอย่างตั้งใจ “ยังเช้าอยู่ กลับไปค่อยกินก็ยังไม่สาย”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ได้กลิ่นหอมไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงดมดูเล็กน้อย กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนหน้านี้ตอนเดินเข้ามาทางเรือนนี้ นางก็ได้กลิ่นหอมประหลาดสายหนึ่งแล้ว ตอนนี้พอได้ยินเขาเอ่ยถาม จึงเอ่ยถามด้วยความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “เกี่ยวข้องกับมื้อเช้าหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา เมื่อวานตอนที่หยวนกังสำรวจเรือนหลังนี้ เขาพบว่าเจ้าของคฤหาสน์คนเก่าได้ทิ้งสิ่งที่เรียกว่า ‘มู่จื่อ’ ที่คนทางโลกนี้ใช้เป็นกระสายยาไว้ในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งความจริงมันคือเมล็ดชาภูเขา นำมาสกัดเป็นน้ำมันได้ เมื่อมีน้ำมันเมล็ดชาก็สามารถทำอาหารได้หลากหลายชนิด หยวนกังย่อมไม่มีทางยอมพลาด ได้สอนสมณะเหล่านั้นแล้วว่าต้องทำอย่างไร กลิ่นหอมนั้นน่าจะมาจากการสกัดน้ำมัน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานหยวนกังบอกเอาไว้ว่าเช้านี้จะสอนสมณะเหล่านั้นทำปาท่องโก๋เป็นอาหารเช้าสักหน่อย ท่านหญิงอยู่รอชิมด้วยกันสิพ่ะย่ะค่ะ”

“ปาท่องโก๋หรือ?” ซางซูชิแปลกใจ ไม่เคยได้ยินมาก่อน

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตอนนี้นับว่ามีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปลอดภัยแล้ว หยวนกังจึงเริ่มสอนทักษะงานครัวบางอย่างให้สมณะเหล่านั้น…เจ้าหมีคอยฟังอยู่ด้านข้าง จึงขอรับอำนาจจัดการเรื่องอาหารไปทันที ปีศาจอย่างเจ้าหมีค่อนข้างตระหนี่ถี่เหนียว ท่านหญิงเองก็ทราบดี นับจากนี้ไปอาหารจากทางฝั่งกระหม่อมคงจะไม่ใช่สิ่งที่คนนอกนึกจะมากินก็กินได้ง่ายๆ แล้ว ท่านหญิงคอยหวีผมให้กระหม่อมมาโดยตลอด กระหม่อมไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน หากว่าไม่รังเกียจ นับจากวันนี้ไปก็มาทานอาหารที่นี่ด้วยกันกับกระหม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงเองก็ยิ้มออกมา ตอบตกลงทันที “ได้!”

เฮยหมู่ตานยกน้ำที่ใช้ล้างหน้าเข้ามา ทางนี้ก็หวีผมเสร็จเรียบร้อยเช่นกัน

เฮยหมู่ตานพินิจดูอย่างจริงจัง จำต้องยอมรับในฝีมือของซางซูชิงเช่นกัน ช่วยหวีผมให้เต้าเหยี่ยได้เรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเลยแม้แต่เส้นเดียว

หลังจากล้างหน้าเสร็จ สตรีทั้งสองก็ออกไปดู ‘ปาท่องโก๋’ ด้วยกัน

ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า ขณะที่หนิวโหย่วเต้ากำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ในลานเรือนพลางใคร่ครวญอะไรบางอย่างอยู่ หยวนกังก็เดินเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง

หนิวโหย่วเต้าได้กลิ่นน้ำมันจากตัวเขา ไม่ได้เอ่ยถามเรื่องปาท่องโก๋ แต่กลับถามว่า “นายไม่พอใจเฮยหมู่ตาน?”

หยวนกังส่ายหน้า “เปล่า!”

