ตอนที่ 206 ชี้แนะให้กระจ่าง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 206 ชี้แนะให้กระจ่าง

คลื่น ‘ความประหลาดใจ’ ลูกแล้วลูกเล่าซัดสาดใส่ลู่เซิ่งจงไม่หยุด ตระกูลซ่งจบสิ้นแล้ว สามสำนักที่พึ่งพิงตระกูลซ่งก็มาเข้าร่วมกับทางฝั่งนี้ แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าซางเฉาจงจะยิ่งใหญ่ขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ ยึดจังหวัดชิงซานได้แล้วอย่างนั้นหรือ?

ถูกคุมขังอยู่ในที่มืดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาเป็นเวลานาน แม้นจะไม่ค่อยทราบว่าเวลาด้านนอกผ่านไปนานเท่าไร แต่มันก็ไม่ได้ยาวนานจนถึงขั้นที่ไม่สามารถคำนวณเวลาได้ พึ่งผ่านไปไม่เท่าไรก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่มากมายขนาดนี้แล้วอย่างนั้นหรือ?

แม้ว่าจะค่อนข้างน่าเหลื่อเชื่อ แต่ในใจของเขาทราบดี อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องอย่างนี้มาหลอกลวงตนเองเลย ที่มานั่งคุยกับตนอย่างสบายๆ เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะเปิดโอกาสให้เขาออกไป เรื่องที่เล่ามาเป็นจริงหรือเท็จ เดี๋ยวพอหลุดออกไปได้ก็รู้เอง ไม่มีทางหลอกกันได้

“ที่นี่คือตัวเมืองจังหวัดชิงซานหรือ?” ลู่เซิงจงเอ่ยถาม

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับพลางยิ้มเล็กน้อย

ลู่เซิ่งจงเงียบไป ระหว่างที่ทำการย้ายสถานที่จองจำเขา เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าถูกย้ายมายังเมืองเมืองหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นจังหวัดชิงซานนี่เอง

ลู่เซิ่งจงถาม “สำนักเบญจคีรีมีแผนอย่างไร ข้าไหนเลยจะทราบได้?”

หนิวโหย่วเต้าจิบชาอึกหนึ่งแล้ววางถ้วยชาลง ชี้ไปทางปีกทองที่อยู่ในกรงด้านข้าง เอ่ยว่า “ปีกทองที่ยึดมาจากท่านตอนอยู่ที่อำเภอชางหลูยังเก็บไว้ให้ท่านมาโดยตลอด ไยไม่ลองติดต่อกับทางสำนักดูเล่า”

ลู่เซิ่งจงหันไปมองปีกทองตัวนั้น อดยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมาไม่ได้ “ดูเหมือนเจ้าจะหมายตาสำนักเบญจคีรีเอาไว้แต่แรกแล้วสินะ”

เขาเดาถูกแล้ว หนิวโหย่วเต้าหมายตาสำนักเบญจคีรีเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ สำนักเบญจคีรีก็คือ ‘ของขวัญ’ ที่หนิวโหย่วเต้าบอกไว้ว่าจะมอบให้ซางเฉาจง เพียงแต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว แผนการก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ด้วย

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็ไม่ถึงกับเป็นการหมายตาหรอก เรื่องที่บังคับฝืนใจผู้อื่นให้ทำนั้นยากจะยืนยาว ต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันต่างหากถึงจะยืนยาว”

ลู่เซิ่งจงถาม “คิดจะให้สำนักเบญจคีรีมาเข้ากับทางนี้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้คล้อยตามวาจานี้ “สำนักเบญจคีรีตกต่ำจนมาถึงจุดนี้ได้ ความสามารถของเจ้าสำนักของท่านข้าคงไม่กล้าเยินยอ อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าด้วยความสามารถของพี่ลู่แล้ว การอยู่ในสำนักเบญจคีรีทำให้ท่านไม่ค่อยได้แสดงความสามารถออกมา อันที่จริงความสามารถของท่านสามารถสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้แก่สำนักเบญจคีรีได้โดยไม่ยากเย็นอะไร และสามารถนำพาสำนักเบญจคีรีให้ก้าวไปได้ไกลมากกว่านี้ หากพี่ลู่ได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าสำนักเบญจคีรี การจะทำให้สำนักเบญจคีรีรุ่งโรจน์ขึ้นมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

ลู่เซิ่งจงหัวเราะหยันเล็กน้อย “เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่กระมัง?”