เขาค่อนข้างปากไม่ตรงกับใจ ความจริงแล้วเขาทนรับพฤติกรรมบางอย่างของเฮยหมู่ตานไม่ได้ รู้สึกว่าค่อนข้างไร้ยางอาย ทว่าเขาก็รู้จักเต้าเหยี่ยดี เต้าเหยี่ยไม่มีทางปฏิเสธคนคนหนึ่งเพียงเพราะจุดบกพร่องของคนคนนั้น เต้าเหยี่ยมองเห็นจุดบกพร่องในตัวคนคนหนึ่ง แล้วก็มองเห็นจุดเด่นในตัวคนคนหนึ่งเช่นกัน หากเป็นคนที่คิดว่าเหมาะสม ต่อให้มีข้อบกพร่องก็ยอมรับได้ เขารู้ว่าเต้าเหยี่ยไม่ถือสาข้อบกพร่องเล็กน้อยของเฮยหมู่ตาน รู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ จึงไม่พูดเสียดีกว่า

หนิวโหย่วเต้าก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก “อีกเดี๋ยวพาลู่เซิ่งจงคนนั้นมาหาฉันด้วย”

หยวนกังพยักหน้ารับ สื่อว่าเข้าใจแล้ว

……

“นางคือท่านหญิงนะ!”

เฮยหมู่ตานที่ถูกขวางไว้หน้าประตูห้องครัวทั้งฉุนทั้งขบขัน นางและซางซูชิงอยากเห็นว่าปาท่องโก๋เป็นอย่างไร ทว่ากลับถูกหยวนฟางขวางไว้หน้าประตูไม่ให้เข้าไป เฮยหมู่ตานทำได้เพียงยกซางซูชิงที่อยู่ข้างๆ มาอ้าง

หยวนฟางประสานมือกล่าวกับซางซูชิงว่า “ท่านหญิง นี่คือสูตรลับเฉพาะ เต้าเหยี่ยรับปากแล้วว่าจะมอบสูตรลับให้วัดหนานซานของอาตมา เป็นลู่ทางหารายได้จุนเจือวัดหนานซานในภายภาคหน้า อีกทั้งเต้าเหยี่ยรับปากแล้วว่าต่อไปเรื่องในห้องครัวจะให้วัดหนานซานของพวกเราเป็นคนรับผิดชอบ ขอท่านหญิงโปรดยกโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หยวนฟางแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมให้เข้าไป ด้วยกลัวว่าจะถูกคนแอบเรียนรู้สูตรลับ

ซางซูชิงเองก็มิใช่คนหน้าหนา ถูกพูดจนรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดที่อยากลองเรียนรู้ดู

เฮยหมู่ตานที่หมุนตัวตามนางจากไปมองหยวนฟางด้วยสายตาดูแคลน เอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “เจ้าหมี ห้องครัวเป็นบ้านเจ้าหรือไง ไยเจ้าไม่แขวนป้ายวัดหนานซานของเจ้าไว้บนประตูครัวเสียเลยเล่า”

หลังจากมองส่งทั้งสองจากไปแล้ว หยวนฟางก็เข้าไปในห้องครัวแล้วหยิบปาท่องโก๋สีเหลืองทองตัวหนึ่งออกมา ใส่ปากเคี้ยวหยับๆ ทั้งนุ่มทั้งกรอบ ยิ่งเคี้ยวยิ่งหอม กินด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อย จากนั้นหันกลับไปมองดูวงกบประตูห้องครัว ปากยังคงเคี้ยวหยับๆ เอ่ยพึมพำอย่างใช้ความคิด “วัดหนานซาน…เหมือนจะเหตุผล…”

เขาหยิบปาท่องโก๋อีกสองสามตัวใส่ปากเคี้ยว ปัดมือเล็กน้อย ให้คนไปเรียกหรูหมิงผู้ดูแลเรือนประจิมทิศและหรูฮุ่ยผู้ดูแลเรือนบุริมทิศมา

“เจ้าอาวาส” ทั้งสองพนมมือคำนับ

หยวนฟางชี้ไปที่ห้องครัว เอ่ยว่า “ต่อไปเวลามาทำอาหารที่นี่ จำไว้ว่าต้องให้คนเฝ้าดีๆ อย่าปล่อยให้คนนอกมาขโมยสูตรลับไปได้”

“ขอรับ!” ทั้งสองตอบรับ

หยวนฟางชี้ไปที่วงกบประตูห้องครัวอีกครั้ง “รีบไปทำป้ายวัดหนานซานมา แขวนไว้บนประตู”

“…..” พระผู้ดูแลทั้งสองรูปนึกว่าตนฟังผิดไป

หรูหมิงเอ่ยถามด้วยความงุนงง “เจ้าอาวาส แขวนป้ายวัดหนานซานของพวกเราไว้เหนือห้องครัวมันจะเหมาะสมหรือขอรับ?”

หยวนฟางหันมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงทำตัวหน้าหนาไปร้องขออำนาจดูแลห้องครัวจากเต้าเหยี่ย? ลู่ทางหาเงิน นี่คือลู่ทางหาเงินเข้าใจไหม? วันหน้าหากอยู่กับทางนี้ต่อไปไม่ได้ พวกเราก็ยังมีสูตรลับอยู่ในมือ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไปไม่รอด เข้าใจหรือเปล่า?”

ทั้งสองพยักหน้ารับ นับว่าเข้าใจแล้ว แต่หรูฮุ่ยหันกลับไปมองดูห้องครัวเล็กน้อย ยังคงไม่ค่อยเข้าใจ เอ่ยถามด้วยความลำบากใจว่า “แต่การนำป้ายวัดของพวกเรามาแขวนไว้เหนือประตูห้องครัว มันจะไม่เป็นการดูหมิ่นพุทธองค์ไปหน่อยหรือขอรับ?”

หยวนฟางถลึงตาใส่ “ห้องครัวไม่ใช่บ้านของพวกเรา แล้วเราจะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามา? แต่ถ้าหากแขวนป้ายวัดของพวกเราไว้ นั่นก็แปลว่าที่นี่คืออาณาเขตของพวกเรา ข้าเป็นผู้ติดตามของเต้าเหยี่ย คนอื่นก็ต้องไว้หน้าเต้าเหยี่ย เวลาข้าอยู่ที่นี่ก็ยังพอจะขวางคนนอกเอาไว้ได้ แต่ข้าไม่อาจเฝ้าอยู่ที่นี่ไปตลอดได้ใช่ไหมล่ะ แล้วพวกเจ้าจะเอาอะไรไปขวางคนอื่นเล่า? แต่ถ้าแขวนป้ายวัดแล้วย่อมต่างออกไป วันหน้าผู้ใดคิดจะปลดป้ายของพวกเราออกก็ต้องใคร่ครวญดูเสียหน่อย เช่นนี้แล้ว ห้องครัวนี้ก็จะอยู่ในการดูแลของพวกเรา พวกเราอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก นอกจากปัดกวาดเช็ดถูเล็กๆ น้อยๆ แล้วยังจะไปทำอะไรได้อีก ยังไงเราก็ต้องทำอะไรสักอย่างใช่ไหมล่ะ? อาตมาลำบากทำเช่นนี้ เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่เข้าใจ?”

“อามิตตาพุทธ!” สองพระผู้ดูแลมีท่าทีเลื่อมใสยำเกรงขึ้นมา พนมสองมือ ค้อมคำนับเขา

จากนั้นหรูหมิงก็ออกไปอย่างรวดเร็ว ว่าแล้วก็ลงมือทำเลย ไปทำป้ายวัด

ไม่นานนัก ป้ายไม้ที่เขียนคำว่า ‘วัดหนานซาน’ ก็ถูกแขวนไว้เหนือประตูห้องครัว

…..

ปาท่องโก๋อร่อยมันก็ส่วนอร่อย ซางซูชิงที่อยู่กินอาหารด้วยกันก็เอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก

ต้วนหู่พยักหน้าหงึกๆ พลางหยิบปาท่องโก๋ตัวหนึ่งมากัดเข้าปาก จากนั้นหันไปเอ่ยถามว่า “เจ้าหมี แขวนป้าย ‘วัดหนานซาน’ เอาไว้เหนือประตูห้องครัว ทั้งยังไม่ให้คนอื่นเข้าไป นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”

“แค่กๆ…” หยวนกังได้ยินก็ปิดปากสำลักอยู่พักหนึ่ง โจ๊กที่อยู่ในปากเกือบจะพ่นออกมา

หนิวโหย่วเต้าก็เงยหน้าขึ้นมาทันที มองหยวนฟางด้วยความตกใจ เอ่ยถามด้วยความมึนงงว่า “เจ้าเอาป้ายวัดหนานซานไปแขวนไว้เหนือประตูครัวหรือ?” ท่าทางดูไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไร ภายในใจสมณะเหล่านี้ วัดหนานซานมีสถานะที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง จะกระทำเรื่องที่เป็นการดูหมิ่นเช่นนี้ได้อย่างไร?