“ล้อเล่น? ข้าไม่ได้ล้อเล่น” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าช้าๆ ยกกาน้ำชามาริน “ทางฝั่งนี้เนี่ย เบื้องบนมีสำนักหยกสวรรค์ เบื้องล่างมีสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่อง สำนักคีรีพิลาส ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนก็สามารถบดขยี้สำนักเบญจคีรีได้สบายๆ ขอเพียงสำนักเบญจคีรีมาเข้ากับทางนี้ พี่ลู่คิดจะทำอย่างไรกับสำนักเบญจคีรีก็ได้ทั้งนั้น พี่ลู่อยากกำจัดเจ้าสำนักของท่านตอนไหนก็แค่เอ่ยมาเพียงประโยคเดียว คนที่ไม่ยอมสยบต่อพี่ลู่ พี่ลู่จะกำจัดอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว”

ถ้อยคำนี้เอ่ยออกมาอย่างเรียบง่ายและหยาบกระด้างเสียเหลือเกิน ทั้งยั้งโจ่งแจ้งและไร้ยางอายสิ้นดี สีหน้าของหยวนฟางที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ เหยเกขึ้นมาเล็กน้อย

ม่านตาลู่เซิ่งจงหดตัว คิดไม่ถึงว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผู้นี้จะพูดเรื่องกำจัดเจ้าสำนักของเขาออกมาต่อหน้าเขา ช่างเหลวไหลเป็นยิ่งนัก!

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยต่ออย่างไม่แยแสว่า “ถึงแม้จะคุมขังพี่ลู่มาเป็นเวลานาน แต่นั่นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย มีคำกล่าวไว้ว่ายามขมหมดหวานก็มา หากถูกคุมขังแล้วสามารถขึ้นเป็นเจ้าสำนักได้ ข้าคิดว่าคงมีคนมากมายในสำนักเบญจคีรีที่ยินดีจะรับโทษทัณฑ์นี้ แต่แน่นอน เรื่องแรกที่ต้องทำคือพี่ลู่ต้องหาทางไปพบคนของสำนักเบญจคีรีก่อน ต้องคิดหาวิธีโน้มน้าวสำนักเบญจคีรีให้มาเข้าร่วมกับทางนี้ให้ได้ และแน่นอน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือพี่ลู่ต้องจัดการเรื่องราวให้ข้าพอใจ ขอเพียงข้าพึงพอใจ เรื่องที่พี่ลู่จะได้กลายเป็นเจ้าสำนักเบญจคีรีก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยเสียงเข้ม “เหลวไหล! ข้าลู่เซิ่งจงต่อให้ไร้ความสามารถแค่ไหนก็ไม่มีทางกระทำเรื่องล้มล้างอาจารย์ทรยศสำนักเด็ดขาด!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หากบอกว่าล้มล้างอาจารย์ทรยศสำนักมันก็ออกจะเกินไปหน่อย ตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ได้มีกฎระบุไว้ว่าต้องเป็นของผู้ใดนี่นา สำนักใดบ้างเล่าที่ไม่ได้คัดเลือกเจ้าสำนักจากความสามารถ? หากเปลี่ยนให้คนที่มีความสามารถมากกว่ามารับตำแหน่ง สร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์ยิ่งกว่าให้แก่สำนักเบญจคีรี ทำให้ดวงวิญญาณบรรพจารย์ที่อยู่บนสวรรค์มีความสุข นี่ไหนเลยจะมิใช่เรื่องดี? คนไร้ความสามารถที่สร้างความลำบากให้แก่คนทั้งสำนักเพราะเรื่องส่วนตัวต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่ล้มล้างอาจารย์ทรยศสำนักอย่างแท้จริง ในฐานะศิษย์ของสำนักเบญจคีรี การคิดหาทางทำให้สำนักเบญจคีรีดีขึ้นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”

ลู่เซิ่งจงขบกรามแน่น “หากข้าไม่ตอบตกลงล่ะ เจ้าจะสังหารข้าใช่หรือเปล่า?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน ตัวข้าไม่ชอบบังคับผู้ใดให้ไปกระทำเรื่องที่เขาไม่อยากทำ หากท่านไม่ตอบตกลง ข้าก็ไม่มีทางสังหารท่านแน่นอน ข้าจะปล่อยท่านไป”

ลู่เซิ่งจงโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย “จริงหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จริงแท้แน่นอน! เพียงแต่ข้ากลับนึกกังวลในอนาคตของพี่ลู่ ล่วงเกินหวังเหิงเข้าแล้ว สำนักเบญจคีรีคงยากจะปักหลักอยู่ในแคว้นเยี่ยนได้! อีกทั้งหวังเหิงย่อมไม่มีทางละเว้นตัวต้นเหตุอย่างพี่ลู่ด้วย ขณะเดียวกันก็เป็นเพราะพี่ลู่เผยข้อมูล ถึงได้ทำให้สำนักเบญจคีรีตกต่ำมาถึงจุดนี้ ข้านึกภาพไม่ออกเลยว่าพอพี่ลู่กลับไปสำนักเบญจคีรีแล้วจะมีจุดจบอย่างไร ต่อให้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น แต่พี่ลู่ยังจะถูกทางสำนักเรียกใช้งานอีกหรือ?”

“แต่แน่นอน บางทีพี่ลู่อาจจะมีจิตใจสูงส่ง จะถูกเรียกใช้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ต้องรับโทษก็จะก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี เพราะเรื่องอดทนต่อความอัปยศอดสูนั้นมีมาแต่โบราณแล้ว เพิ่มพี่ลู่ไปอีกสักคนก็คงไม่เป็นไร หรือบางที พี่ลู่อาจจะหลบหนีไปไกล เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักได้ เพียงแต่คนที่ทรยศต่อสำนัก เกรงว่าคงอยู่ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกได้ค่อนข้างลำบาก…”

จิตใจลู่เซิ่งจงว้าวุ่นเพราะคำพูดของเขา สมองก็สับสนวุ่นวาย

“แต่ถ้าสามารถหาทางออกให้สำนักเบญจคีรีได้ เช่นนั้นมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว มันอาจจะไม่ถึงกับเป็นความดีความชอบอันใด แต่ถ้าบอกว่าเป็นการทำคุณไถ่โทษนั้นยังพอไหวอยู่ ท่านสามารถบอกต่อสำนักเบญจคีรีได้ว่าเป็นท่านที่พูดโน้มน้าวข้า ยกความดีความชอบให้ตัวเอง หากสำนักเบญจคีรีมาที่นี่ กระทั่งราชสำนักแคว้นเยี่ยนยังไม่กล้าผลีผลามบุ่มบ่ามทำอะไรทางนี้เลย หวังเหิงก็ยิ่งไม่มีทางทำอะไรพวกท่านได้”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หนิวโหย่วเต้าก็ถอนใจออกมา เอ่ยว่า “เอาล่ะ พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่ชอบบังคับผู้ใด เจ้าหมี คลายผนึกบนร่างเขา ส่งเขาออกจากจวน”

หยวนฟางก้าวเข้ามาทันที จี้จุดบนร่างลู่เซิ่งจงอย่างต่อเนื่อง คลายผนึกบนร่างเขา

พลังกลับมาไหลเวียนไปทั่วร่างอีกครั้ง ความรู้สึกผ่อนคลายจากการที่เลือดลมไหลเวียนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ตอนนี้ลู่เซิ่งจงก็ไม่มีอารมณ์มาสนใจความรู้สึกนี้เช่นกัน ภายในใจกลับไปเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด

“เชิญ!” หยวนฟางผายมือเชิญลู่เซิ่งจงออกไป

ลู่เซิ่งจงอึกอักลังเล นั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน สายตาเคลื่อนจากหยวนฟางไปที่หนิวโหย่วเต้า สุดท้ายเอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง “ตัวเจ้าก็เป็นคนพูดเอง ทางนี้เบื้องบนมีสำนักหยกสวรรค์ เบื้องล่างมีสามสำนัก แบบนี้แล้วยังจำเป็นต้องรับสำนักเบญจคีรีเข้ามาด้วยหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือสื่อให้หยวนฟางถอยออกไป “ข้าถึงได้บอกว่าไม่กล้าเยินยอความสามารถของเจ้าสำนักเจ้าของท่านอย่างไรล่ะ สำนักเบญจคีรีมีกำลังเพียงแค่นั้น ยังคิดจะไปแก่งแย่งชิงดีกับสำนักอื่นๆ อีก จะเอาอะไรไปสู้ได้? มีแต่จะถูกข่มเหงกลับมามากกว่า ได้แต่ต้องวนเวียนเป็นสำนักปลายแถวไปตลอด ขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง สำนักเบญจคีรีอยากรุ่งโรจน์ แต่กลับไม่รู้จักหาจุดยืนให้ตัวเอง”