หยวนฟางถูไม้ถูมือ หัวเราะแหะๆ พลางเอ่ยไปว่า “งานสกปรกเปรอะเปื้อนบางอย่าง ยกให้วัดหนานซานของพวกเราดูแลก็ได้ขอรับ วันหน้าหากเต้าเหยี่ยอยากกินอะไรก็เชิญสั่งการมาได้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคนอื่น กินอาหารที่คนกันเองทำน่าจะสบายใจกว่ามิใช่หรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก มองเขาด้วยสายตามึนงงเช่นเดียวกับหยวนกัง คนอื่นอาจไม่เข้าใจ ทว่าทั้งสองมีหรือจะไม่ทราบถึงความคิดของปีศาจตัวนี้ เพื่อผลประโยชน์แล้วถึงกับยอมทำตัวหน้าไม่อาย ไม่เคยพบเห็นคนพิลึกเช่นนี้มาก่อน นับว่ายอมใจเขาเลยจริงๆ

ซางซูชิงและเฮยหมู่ตานมองหน้ากัน ก่อนหน้านี้เฮยหมู่ตานเคยกล่าวไปเช่นนั้น เพียงแต่นางแค่หยอกเย้าเสียดสีเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าหยวนฟางจะทำแบบนั้นจริงๆ

หนิวโหย่วเต้ามองดูโจ๊กในชามเล็กน้อย ก่อนจะสร้างปัญหาให้หยวนฟางที่คิดไม่ซื่อทันที “ข้าอยากกินเนื้อ เย็นนี้ทำอาหารที่เป็นเนื้อมาสักสองสามอย่าง!”

“…..” คราวนี้เป็นหยวนฟางที่ตาค้างไป

สุดท้ายยังคงเป็นหยวนกังที่ออกความเห็นปลอบใจหยวนฟางที่เต็มได้ด้วยความโศกเศร้า ด้วยเหตุนี้ตรงประตูห้องครัวจึงมีกลอนคู่บทหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เนื้อแลสุราอยู่ในกระเพาะ พุทธองค์สถิตอยู่ในใจ!

หลังกินข้าวเสร็จ ซางซูชิงจากไป ลู่เซิ่งจงถูกพาตัวมาพบหนิวโหย่วเต้า

ภายในศาลาแขวนกรงปีกทองที่ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ขึ้นมาเป็นครั้งคราวเอาไว้กรงหนึ่ง

หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ในศาลามองดูลู่เซิ่งจงที่อยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายผ่านการอาบน้ำและกลับมาอยู่ในสภาพปกติอีกครั้ง ถอนใจพลางกล่าวว่า “ช่วงที่ผ่านมาทำให้พี่ลู่ต้องลำบากเสียแล้ว” ว่าพลางผายมือเชิญให้นั่งลง

ลู่เซิ่งจงไม่ได้นั่งลง เขานึกถึงสภาพที่ถูกคุมขังเหมือนหมูเหมือนหมาในช่วงนี้ขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าและความโกรธเกรี้ยวอยู่หลายส่วน “หนิวโหย่วเต้า เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? หากเจ้าต้องการสังหารข้าจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นก็ลงมือได้เลย ไม่ต้องอ้อมค้อม!”

“มีอะไรก็นั่งลงแล้วค่อยคุยกันเถอะ” หนิวโหย่วผายมือเชิญให้นั่งอีกครั้ง

ลู่เซิ่งจงยิ้มขมขื่นด้วยความอับจนหนทาง ค่อยๆ นั่งลงตรงข้ามหนิวโหย่วเต้า เห็นหนิวโหย่วเต้ารินน้ำชาให้เขาด้วยตัวเอง จึงเอ่ยถาม “เจ้าเก็บข้าไว้ไม่สังหาร หรือข้าจะยังมีประโยชน์ต่อเจ้าอยู่?”