ลู่เซิ่งจงร้องโอ้ กล่าวไปว่า “พอจะช่วยชี้แนะได้หรือไม่!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ง่ายมาก หาจุดยืนให้ตัวเองใหม่ ไม่ต้องไปคิดแก่งแย่งชิงดีกับสำนักอื่นแล้ว พวกท่านเองก็ไม่ได้มีกำลังมากพอจะไปต่อสู้กับสำนักที่แข็งแกร่งกว่าเหล่านั้นอยู่แล้ว เริ่มจากละทิ้งความคิดที่จะแย่งชิงผลประโยชน์กับผู้แข็งแกร่งก่อน ลองคิดดูว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถแสดงจุดเด่นที่คนอื่นไม่สามารถแทนที่ออกมาได้ กระทั่งปักหลักได้มั่นคงแล้วค่อยคิดทำอย่างอื่น”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยเบาๆ “ดูเหมือนสำนักเบญจคีรีจะไม่มีจุดเด่นที่ผู้อื่นไม่อาจแทนที่ได้อยู่เลย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากไม่มีจุดเด่นก็ต้องสร้างจุดเด่นขึ้นมา มันก็ขึ้นอยู่กับว่าสำนักเบญจคีรีของพวกท่านจะวางบทบาทของตนอย่างไร ดูว่าจะเริ่มจากจุดไหน หากคิดแค่ว่าจะชิงพื้นที่เพื่อขยายกำลังของตน อาศัยกำลังของพวกท่านน่ะหรือ? นั่นไม่มีทางเป็นจริงได้ แล้วก็ยากจะทำลายกำแพงผลประโยชน์ที่ผู้อื่นสร้างเอาไว้ได้ด้วย”

ลู่เซิ่งจงเอ่ยว่า “โปรดชี้แนะด้วย”

พูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ไม่อ้อมค้อมอีก เอ่ยไปตรงๆ ว่า “ข้าต้องการวางสายลับกลุ่มหนึ่งไว้ตามแคว้นต่างๆ เพื่อที่ข้าจะได้ทราบสถานการณ์ของแต่ละแคว้นอย่างทันท่วงที”

ลู่เซิ่งจงเข้าใจความหมายของเขา หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพักก็เอ่ยถามว่า “ถ้าสำนักเบญจคีรีไม่ได้รับหน้าที่เป็นฝ่าซือติดตามใดๆ จากทางฝั่งนี้ แล้วจะมีรายได้มาจากไหน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “พี่ลู่คิดมากแล้ว ข้าย่อมต้องมีเบี้ยเลี้ยงให้แน่นอน มิเช่นนั้นก็คงรั้งใจคนไว้ไม่อยู่!”

ลู่เซิ่งจงใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอีกว่า “เจ้าทำให้ข้าขึ้นเป็นเจ้าสำนักเบญจคีรีได้จริงๆ หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา ทราบว่าคนผู้นี้ตัดสินใจได้แล้ว เอ่ยไปว่า “เรื่องนี้ข้ารับรองไม่ได้ และไม่คิดจะรับรองด้วย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง หากท่านมีความสามารถพอจะเป็นเจ้าสำนักได้ ข้าย่อมต้องช่วยท่าน แต่ถ้าหากท่านไม่มีความสามารถนั้น ข้าก็ไม่มีทางยกหินมาทับเท้าตัวเอง การทำให้ภายในสำนักเบญจคีรีวุ่นวายนั้นไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า”

“ข้ารับรองได้แค่ว่าข้าจะมอบโอกาสให้ท่าน หากท่านคว้าโอกาสไว้ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ท่านควรจะได้ ท่านไปจัดการเรื่องที่จะให้สำนักเบญจคีรีมาเข้าร่วมกับทางนี้ให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นข้ามีเรื่องอื่นจะให้ท่านไปจัดการ หากจัดการเรียบร้อย นั่นก็จะเป็นโอกาสของท่าน!”

ลู่เซิ่งจงถอนใจเงียบๆ ตนยังมีทางเลือกอีกหรือ?

จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้ ต่อให้ปล่อยตนกลับไป มันก็ไม่แน่ว่าจะมีจุดจบที่ดีอันใด ต่อให้ทางสำนักไม่ถือโทษโกรธเคืองตน แต่ภายหน้าก็อย่าคิดจะเงยหน้าอ้าปากในสำนักได้เลย

หลบหนีไปเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักหรือ? นั่นไม่ต่างอะไรจากการทรยศสำนักเลย เมื่อข้อหานี้แพร่กระจายออกไป เขาก็จะกลายเป็นที่เหยียดหยามจากสำนักต่างๆ ทั่วหล้า ต่อให้วันหน้าอยู่รอดต่อไปได้ก็ไม่มีทางจะมีชื่อเสียงอันใดได้อีก

ในเมื่อไม่ว่าทางไหนก็ล้วนแย่ไม่ต่างกัน อย่างนั้นเหตุใดถึงไม่พยายามเพื่อหนทางที่ดีกว่าเล่า?

อีกฝ่ายมอบทางรอดเส้นหนึ่งให้ตนเองแล้ว ตนก็หาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

เขาหันไปมองปีกทองที่อยู่ด้านข้าง “ผ่านมานานขนาดนี้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปีกทองตัวนี้จะยังติดต่อกับคนของทางสำนักได้หรือไม่”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ลองดูได้นี่”

ลู่เซิ่งจงพยักหน้า “หากว่าติดต่อไม่ได้ ข้าจะออกไปแล้วจะไปคิดหาทางดู”

หนิวโหย่วเต้าหันหน้าไปร้องสั่ง “เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียน!”

ผ่านไปครู่หนึ่งอุปกรณ์เครื่องเขียนก็ถูกยกมา ลู่เซิ่งจงหยิบพู่กันขึ้นมาคิดใคร่ครวญอยู่นาน จากนั้นเขียนจดหมายลับฉบับหนึ่ง

หลังจากปีกทองนำจดหมายลับบินจากไป ลู่เซิ่งจงก็เงยหน้ามองตามมันไปอย่างเงียบงัน

หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดในศาลาด้านหลังเอ่ยสั่งการ “ไปจัดเตรียมห้องพักให้พี่ลู่ อย่าได้ชักช้า”

หลังจากหยวนฟางพาลู่เซิ่งจงออกไปแล้ว หยวนกังเดินเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยถาม “จะให้ลู่เซิ่งจงคนนี้ไปทำงานอะไร? คุณจะไว้ใจคนแบบนี้ได้เหรอ?”

หนิวโหย่วเต้าทราบความหมายในวาจาของเขา หยวนกังกำลังบอกว่าถ้าเป็นเรื่องจำเป็น ไม่สู้ให้เขาไปแทนดีกว่า

“ฉันรอให้เซ่าผิงปอลงมืออยู่ เซ่าผิงปอก็กำลังรออยู่เช่นกัน! ทางมณฑลเป่ยโจวนั่น เว่ยตัวคนนั้นไม่เหมาะจะทำเรื่องที่ต้องใช้ลูกไม้สกปรก ส่วนความสามารถของอู๋ซานเหลี่ยงนั้นใช้จัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ไม่สามารถแบกรับหน้าที่สำคัญได้ สองคนนั้นรับมือเซ่าผิงปอไม่ไหว ฉันถึงให้พวกเขาเว้นระยะห่างจากเซ่าผิงปอ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องได้ง่ายๆ และด้วยนิสัยของนาย เรื่องบางเรื่องคงคร้านที่จะไปทำ ไม่เหมาะจะไปจัดการเรื่องทางนั้นเหมือนกัน เซ่าผิงปอคนนั้นต้องปล่อยให้คนเหี้ยมโหดที่สามารถทำทุกวิถีทางได้ไปจัดการ ลู่เซิ่งจงคนนั้นเหมาะกว่านาย!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเรียบๆ

……………………………………………………….