“พี่ลู่เป็นคนฉลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ” หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงข้าชื่นชมในตัวพี่ลู่ยิ่งนัก! จะว่าไปแล้ว พี่ลู่ก็แค่โชคไม่ดีเท่านั้น เพียงเพราะนำบทกลอนที่ข้ามอบให้ซ่งเหยี่ยนชิงมาใช้ มิเช่นนั้นสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ยังไม่อาจรู้ได้จริงๆ”

ลู่เซิ่งจงหัวเราะเยาะตัวเองพลางเอ่ยว่า “จะเอาอย่างไรก็ว่ามาตรงๆ เถอะ”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ตอนนี้สถานการณ์ของสำนักเบญจคีรีเป็นอย่างไร พี่ลู่พอจะทราบหรือไม่?”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยตอบ “ช่วงเวลาส่วนใหญ่ข้าล้วนแต่ถูกขังอยู่ในที่มืดไร้แสงตะวัน สมณะที่จัดการเรื่องจิปาถะเหล่านั้นล้วนไม่คุยอะไรกับข้าเลย ข้าไหนเลยจะรู้ได้ว่าสถานการณ์ของทางสำนักเป็นอย่างไรบ้าง? เพียงแต่ล่วงเกินพวกหวังเหิงเข้าแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ดีสักเท่าไร”

หนิวโหย่วเต้ายกถ้วยชาขึ้น สื่อว่าให้ดื่มชา พลางเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นพี่ลู่ทราบหรือไม่ว่าตอนนี้ตระกูลซ่งแห่งแคว้นเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?”

ลู่เซิงจงกลับสงบเยือกเย็นเช่นกัน ยกถ้วยชาขึ้นดื่มช้าๆ แล้วหลับตาลง ไม่ได้ลิ้มรสชาหอมกรุ่นมานานนัก ดูคล้ายกำลังหวนนึกถึงรสชาติอย่างช้าๆ เอ่ยทั้งที่หลับตาว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? ไยต้องแสร้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วด้วย!”

“ซ่งจิ่วหมิงลงจากตำแหน่งแล้ว มีคนนำศีรษะของตระกูลซ่งทั้งตระกูลมาส่งให้ข้า ศีรษะของซ่งจิ่วหมิง หลิวลู่และพวกซ่งเฉวียนต่างถูกฝังไว้นอกเมือง หากพี่ลู่สนใจ ข้าสามารถสั่งคนไปขุดมาให้ท่านดูได้” หนิวโหย่วเต้ายกถ้วยชาพลางชี้ไปทางด้านนอกเมือง

ลู่เซิ่งจงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยถาม “เจ้าจัดการตระกูลซ่งแล้วหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายกถ้วยชาจรดริมฝีปาก ตอบไม่ตรงคำถาม “สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสเทียบกับสำนักเบญจคีรีของท่านแล้วเป็นอย่างไร? ตอนนี้ทั้งสามสำนักต่างมาเข้าร่วมกับข้า เจ้าสำนักทั้งสามก็พักอยู่ในเรือนด้านนอกด้วย ข้าจะเรียกให้มาสั่งให้ไปก็ย่อมได้!”

ลู่เซิ่งจงเบิกตากว้าง สามสำนักนั้นย่อมแข็งแกร่งกว่าสำนักเบญจคีรีของพวกเขามากนัก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ต่อว่า “พี่ลู่อาจจะไม่ทราบ ยามนี้ยงผิงจวิ้นอ๋องยึดทั้งจังหวัดชิงซานได้แล้ว โจวโส่วเสียนผู้ว่าการมณฑลหนานโจวก็ทำอะไรไม่ได้ ทางราชสำนักแคว้นเยี่ยนก็ได้แต่กล้ำกลืนโทสะไว้ หลังจากนี้ทางจังหวัดกว่างอี้ก็จะเข้ามาอยู่ในการปกครองของยงผิงจวิ้นอ๋องเช่นกัน และในไม่ช้า มณฑลหนานโจวทั้งแถบก็จะตกอยู่ในกำมือยงผิงจวิ้นอ๋องเช่นกัน ไม่ทราบว่าพี่ลู่คิดเห็นประการใด แล้วสำนักเบญจคีรีวางแผนจะทำอย่างไร? ”

……………………………………………..